เหยาเยี่ยนอวี่ลอบดึงแขนเสื้อของเหยาเหยียนอี้หนึ่งทีแล้วพูดด้วยเสียงเบา “สถานที่เยี่ยงนี้ต่อให้มีสัตวแพทย์ก็เกรงว่าคงไม่มียารักษา!”
เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้ว “ต้องคิดหาวิธีสิ มิเช่นนั้นสัตว์เหล่านี้ก็คงตายกลางทางเสียแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่พึมพำเสียงเรียบไปสักพักแล้วพูดขึ้น “ข้าใช้เข็มเงินลองดูได้ ทว่าเข็มเงินนี้เล็กเกินไป ต้องหาเข็มยาวมาทดลองรักษา”
“ข้ายังไม่เคยได้ยินเรื่องรักษาสัตว์ด้วยการฝังเข็ม เจ้าช่างคิดจริงๆ!” เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้ว
“ก็ต้องลองดู” เหยาเยี่ยนอวี่คิดในใจ ทักษะการแพทย์ของข้าก็ฝึกจากพวกสัตว์นี่แหละแค่สัตว์พวกนั้นเป็นสัตว์ตัวเล็กจำพวกไก่ สุนัข กระต่าย ส่วนล่อลาวัวม้าก็แค่ไม่เคยลองรักษาก็เท่านั้น
“เช่นนั้นจะหาเข็มเงินยาวพอได้จากที่ไหนกัน” เหยาเหยียนอี้เอ่ยถามอย่างลำบากใจ
เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่มีวิธี หายาก็ไม่ง่าย หาเข็มเงินก็ไม่ง่ายเช่นกัน
สองพี่น้องพูดคุยกันพลางออกจากโรงเตี๊ยม ในขณะเดียวกัน เหยาเหยียนอี้ตรวจรถม้าทีละคัน มีคนขับรถม้าที่เฝ้ารถกำลังนั่งกินข้าวอยู่บนรถม้า พอเห็นเขา พวกเขาพลันลุกขึ้นทักทายทันที
เหยาเยี่ยนอวี่หันหน้ามองไปโดยไม่ตั้งใจก็เห็นม้าพันธุ์ดีสีนิลตัวหนึ่งกำลังเงยหน้ากินใบไม้จากกิ่งไม้หนึ่งที่อยู่ใต้โคมไฟ
“อย่างไรก็เจ้าเฮยหลางนี่แหละเก่งกาจที่สุด” เหยาเยี่ยนอวี่เปรยไม่หยุด ม้าตัวนี้ของเว่ยจางหาอาหารให้ตนกินเองตลอดทาง หญ้าที่ขนมาบนเรือก็ให้สัตว์ตัวอื่นกินอย่างประหยัด ทว่าเจ้าเฮยหลางกลับมีชีวิตชีวาโดยตลอด ไม่มีอาการว่าจะป่วยแม้แต่เพียงน้อ ยไม่รู้จริงๆ ว่ามันเติบโตมาอย่างไร
พอนึกถึงคืนนั้นที่ตนกับเว่ยจางขี่บนหลังของมัน เหยาเยี่ยนอวี่อดที่จะเดินไปตรงหน้าเฮยหลางไม่ได้ เฮยหลางกินใบไม้บนกิ่งไม้นั้นจนหมดแล้วก้มหน้ากินหญ้าข้างกำแพงต่อ
เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นมือไปลูบแผงคอของเฮยหลางแล้วเปรยขึ้น “หากพวกมันแข็งแกร่งเท่าครึ่งหนึ่งของเจ้าก็คงดี!”
เฮยหลางส่ายหัวเล็กน้อย กระดิ่งตรงคอของมันดังขึ้น เว่ยจางที่อยู่บนถนนฝั่งโน้นได้ยินเสียงจึงหันมามอง เห็นเหยาเยี่ยนอวี่กำลังคุยกับม้าของตนจึงหันหลังเดินมา
เหยาเยี่ยนอวี่มองเฮยหลางกินหญ้าอย่างเพลิดเพลินจึงยื่นมือไปเด็ดหญ้าหนึ่งกำมือให้มันกินแล้วเปรยขึ้น “นี่มันของกินอะไรกัน ไยเจ้าถึงกินได้เอร็ดอร่อยเยี่ยงนี้” ขณะที่พูดนางก็เอาหญ้ามาดมตรงปลายจมูกแล้วนิ่งงันไปทันที
“เป็นอะไรไป” เว่ยจางเดินมาก็เห็นเหยาเยี่ยนอวี่จับหญ้าเขียวขจีไว้แล้วนิ่งงันไปชั่ววูบจึงอดถามไม่ได้ “มีอะไรผิดปกติ”
“หญ้าพวกนี้มีกลิ่นแรงมากเพียงนี้ เฮยหลางกินได้อย่างไร” เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นใบหญ้าในมือให้เว่ยจาง
เว่ยจางขมวดคิ้ว กลิ่นนี้แปลกจริงๆ ทว่าเฮยหลางกินแล้วก็ไม่ได้เกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นดังนั้นจึงลูบแผงคอของม้าโดยไม่สนใจใดๆ “ไม่แน่มันอาจจะอร่อยก็ได้”
“ข้าก็รู้สึกว่ากลิ่นนี้แปลกๆ” เหยาเยี่ยนอวี่จับหญ้าหันหลังพลางยื่นไปข้างปากของม้าอีกตัวม้าสีแดงพุทราตัวนั้นคือม้าที่ถังเซียวอี้ควบขี่กลับไม่ดมกลิ่นของหญ้า แค่ส่ายหน้าแล้วหันมากินใบไม้บนกิ่งไม้ต่อ
“เห็นหรือยัง” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามเว่ยจาง
เว่ยจางยิ้มจางๆ “นี่มีอะไรน่าแปลก ม้าก็ชอบรสชาติที่ไม่เหมือนกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหัวแล้วหันไปสั่งให้คนเอาโคมไฟมาจากนั้นมองหญ้าในมือด้วยความตั้งใจแล้วพูดขึ้น “หญ้าพวกนี้เหมือนจะมีมากตามทางที่พวกเราเดินทางมา”
“อืม อาจจะใช่” แม่ทัพเว่ยสามารถสังเกตการณ์อย่างรอบคอบและฉับไว กลับมีเพียงหญ้าพวกนี้ที่เขาไม่ใส่ใจ
“แค่เฮยหลางชอบกินและมีเพียงเฮยหลางที่ไม่ป่วย” เหยาเยี่ยนอวี่พึมพำขึ้น
เว่ยจางนิ่งงันแล้วหันไปมองสตรีในชุดบุรุษที่อยู่ข้างๆ แล้วนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
เหยาเยี่ยนอวี่จับใบหญ้าสีเขียวในมือแล้วเอ่ยถาม “เจ้าว่านี่เป็นยารักษาโรคบิดโดยเฉพาะหรือไม่”
เว่ยจางส่ายหน้าพลางยิ้ม “เจ้าถามข้า? ข้าจะรู้หรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “แค่ลองก็รู้เอง” พูดจบจึงก้มลงไปเด็ดหญ้าพลางหันหลังเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
เว่ยจางรู้สึกน่าสนใจจึงเดินตามไปด้วย
ตอนเข้าประตูก็เจอกับเถ้าแก่ในโรงเตี๊ยมออกมาพอดี พอเห็นหญ้าในมือของเหยาเยี่ยนอวี่จึงขานเรียกอย่างตกใจ “อั๊ยโย! คุณชายท่านนี้อย่าจับหญ้าพวกนี้ไว้เลย นี่เรียกว่าหญ้าเซียเหยี่ยน มีพิษร้าย! ถ้าเข้าตาจะทำให้กลายเป็นคนตาบอดได้! อั๊ยโย ก่อนหน้านี้หญ้าเหล่านี้ไม่ค่อยพบเห็นได้ง่ายๆ ไม่รู้เพราะเหตุใดปีนี้ถึงขึ้นตามทางเยอะเป็นพิเศษ! มีทุกที่! มีทุกที่จริงๆ! ข้าว่าแล้วหากหญ้าพวกนี้ขึ้นตามทางเช่นนี้ต้องเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแน่นอน! เจ้าดูสิ มันเลยเกิดอุทกภัยขึ้นอย่างไรเล่า!”
เหยาเยี่ยนอวี่มองเถ้าแก่อย่างประหลาดใจ “ไม่หรอกกระมัง ม้าของพวกเรากินหญ้านี้ตลอดทางก็ยังไม่เป็นเช่นไรเลย”
“ม้าตัวนั้นของเจ้าเป็นม้าอะไรกัน ม้าเซียนหรือไร”
“พรวด…” เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะร่วน
“เจ้าบอกว่านี่คือพิษ?” เว่ยจางเอ่ยถามด้วยคิ้วขมวด
“เป็นเช่นนั้น”
“เจ้าเคยลอง?”
“อั๊ยโย! ใครจะมีเวลาว่างจนต้องเอาชีวิตตัวเองไปเล่นเล่า! บรรพบุรุษว่ากันว่ากินแล้วจะทำให้คนตาย เจ้าไม่เห็นหรือไร แม้แต่สัตว์เหล่านั้นยังไม่แตะต้องมันเลย” เถ้าแก่อธิบายขึ้นแล้วชี้ไปยังล่อม้าสองสามตัวที่อยู่ด้านข้าง
เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มแล้วชี้ไปยังม้าของเว่ยจาง
เถ้าแก่เห็นจึงขานเรียกอย่างสะดุ้งตกใจ “โอ้สวรรค์! มันกินจริงหรือ”
“ตลอดการเดินทางมันกินไปไม่น้อยเลยทีเดียว” เหยาเยี่ยนอวี่พูดอย่างรื่นเริง “ดังนั้นคำพูดที่บรรพบุรุษสืบทอดกันอาจจะเป็นความเท็จก็ได้” พูดไปนางจึงหันหลังเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
นางเข้าเรือนของตนอย่างเร่งรีบ เหยาเยี่ยนอวี่เอาตำราโอสถโบราณที่พกติดตัวออกมาแล้วพลิกหน้าตำราด้วยความคล่องแคล่วพลางอ่านอย่างตั้งใจ หลังจากที่พลิกอ่านพลางเอาหญ้าที่มีชื่อว่า “หญ้าเซียเหยี่ยน” มาเปรียบเทียบ นางพลิกตำราไปสี่ห้ารอบสุดท้ายก็ทอดถอนหายใจเบาๆ
“คุณหนู กินข้าวแล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยเดินเข้ามาจากด้านนอกก็เห็นเหยาเยี่ยนอวี่กำลังพลิกตำราจึงเข้าไปเกลี้ยกล่อม “กินข้าวก่อนเถอะเจ้าคะ”
“เดี๋ยวก่อน” เหยาเยี่ยนอวี่ปิดตำราโอสถโบราณแล้วมองหญ้าเขียวขจีในมือ
“นี่มันอะไรเจ้าคะ” ชุ่ยเวยยื่นมือเอาหญ้านั้นไปแล้วสังเกตมองอย่างละเอียด “นี่ไม่ใช่หญ้าที่ขึ้นตามริมทางริมถนนตรงด้านนอกหรือ หญ้านี่ขึ้นกระจัดระจายไปทั่วทุกสารทิศ บ่าวกำลังคิดว่าเหตุใดน้ำท่วมหนักเช่นนี้มันกลับไม่ถูกท่วมตาย!”
“เป็นเช่นนั้น!” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดหนึ่งที่แปลกพิลึก สรรพสิ่งทั้งปวงใต้หล้านี้ย่อมกลายเป็นปัญจธาตุ ย่อมส่งผลกระทบเชื่อมโยงเป็นสายระโยงระยางและไม่มีวันสิ้นสุด
นางลืมว่าเคยเจอเรื่องนี้ที่ใด ทว่าจู่ๆ ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล หญ้าเหล่านี้ขึ้นกระจัดกระจายหลังจากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ต้องมีเหตุผลอันอัศจรรย์แอบแฝงเป็นแน่
“พวกเราทำการทดลองอะไรอย่างหนึ่ง ชุ่ยเวย เจ้าไปถามเถ้าแก่หมู่บ้านนี้มีสัตว์ตัวเล็กที่เป็นโรคบิดหรือไม่ หากมีก็จับมาให้ข้าสองสามตัว” เหยาเยี่ยนอวี่จับหญ้าเซียเหยี่ยนแล้วลงไปชั้นล่าง
“อ๋า?” ชุ่ยเวยงงงันตะลึงลานไปทันที “แต่นี่ได้เวลากินข้าวแล้ว!”
“ยังไม่กิน!” เสียงของเหยาเยี่ยนอวี่ดังจากด้านล่างตึก
ก็ได้ นายหญิงบอกว่าไม่กินก็ไม่กิ นชุ่ยเวยพลันลงจากตึกแล้วไปตามหาสัตว์ขนาดเล็กที่ป่วยเป็นโรคบิด
เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้คนไปเด็ดหญ้าเซียเหยี่ยนมาต้ม ต้มจนน้ำกลายเป็นสีเข้มของยา ชุ่ยเวยกลับมา ด้านหลังของนางยังมีเซินเจียงที่จูงแกะตัวน้อยรูปร่างซูบผอมมาด้วย