บทที่ 239 จิตสำนึก

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเวยรู้จักนักพรตซีเฉิงในภายหลังเลยรู้ถึงลักษณะนิสัยของเขาจึงพอเดาทิศทางของคำถามนี้ได้

นักพรตซีเฉิงเป็นคนที่เกลียดชังความชั่วประหนึ่งศัตรู ดังนั้นในการแข่งขันครั้งนี้ การค้นหาวิญญาณชั่วร้ายมาเป็นอันดับแรกส่วนการแข่งขันมาทีหลัง

หากวิญญาณชั่วร้ายอยู่ตรงหน้า และฝั่งของตนนั้นเป็นฝ่ายก่อความยุ่งเหยิงก่อน ถือเป็นเรื่องต้องห้ามเรื่องใหญ่ ดังนั้นการร่วมมือกับผู้อื่นในก้าวแรกจะช่วยเพิ่มคะแนนจากนักพรตซีเฉิงได้มาก

หยางชูพยักหน้า “ง่ายมาก พวกเราสามคนที่เป็นคนนอกร่วมมือกันเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว”

หมิงเวยหัวเราะ “จริงเจ้าค่ะ”

ทางด้านเสวียนเฟยและอวี้หยาง เดิมทีพวกเขาไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกัน การบังคับให้ร่วมมือกันดูเป็นการจงใจมากเกินไป

“แล้วเราจะจับวิญญาณชั่วร้ายกันอย่างไร” จี้เสียวอู่ถามด้วยความกระตือรือร้น เขาร่ำเรียนกับตัวฝูมานานนี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ลงมือปฏิบัติจริง

หมิงเวยตอบ “ทุกคนมีวงโคจรเป็นของตนเอง กิริยาวาจาจะต้องสอดคล้องกับพวกเขา ถึงแม้จะถูกอำพรางสติปัญญา แต่พวกเขาก็จะไม่กลายเป็นคนอื่น และผู้ที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายครอบงำจะต้องต่างออกไป”

“อา ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะลองหาดูก่อน”

“มันสามารถทำได้อย่างง่ายดายเพียงนั้นเลยหรือ” หยางชูสงสัย

“แน่นอนว่าไม่ง่ายขนาดนั้นไม่เช่นนั้นผู้อาวุโสซีเฉิงคงหาพบแล้ว” หมิงเวยพูด “แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีวิธีอื่นแล้วมีแต่จะต้องลองดูก่อนเท่านั้น”

“ได้”

หมิงเวยมองไปยังเสวียนเฟย อวี้หยางและคนอื่นๆ พวกเขาร่วมมือกัน แต่ละคนค้นหาเป้าหมายและเริ่มทำอะไรบางอย่าง

ดูเหมือนว่าอวี้หยางจะมีของวิเศษอยู่ในมือ เขากำลังตรวจสอบอะไรบางอย่าง ส่วนเสวียนเฟยใช้วิธีเดียวกันกับนาง เขาพูดคุยกับหนึ่งในพวกนั้น

หมิงเวยมองเด็กสาวนางหนึ่ง

นางมีอายุประมาณยี่สิบปี ใบหน้าทาแป้งหนา แต้มชาดบนริมฝีปากด้วยสีแดงอันร้อนแรง เสื้อผ้าเผยออกนิดหน่อย เมื่อเห็นหยางชูเดินเข้ามาดวงตาของนางก็เปล่งประกายนางโบกผ้าเช็ดหน้า

“คุณชาย มาเล่นกับข้าเถอะ!” น่าเสียดายที่หยางชูไม่แม้แต่จะมองและเดินผ่านนางไป

จากนั้นหมิงเวยจึงเดินเข้าไปหา นางแค่นหัวเราะ แววตามองด้วยความอิจฉาและเหยียดหยาม ท่าทางเช่นนี้นางน่าจะเป็นหญิงในหอคณิกา

หมิงเวยยิ้ม “แม่นางมีนามว่าอะไรหรือ”

นางสางผมตนเองและตอบอย่างเกียจคร้าน “หงซิ่ง”

“แม่นางหงซิ่ง ปิ่นปักผมของท่านงดงามมาก!”

หงซิ่งรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย “แน่นอน”

“ไม่ทราบว่ามีราคาเท่าไรหรือ”

หงซิ่งแตะปิ่นของตนและตอบไปว่า “สองตำลึง”

หมิงเวยพยักหน้าแล้วถาม “ถ้าหากว่าท่านซื้อปิ่นปักผมมาในราคาสองตำลึง พี่น้องของท่านเห็นว่ามันงดงามมากและต้องการซื้อต่อจากท่านในราคาสองตำลึงสามเฉียน[1] จากนั้นท่านรู้สึกว่าท่านชอบมันจริงๆ จึงซื้อกลับมาในราคาสองตำลึงห้าเฉียน จากนั้นพี่น้องคนอื่นของท่านเสนอในราคาสามตำลึง ท่านก็ขายให้นางอีก ขอเรียนถามท่านว่าท่านได้กำไรหรือขาดทุนไปเท่าไร”

หงซิ่งตกตะลึงนางไม่สามารถตอบได้ เวลาผ่านไปนานจึงตอบด้วยความไม่แน่ใจ “ข้าได้กำไรสองตำลึง”

หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไรแล้วเดินผ่านอีกฝ่ายไป

หงซิ่งตะโกนขึ้น “สรุปข้าได้กำไรเท่าไรกันแน่”

หมิงเวยมายืนอยู่ต่อหน้าคนที่สอง คนผู้นี้อายุประมาณสามสิบปี แต่งกายด้วยเสื้อตัวสั้นที่ใช้ผ้าเนื้อหยาบทำ เขามีร่างกายที่แข็งแรงมือถือขวานเล่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นคนตัดไม้

“พี่ชายมีนามว่าอะไรหรือ”

เขาตอบด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “ข้าแซ่เฉียว”

“พี่เฉียวมีบุตรภรรยาหรือไม่”

“มีสิ!” คนตัดไม้พูดไม่หยุด “ภรรยาของข้าเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้านละแวกนี้ พวกเรามีลูกสาวชื่อว่าเสี่ยวอิงที่ทั้งฉลาดและเป็นเด็กดี ภรรยาของข้ากำลังท้องลูกอีกคนตอนนี้ใกล้จะคลอดแล้ว ไอหยา ภรรยาของข้าล่ะ”

หมิงเวยเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กทารกและพูดกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

อวี้หยางกำลังใช้ของวิเศษตรวจสอบ เสวียนเฟยสอบถามทีละคนเหมือนกับนาง ส่วนวิธีของหยางชูนั้นเรียบง่ายและหยาบคาย เขาลงมือโดยไม่ถามไถ่อะไรเพื่อทดสอบว่าฝ่ายตรงข้ามจะสู้กลับหรือไม่

หลายสิบกว่าคนถูกสอบถามไปหมดแล้วรอบหนึ่ง สุดท้ายทุกคนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่อุ้มลูกน้อย

คนอื่นไม่มีปัญหาอะไรมีแต่เด็กทารกที่ไม่สามารถทดสอบได้

หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “พวกท่านจะทำอะไร อย่าแตะต้องลูกของข้านะ! ไปให้พ้น!”

ศิษย์น้องของอวี้หยางถาม “ศิษย์พี่ใหญ่จะทำอย่างไรดีให้แย่งมาตรงๆ ดีหรือไม่”

อวี้หยางส่ายหน้า “ไม่ได้ หากได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร”

ซีเฉิงพูดอย่างชัดเจนแล้วตามหาวิญญาณชั่วร้ายโดยห้ามทำร้ายร่างกายผู้คน ทารกบอบบางเพียงนี้ หากแย่งมาตรงๆ แล้วเกิดบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร

หญิงสาวนางนี้จะต้องปกป้องบุตรของตนเองด้วยชีวิตเป็นแน่ ทั้งเจ็ดคนรู้สึกหมดหนทาง

จี้เสียวอู่สะกิดหมิงเวย “เป็นเด็กคนนี้จริงๆ หรือ”

หมิงเวยเลิกคิ้วไม่ตอบอะไร

“หมายความว่าความยากของคำถามนี้ไม่ใช่ตามหาวิญญาณชั่วร้าย แต่เป็นจะไม่ทำร้ายผู้อื่นอย่างไรงั้นหรือ”

หยางชูหัวเราะเยาะ “น่าเบื่อจริง! ข้าเคยคิดว่ามันเป็นการทดสอบที่น่าสนใจ แต่ผลลัพธ์กลายเป็นการทดสอบสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมไปซะได้”

จี้เสียวอู่พูด “นี่เป็นปัญหาจริงๆ! หรือว่าท่านสามารถดูเด็กคนนี้ตายได้งั้นหรือ”

หยางชูกลอกตามองบน “ข้าดูไม่ออกเลยว่าเจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม”

จี้เสียวอู่ลูบศีรษะ “ถึงข้าไม่ใช่คนดีอะไร แต่ให้ลงมือกับเด็ก..ข้าก็ทำไม่ลงหรอกนะ”

หยางชูแค่นหัวเราะ “ได้ ถ้าพวกท่านแต่ละคนไม่กล้า งั้นข้าทำเอง”

พูดจบเขาก็ก้าวไปข้างหน้าท่าทางราวกับจะไปจับตัวทารกน้อยคนนั้น

คนอื่นเห็นเช่นนั้นก็ตกใจจวินโม่หลีตะโกนออกไปว่า “ท่านจะทำอะไรน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

แต่หยางชูไม่สนใจเขา จวินโม่หลีโกรธมากเขาชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย เหล่าขุนนางชั้นสูงเห็นเหตุการณ์นี้ก็ตกใจพวกเขาพูดคุยกัน

“คุณชายหยางผู้นี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน”

“ใช่! แม้ว่าเด็กจะมีปัญหาจริงๆ แต่อายุเพียงไม่กี่เดือนยังกล้าลงมืออีกหรือ”

“ช่างไร้ความเมตตาจริงๆ!”

“ใช่….”

เมื่อฟังบทสนทนาเหล่านี้เจียงเชิ่งรู้สึกสดชื่นราวกับดื่มน้ำเย็นในเดือนหก เขาคิดในใจว่าไม่ว่าจะรักเขามากแค่ไหน แต่สนับสนุนไม่ได้ก็คือสนับสนุนไม่ได้ ในสายตาผู้อื่นเขาโหดร้ายเช่นนี้ผู้ใดจะไปกล้าทำงานร่วมกับเขากัน

เขามองไปและเห็นว่าฮ่องเต้และเผยกุ้ยเฟยเลิกคิ้วไม่พูดอะไรทำให้เขามีความสุขมากขึ้น

ทางด้านหยางชูและจวินโม่หลีที่กำลังประมือกันเขาพูดไปรับมือไปว่า “ไม่ให้ข้าลงมือพวกท่านก็หาทางแก้สิ! ยืนอยู่เฉยๆ เช่นนี้จะไปแก้ปัญหาอะไรได้”

จวินโม่หลีตะคอกใส่เขาด้วยความโกรธ “เด็กเล็กเพียงนี้ท่านยังกล้าลงมืออีกหรือ ยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีบ้างหรือไม่”

หยางชูหัวเราะเสียงเย็น “ข้าไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่พวกท่านมีผู้คนหลายสิบคนนี้ไม่สามารถมีชีวิตที่ปกติได้เพราะวิญญาณชั่วร้าย พวกท่านสงสารเห็นใจหนึ่งในนั้นคิดจะให้คนอื่นถูกฝังกลบร่วมกับผู้วายชนม์ไปด้วยงั้นหรือ ปากพูดเสียดิบดีมีประโยชน์อะไรพวกท่านไม่คิดลงมือกับคนผู้หนึ่ง แต่กลับทำร้ายคนอีกหลายสิบคน นี่เรียกว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกท่านงั้นหรือ”

จวินโม่หลีโกรธมาก “ท่านเถียงข้างๆ คูๆ! อาจารย์อาซีเฉิงปกป้องพวกเขาเป็นอย่างดี แค่รอให้เวลาผ่านพ้นไปเหตุใดท่านถึงพูดออกมาได้ว่าพวกเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกเล่า”

“แบบนี้เรียกว่ามีชีวิตอยู่งั้นหรือทำตัวราวกับหุ่นเชิดที่แสดงออกตามลักษณะที่กำหนดพวกเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว!”

“ท่าน…”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ดวงตาของหมิงเวยเปล่งประกาย และนางเคลื่อนไหวในทันที

………………

[1] เฉียน : เป็นหน่วยเหรียญเงินขาว มีรูตรงกลางเหมือนเงินอีแปะ(เหรียญสำริด) แต่ทำจากโลหะเงิน จึงมีค่ามากกว่า โดยทั่วไป 1 เฉียนมีค่าเท่ากับ 10 เฟิน 10 เฉียนเป็น 1 ตำลึง