เหยาเยี่ยนอวี่เห็นจึงค่อนข้างลังเล ภายในใจครุ่นคิดว่าเพื่อการใหญ่นางไม่เทหมดหน้าตักไม่ได้ หลังจากรอให้ยาต้มหายร้อนก็เทเข้าไปในขวดที่มีปากเล็กแล้วยื่นไปให้เซินเจียงพร้อมสั่งการขึ้น “เทใส่ปากมัน”
“เจ้าค่ะ” เซินเจียงไม่ได้มากความอะไร แค่จับตัวแกะตัวน้อยไว้แล้วป้อนยาต้มเข้าปากมันด้วยวิธีบีบบังคับ แกะน้อยดิ้นไม่ได้ ทำได้เพียงร้องแบ๊ะๆ เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเป็นปม ทว่ามันกลับร้องไม่หยุด
เว่ยจางคอยมองอยู่ด้านข้างตลอดและไม่พูดไม่จาใดๆ
เขาสังเกตเห็นว่านิสัยของเหยาเยี่ยนอวี่ช่างขัดแย้งจริงๆ ตอนอยู่บนเรือก็ให้ถังเซียวอี้ทำความสะอาดปลา นางยืนพูดอยู่ด้านข้างทว่ากลับไม่แตะต้องแม้แต่ปลายนิ้วเดียว ตอนนี้ก็มองเซินเจียง ‘รังแก’ แกะตัวน้อยที่น่าสงสารอย่างซึ่งๆ หน้า ในความเป็นจริงภายในใจก็ทนดูไม่ไหว ทว่ากลับแกล้งทำเป็นใจร้ายแล้วสั่งให้เทยาต้มเข้าปากแกะตัวน้อย
บางครั้งนางก็น่าเกลียดน่าชังเหมือนเด็กน้อย บางครั้งกลับมีสติจนน่ากลัว
“คุณหนูเจ้าคะ เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยมองยาต้มในขวด อย่างน้อยก็มีเจ็ดส่วนที่เข้าไปในท้องของแกะน้อยแล้ว ดังนั้นนางลอบถอนหายใจ นางกังวลว่าจะทำให้แกะน้อยตายโดยไม่ทันระวัง
“ดูมันไว้ดีๆ คอยจับตามองตอนที่มันขับถ่าย” คุณหนูเหยาสั่งการแล้วเหยียดกายลุกขึ้นไปล้างมือ
“อ้อ!” เซินเจียงลูบท้ายทอยตนเอง นางไม่เข้าใจว่าคุณหนูของพวกนางทำเช่นนี้ไปไย
หนิงฮูหยินน้อยสั่งให้คนมาตามให้เหยาเยี่ยนอวี่ไปกินข้าว เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองเว่ยจางที่อยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปกินข้าว”
คางของเว่ยจางเชยไปยังทิศทางที่แกะน้อยอยู่ “ข้ากำลังมองเจ้ารังแกแกะน้อยอยู่อย่างไรเล่า”
“นี่ไม่ใช่การรังแกมัน!” คุณหนูเหยากลอกตามองบนใส่แม่ทัพเว่ยแล้วหันหลังเดินเข้าไปในเรือน
เว่ยจางอดกลั้นความใคร่อยากหัวเราะไว้แล้วยกมือลูบจมูกพลางเดินตามไป
หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่เอาแต่สนใจแต่เรื่องยาต้มของแกะน้อยจึงไม่รู้สึกง่วงนอนแม้แต่น้อย นางเลยพลิกอ่านตำราโอสถใต้แสงไฟ
เมื่อถึงยามโหย่ว[1]สองเค่อ[2]ชุ่ยเวยพลันวิ่งเข้าไปเรียนเหยาเยี่ยนอวี่ “คุณหนูเจ้าคะ แกะน้อยตัวนั้นเริ่มกินอาหารแล้ว! อีกอย่าง หลักจากที่กินยาพวกนั้นลงไปก็ไม่ได้ท้องร่วงอีกเลย”
“จริงหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้าอย่างดีใจแล้ววางตำราในมือลงบนโต๊ะ “ไป ไปดูกัน”
ตรงมุมหลังสวนโรงเตี๊ยมเว่ยจางก็อยู่ที่นั่น
แกะน้อยที่ถูกเหยาเยี่ยนอวี่ ‘รังแก’ ตัวนั้นกำลังผงกหัวกินหญ้าไปทีละนิด ตัวมันยังเล็ก เหมือนจะกินอะไรไม่เข้า ใบหญ้าที่อยู่ในปากเหมือนจะเคี้ยวอย่างไรก็ไม่ขาด
เหยาเยี่ยนอวี่มองแล้วรู้สึกขบขันแล้วสั่งการเซินเจียง “ไปเอาน้ำข้าวให้มันกินหน่อย”
เซินเจียงรับคำแล้วเดินไปที่โรงครัว ไม่นานก็เอาน้ำข้าวหนึ่งกะละมังมาให้วางตรงหน้าแกะน้อย แกะน้อยขยับเข้าไปดมแล้วเริ่มกินขมุบขมิบ
เหยาเยี่ยนอวี่กำลังมองมันดื่มอย่างเพลิดเพลินแล้วไม่ตงที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องอย่างตกใจ “ถ่ายแล้วๆ! แกะถ่ายอุจจาระเป็นก้อนไข่!”
“จริงหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่พลันหันไปมองไม่ตงเอาโคมไฟในมือขยับเข้าไปใกล้
แกะน้อยเงยหน้ามองแล้วกินน้ำข้าวต่อ
เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะเหอะๆ “ไป ไปเรียกคนเด็ดหญ้าเซียเหยี่ยนมาแล้วเอาไปต้มให้พวกวัวม้าล่อลาพวกนั้นกิน ไม่กินก็ต้องบังคับป้อนให้ได้ ให้กินตามจำนวนขวดอันนี้ สัตว์ทุกตัวต้องกินสี่ถึงห้าขวด”
“เจ้าค่ะ!” เซินเจียงนับถือในนายหญิงของตนมาโดยตลอดและไม่เคยพูดอะไรให้มากความ
“รอก่อน!” เว่ยจางพลันรั้งคนไว้
“อ๊า? ท่านแม่ทัพยังมีธุระใดหรือ” เซินเจียงชะงักฝีเท้าแล้วปรายตามองคุณหนูของตนเพียงพริบตาเดียว
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้ม “เจ้าเฮยหลางของท่านแม่ทัพก็ไม่ต้องป้อนแล้ว มันกินยาเองมาโดยตลอด”
“เหอะๆ! เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” เซินเจียงลูบศีรษะพลางส่งยิ้มแล้วหันหลังวิ่งออกไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย!
เว่ยจางหันข้างมองนาง ตลอดหลายวันมานี้ มัวแต่รีบเดินทาง ต้องกินอาหารป่าและพักกลางป่าพงไพร นางดูซูบผอมลงไม่น้อย ทว่ากลับยังคงดูมีชีวิตชีวา ตอนอยู่ในที่มืด แววตาคู่นั้นทอประกายเป็นพิเศษคล้ายกับดวงดาวที่ส่องแสงสว่างที่สุดกลางท้องนภา ไม่ต้องมองหา เพียงเงยหน้าก็เห็น
ดวงใจกล้าหาญกล้าคิดกล้าทำกล้ารับ เว่ยจางใช้คำพูดสิบพยางค์นี้ประเมินคุณหนูเหยา
ได้ภรรยาเช่นนี้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!
ทว่าเรื่องกลับไม่ได้ง่ายเหมือนที่เหยาเยี่ยนอวี่คิดไว้ คนขับรถม้าเหล่านั้นก็ได้ยินมาว่าหญ้าเซียเหยี่ยนทำให้คนตาบอดได้ ดังนั้นจึงดืงดันไม่ยอมให้สัตว์เลี้ยงของตัวเองกินยาต้มเช่นนี้
พวกเขาเล่าเรื่องที่หลังจากเซินเจียงให้แกะน้อยกินยาก็เห็นผลอย่างดีให้พวกเขาฟังไปสิบกว่ารอบแล้ว พูดจนแม้กระทั่งริมฝีปากเสียดสีจนเป็นแผล คนพวกนี้ก็ไม่ยอมฟัง
เว่ยจางได้ยินจึงรีบสั่งให้ถังเซียวอี้มาแล้วสั่งการ “ให้ม้าของพวกเรากินยาก่อนเถอะ”
ถังเซียวอี้ไม่มีความคิดเห็นใดๆ จึงสั่งให้ทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชามารวมตัวกันแล้วสั่งให้แต่ละคนไปป้อนยาให้ม้าของตนเอง
เหล่าทหารที่คัดเลือกมาจากกองทัพเรือค่อนข้างรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข อย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว ม้าก็เปรียบเสมือนขาของตนเอง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา การเดินทางที่เหลือพวกเขาก็คงต้องพึ่งพาขาเพียงสองข้าง ทว่าทหารที่เว่ยจางพามาจากเมืองหลวงอวิ๋นกลับไม่รู้สึกลังเลในคำบัญชานี้ต่างคนต่างป้อนยาต้มให้ม้าของตนเอง
พอมีคนริเริ่มทำเรื่องนี้ก็มีคนกระทำตาม
เหล่าทหารเรือกลัวว่าจะถูกแม่ทัพเว่ยรังเกียจจึงมีคนเริ่มเอายาป้อนม้าของตนเอง พวกเขาทยอยกันป้อนยาเยี่ยงนี้ ทหารยอดฝีมือของเว่ยจางสี่สิบกว่านายต่างป้อนยาให้ม้าของตน
บรรดาคนขับรถม้าเหล่านั้นบางคนที่อายุค่อนข้างเยอะต่างเริ่มรู้สึกเจ็บปวดใจแล้วก่นด่าชายหนุ่มพวกนี้ว่าไม่รู้เรื่องแต่กลับกระทำอย่างเรื่อยเปื่อย จำต้องทำร้ายม้าพันธุ์ดีเยี่ยงนี้เชียวหรือ
เหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่บนลานมองคนที่กำลังโวยวายจึงอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ ภายในใจคิดว่าคืนนี้คงไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้ว
ก่อนหน้านี้ในบรรดาม้าพวกนี้มีไม่น้อยที่ท้องร่วง ดังนั้นยาตัวนี้จะได้หรือไม่ได้ผล ก่อนฟ้าสางก็คงจะได้คำตอบเอง ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้รู้สึกหวั่นวิตกอีกต่อไป ความแตกต่างระหว่างม้าและแกะก็คงมีเพียงขนาดเล็กและใหญ่เท่านั้น ยาตัวนนี้รักษาแกะให้หายได้ แน่นอนว่าต้องรักษาม้าได้ หากไม่เห็นผลเช่นนั้นยาที่ป้อนก็คงไม่พอ
ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่ให้เว่ยจางสั่งให้คนไปเก็บหญ้าเซียเหยี่ยนเพิ่ม ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี นางจะขนขึ้นเหนือด้วย
พอยุ่งวุ่นวายมาทั้งคืน ยามฟ้าสาง ม้าบางตัวเริ่มเกิดอาการท้องผูก จากนั้นสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงคือม้าที่ท้องร่วงกลับไม่ถ่ายเหลวอีกต่อไป
พวกคนขับรถม้าต่างก็ตะลึงงัน ถังเซียวอี้จึงเอ่ยถามอย่างรื่นเริง “เป็นเช่นไรบ้าง สัตว์ของพวกเจ้าจะให้หรือไม่ให้ยากันแน่ ตกลงกันก่อน หากไม่ให้ยาแล้วพวกมันตายอีกนี่ก็คงไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว ใต้เท้าของพวกเราคงไม่มีเงินชดเชยมากมายปานนี้ให้พวกเจ้าหรอก!”
“ให้ยา!” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาตอบกลับเป็นคนแรก ล่อของเขาท้องร่วงมาสามวันแล้ว ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อก็คงเป็นเหมือนลาสองตัวนั้นที่ตายกลางทาง
แล้วมีคนตอบกลับด้วยความประหม่า “ให้ยาเถอะ! สภาพเช่นนี้หากไม่ให้ยาต่อไปเช่นนี้อีกไม่เกินสองวันลาของข้าก็คงตาย”
เหยาเยี่ยนอวี่อดจามหนึ่งทีไม่ได้ จึงพูดกับเว่ยจางด้วยความเหนื่อยหน่าย “ข้าไม่ไหวแล้ว ให้ข้าไปนอนพักก่อนเถอะ ตอนจะออกเดินทางค่อยสั่งให้คนมากเรียกข้า” พูดจบจึงหันหลังเดินจากไป
เว่ยจางและเหยาเหยียนอี้กลับไม่รู้สึกง่วงนอนแม้แต่น้อย แม้กระทั่งยังค่อนข้างรู้สึกรื่นเริงยินดี
[1] ยามโหย่ว คือเวลา 5 โมงเย็นถึงทุ่มตรง
[2] เค่อ คือหน่วยบอกเวลาของจีน หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที