เหยาเยี่ยนอวี่ค้นพบว่าหญ้าชนิดนี้รักษาโรคบิดของสัตว์ได้ แล้วถ้าเกิดเป็นคนล่ะ ไม่แน่หญ้าที่ถูกคนท้องถิ่นมองว่าเป็นหญ้าพิษที่ทำให้คนตาบอดอาจจะกลายเป็นหญ้าช่วยชีวิตในเขตเกิดอุทกภัยครั้งนี้ก็ได้!
เว่ยจางเป็นแม่ทัพจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ เหยาเหยียนอี้กลับเป็นรองเจ้ากรมป่าไม้ เรื่องพวกนี้มีผลกระทบอันใหญ่หลวงต่ออนาคตของเขา!
การจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ ต่อให้เดินทางกลับเมืองหลวงอวิ๋นสายไปไม่กี่วัน เกรงว่าฮ่องเต้คงไม่ถือโทษ!
สองมณฑลนี้ตอนนี้กำลังประสบภัยอันตราย ในทุกๆ วันมีคนเสียชีวิตเนื่องจากโรคบิดไปไม่รู้จำนวนเท่าใด! ฮ่องเต้ประทับอยู่ในราชสำนักจึงไม่ได้เห็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่เช่นนี้กับตา ทว่าก็ย่อมมีคนส่งสารให้เขาแน่นอน
ดังนั้นใต้เท้าเหยาพลันตั้งสติแล้วจัดการกับเรื่องสำคัญนี้ก่อน
เขาเลยให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมไปตามหาผู้ป่วยอาการหนักให้ทดลองดื่มยาต้มนี้ก่อน ครึ่งค่อนวันผ่านไป ผู้ป่วยที่มีอาการสาหัสเหล่านั้นดีขึ้นมามาก เหยาเหยียนอี้จึงสั่งให้คนป้อนยาต่อ พวกเขาทำการเหล่านี้ไปเป็นเวลาหนึ่งวัน ผู้ป่วยอาการสาหัสที่เหลือเพียงลมหายใจก็กลับมากินอะไรได้อีกครั้ง
ฉะนั้นเหยาเหยียนอี้จึงใช้ฐานะที่ตนเป็นรองเจ้ากรมป่าไม้ระดับที่ห้าในการตัดสินเรื่องนี้ จึงสั่งให้คนที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ดื่มยาต้มหญ้าเซียเหยี่ยน
เหยาเยี่ยนอวี่พักผ่อนอย่างเพียงพอ ตอนที่นางตื่นขึ้นมา เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าพี่ชายกลับไม่ได้เร่งรีบในการเดินทางต่อ แต่กลับเป็นห่วงเป็นใยเรื่องโรคระบาดในหมู่บ้านขึ้นมา นางเลยเข้าไปมีส่วนร่วมในการไปช่วยเหลือผู้ป่วยประสบภัย
เวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งวัน ชาวบ้านมากกว่าร้อยคนที่ได้ดื่มยาต้มชนิดนี้อาการก็ดีขึ้นมามาก
ทันทีทันใดข่าวคราวของหญ้าเซียเหยี่ยนที่ร่ำลือกันรุ่นสู่รุ่นว่ามาเป็นหญ้าที่มีพิษนั้นกลับรักษาโรคระบาดำด้จึงถูกเผยแพร่ออกไป หมู่บ้านที่ไร้ซึ่งความหวัง ท้ายที่สุดก็มีโอกาสรอดชีวิตอีกครั้ง
เหยาเหยียนอี้เขียนจดหมายลายน้ำอย่างกระจ่างแจ้งไปสองฉบับ ทั้งยังให้ลายนิ้วมือของผู้ป่วยที่หายป่วยจากโรคบิดปั้มอยู่ในจดหมายฉบับหนึ่ง ให้เว่ยจางสั่งให้คนส่งกลับไปกราบทูลฮ่องเต้ที่เมืองหลวงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกหนึ่งฉบับส่งไปให้ข้าหลวงชิ่งโจวที่ศาลาว่าการชิ่งโจว
ตอนที่เขียนจดหมาย ใต้เท้าเหยาก็รู้สึกว่าชื่อ ‘หญ้าเซียเหยี่ยน[1]’ นั้นหยาบโลน จึงตามน้องสาวมีปรึกษาหารือว่าจะตั้งชื่อยาสมุนไพรนี้ใหม่ เหยาเยี่ยนอวี่ขบคิดแล้วพูดอย่างรื่นเริง “ไม่เช่นนั้นก็เรียกว่าหญ้าหลี่จี๋[2]เถอะ”
เหยาเหยียนอี้ส่ายหัว “ก็หยาบโลนเหมือนกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “เช่นนั้นก็ให้ท่านพี่ตั้งชื่อที่เพราะและความหมายดีเองเถอะ ข้าไม่มีหัวสมองด้านนี้จริงๆ”
“อืม ยาสมุนไพรชนิดนี้เจ้าเป็นคนค้นพบเอง มิเช่นนั้นก็ให้ตั้งตามชื่อของเจ้า เรียกว่าหญ้าเยี่ยนเถอะ”
“นี่ข้าไม่ได้ค้นพบเองนะ แต่เป็นเจ้าเฮยหลางที่ค้นพบต่างหาก มันกินหญ้าชนิดนี้เอง ข้าถึงจะรู้ว่าหญ้านี้อาจจะเป็นยารักษาโรค ถึงใคร่อยากทดลองดู” เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้ม
“ออ! เจ้าเฮยหลาง…ม้า…” ใต้เท้าเหยาจับพู่กันพลางครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วเปรยถึง “พวกเขาต่างบอกว่าหญ้านี้มีพิษ ไม่รู้ว่านี่เรียกว่าการใช้พิษฆ่าพิษ ไม่เช่นนั้นก็เรียกมันว่า ‘หญ้าตู๋จวี’ ไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดในใจยังดีที่เจ้าไม่เรียกว่าหญ้าหลางตู๋ ดังนั้นจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ชื่อนี้ดี”
ขบวนรถม้าหยุดอยู่ที่นี่เป็นเวลาสองวันจากนั้นก็ออกเดินทางต่อ
เหตุเพราะสัตว์เหล่านั้นต่างก็หายดีจากอาการเจ็บป่วย พวกคนขับรถม้าต่างก็ยิ่งมีชีวิตชีวากว่าเดิม ทุกคนลอบวิพากษ์วิจารณ์ลับๆ ใต้เท้าเหยาเป็นขุนนางที่ราชสำนักส่งมาแล้วยังมีน้องชายที่ล่วงรู้วิชาการแพทย์ที่ลึกซึ้ งการมาทำงานครั้งนี้ไม่เพียงแต่ได้รับสินตอบแทน ทั้งยังรักษาชีวิตในยามเกิดอุทกภัยและโรคระบาดเช่นนี้! เรื่องดีๆ เฉกเช่นนี้ไปหาจากที่ใดได้อีกเล่า
ตอนที่ข้าหลวงชิ่งโจวได้รับจดหมายจากเหยาเหยียนอี้ก็นึกว่าจะเกิดสถานการณ์รุนแรงจากโรคระบาดครั้งนี้ ตอนนี้ทำนบแม่น้ำกั้นไว้ได้ชั่วคราว โรคระบาดจึงกลายเป็นเรื่องแรกที่ต้องจัดการ ชิ่งโจวที่เขาปกครองได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ตอนนี้กล่าวได้ว่าเขาทำคุณบูชาโทษอยู่ หากเกิดสถานการณ์วุ่นวายขึ้นอีก ฮ่องเต้คงจะตัดหัวเขาเป็นคนแรกแน่นอน
ทว่าชีวิตของคนสำคัญยิ่งนัก ข้าหลวงชิ่งโจวก็ไม่กล้าทำงานประมาท จึงถือจดหมายแล้วอ่านสองสามรอบ ยังคงรู้สึกกึ่งเชื่อกึ่งสงสัยในเรื่องนี้ ตามข่าวที่ร่ำลือกันรุ่นสู่รุ่น หญ้าเซี่ยเหยี่ยนทำให้คนตาบอด และอาจจะถึงขั้นเสียชีวิต ทว่าผู้ป่วยมากกว่าร้อยคนที่หายจากการดื่มยาต้มนี้ก็ไม่ใช่ความเท็จ ดังนั้นจึงสั่งให้คนไปตามหาผู้ป่วยอาการสาหัสไปลองยาชนิดนี้ดู
การทดลองยาได้ประสิทธิผลอย่างที่คาด จากนั้นข้าหลวงชิ่งโจวต้องการดำเนินเรื่องนี้ด้วยความปลอดภัย จึงให้ผู้ป่วยอาการหนักกลุ่มย่อยกินยาต้มนี้ก่อน
หลังจากที่ทดลองกินยาเช่นนี้กันสามรอบและแน่ใจว่ายานี้ได้ประสิทธิผลจริงๆ ถึงจะเริ่มสั่งให้คนไปเด็ดยาเป็นจำนวนมากมา ทั้งยังเอาหม้อต้มยาขนาดใหญ่ไปตั้งตรงประตูทางเข้าเมืองทั้งสี่ประตูแล้วให้ชาวบ้านและสัตว์ที่เลี้ยงในบ้านได้กินยาต้มนี้
หญ้าชนิดนี้ถูกใต้เท้าเหยาตั้งชื่อว่าเป็นหญ้าตู๋จวี และเป็นหญ้าที่พบเห็นทั่วไปในชิ่งโจว หลังจากชาวบ้านรู้จักกันแล้วจึงเด็ดไปต้มเองที่บ้าน โรคระบาดนี้จึงถูกควบคุมได้ทันที ข้าหลวงแห่งชิ่งโจวรู้สึกชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง พลันส่งสาส์นเข้าไปในราชสำนักเพื่อกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงวางพระทัย
ตอนที่สองพี่น้องตระกูลเหยาและแม่ทัพเว่ยส่งหญ้าห้ามเลือดและดักแด้ดินทั้งสองชนิดนี้ไปถึงชายฝั่งน้ำแม่จินและกำลังเตรียมตัวลงจากรถม้าแล้วเปลี่ยนเป็นขึ้นเรือแทน ฮ่องเต้ก็ได้รับสาส์นกราบทูลของเหยาเหยียนอี้และข้าหลวงชิ่งโจวก่อน จึงรู้สึกพอพระทัยอย่างยิ่ง
อุทกภัยในครั้งนี้ยังไม่จบลง ‘หญ้าตู๋จวี’ สามพยางค์นี้และนามเรียกของสองพี่น้องตระกูลเหยาจึงถูกร่ำลือกันไปทั่วราชสำนัก
ณ เมืองหลวงราชวงศ์ต้าอวิ๋น หน้าประตูราชสำนักอันโออ่ามีบันไดหยกขาวเก้าสิบเก้าขั้นอัครเสนบดีเฟิงจงเยี่ยที่อยู่ในชุดขุนนางระดับหนึ่งประจำราชสำนักตัวม่วงและยังสวมใส่รองเท้าหุ้มข้อคู่ใหม่กำลังก้าวลงบันไดทีละก้าว
ข้างกายเขามีบุรุษผู้หนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดขุนนางระดับสาม กำลังเดินเข้าไปใกล้เขาด้วยรอยยิ้มอันรื่นเริงแล้วค้อมตัวขานเรียก “ใต้เท้าเฟิง”
“อืม ใต้เท้าเหลียง” เฟิงจงเยี่ยพยักหน้า
เหลียงข่ายเฉิง ไท่ฉังซื่อชิง เป็นหลานชายจากครอบครัวอีกแขนงหนึ่งของต้นตระกูลภรรยาของเฟิงจงเยี่ย ตามระดับความเป็นอาวุโส เขาควรเรียกเฟิงจงเยี่ยว่าท่านลุง แต่เขากำเนิดในสายครอบครัวอีกแขนงหนึ่ง ตอนนี้ก็ยังอยู่ในวังหลวงด้วย แน่นอนต้องเรียกตามยศและตำแหน่งของขุนนาง
“เจ้าว่าเรื่องอุทกภัยเกี่ยวข้องกับกรมป่าไม้อย่างไร นี่เหยาเหยียนอี้ยุ่งเรื่องคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า” เหลียงข่ายเฉิงรู้ว่าเฟิงจงเยี่ยไม่ชื่นชอบข้าหลวงใหญ่เหยาหย่วนจือที่ปกครองสองเมืองมาโดยตลอด วันนี้ตอนอยู่ในราชสำนัก ฮ่องเต้ทรงกล่าวชมเหยาเหยียนอี้อย่างมาก ภายในใจของอัครเสนาบดีเฟิงย่อมรู้สึกไม่พอใจ
อัครเสนาบดีเฟิงมีอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว ใบหน้าที่เคล้าด้วยรอยย่นดูไม่สื่ออารมณ์ใด แค่มองเหลียงข่ายเฉิงด้วยสายตานิ่งเฉยเพียงปราดเดียวแล้วพูดขึ้น “เหยาเหยียนอี้ค้นพบหญ้าตู๋จวีช่วยชีวิตชาวบ้านนับหมื่นที่อยู่ในเขตอุทกภัย ฮ่องเต้พระราชทานสินบนรางวัลให้เขาก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”
เหลียงข่ายเฉิงพลันค้อมตัวพูดด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้ากล่าวถูก ช่วงก่อนข้าเพิ่งได้เหล้าที่หมักเป็นนานมาหนึ่งไห บังเอิญทุ่งดอกบัวที่ปลูกมาสองปีหลังสวนบุษบาก็ผลิบานแล้ว ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะยินดีไปชมดอกบัวดื่มสุราที่จวนของข้าหรือไม่”
“ไว้วันหลังเถอะ” เฟิงจงเยี่ยถอนหายใจเบาๆ “โรคระบาดในเขตเกิดอุทกภัยแม้จะควบคุมไว้ได้แล้ว ทว่าอาหารที่ส่งให้ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังไปไม่ถึง เวลานี้พวกเราต้องแบ่งเบาภาระแทนฮ่องเต้ให้มากถึงจะถูก ใต้เท้าเหลียง เรื่องชมดอกบัวดื่มสุราเลื่อนไปวันหลังก่อนเถอะ”
“ใต้เท้ากล่าวถูก” เหลียงข่ายเฉิงพลันโค้งตัวลงแล้วมองเฟิงจงเยี่ยสาวเท้าก้าวใหญ่ไปที่ไกลๆ
ใต้เท้าเหลียงท่านนี้ แม้นจะเป็นขุนนางระดับสาม ทว่าหน้าที่ของเขาก็คือรับผิดชอบเกี่ยวกับพิธีเซ่นไหว้ของราชวงศ์และราชสำนัก เหมือนครั้งนี้เป็นฟ้าที่ทรงประทานน้ำฝนลงมา ทำนบแม่น้ำจินถูกทำลาย ใต้เท้าเหลียงจะเป็นคนเตรียมจัดพิธีเซ่นไหว้ฟ้าดินขอให้เทพเจ้าทรงปกปักรักษาให้ทุกคนในราชวงศ์ต้าอวิ๋นมีแต่สันติสุขและอำนวยพรให้บ้านเมืองสงบสุข
ว่าไปแล้วขุนนางระดับสามขั้นเอกนี้ไม่มีหน้าที่สำคัญอะไร ดังนั้นบุตรชายคนรองภรรยาเอกของใต้เท้าเหลียงขอสู่บุตรีของพ่อค้าขายสมุนไพรคนหนึ่งมาเป็นภรรยาเอก ว่ากันว่าพ่อค้าขายสมุนไพรคนนั้นแซ่ปั๋ว มาจากเจียงหนาน เมื่อครั้นออกเรือนก็เตรียมสินเดิมเจ้าสาวชั้นดีมาสิบชุด ซ้ำยังแบ่งร้านยาหลายสิบร้านในเจียงหนานให้บุตรีคนนี้เป็นจำนวนสองส่วน
[1] เซียเหยี่ยน คือคำทับศัพท์ภาษาจีน แปลว่าตาบอด
[2] หลี่จี๋ เป็นคำทับศัพท์ภาษาจีน ซึ่งมีความหมายว่าโรคบิด