ท่ามกลางพายุหิมะ

 

ทั้งคนทั้งร่างของแปดผู้เข้าสู่วิถีมารยังคงนิ่งงัน สีหน้าของผู้คนทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

 

“นรกเถอะ! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย!” คนหนึ่งตะโกนออกมา

 

ชายหัวล้าน เอ่ยปาก “ฉันได้ทำการจ่ายแต้มพลังวิญญาณเพื่อถามเรื่องนี้กับเชื้อไฟไปแล้ว และมันบอกว่านี่คือคำสาปแช่งที่ร้ายแรงนัก!”

 

เชื้อไฟรู้อย่างงั้นหรอว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร!

 

พอได้ยิน บางคนก็ค่อยสงบใจลงเล็กน้อย

 

“งั้นก็แล้วไป เพราะตราบใดที่เชื้อไฟสามารถล่วงรู้เกี่ยวกับมันได้ นั่นหมายความว่าพวกเราสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณแก้ปัญหานี้-”

 

ชายหัวล้านพูดเสียงดัง แต่แล้วน้ำเสียงของเขาก็ค่อยๆเบาลง

 

พร้อมด้วยสีหน้าที่กลายเป็นขาวซีด

 

เนื่องเพราะในวิสัยทัศน์ เชื้อไฟได้ทิ้งไว้เพียงหนึ่งเส้นบรรทัดตัวอักษรแก่เขา

 

“จำเป็นต้องจ่าย 100000 แต้มพลังวิญญาณเพื่อแก้คำสาปนี้”

 

100000 แต้มพลังวิญญาณ!

 

นี่มันเป็นจำนวนที่ไม่มีทางจะหามาได้!

 

ขนาดชายหัวล้านที่ฆ่าคนมามากที่สุด แต่แท้จริงแล้วเขาได้รับแต้มพลังวิญญาณมาเพียงแค่ 110 แต้มเท่านั้น!

 

และฉากเดียวกันนี้ก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกคน

 

“ไม่นะ! มันไม่มีหวังที่จะแก้คำสาปเลย! พวกเราจบสิ้นแล้ว!” ชายคนหนึ่งคร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง

 

ส่วนซูเซี่ยเอ๋อ เธอกำลังถือคทา และเดินย่ำผ่านพื้นน้ำแข็งที่ปกคลุมไปด้วยหิมะตรงเข้ามาอย่างช้าๆ

 

เธอมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลาย กวาดสายตาไปทั่วก่อนจะหยุดลงตรงชายหัวล้าน

 

ใบหน้าของชายหัวล้านแปรเปลี่ยนกลับกลายอยู่หลายครั้งครา จนในที่สุดเขาก็ฝืนปั้นรอยยิ้มแข็งกระด้างขึ้นมา

 

“เอ่อ .. ฉันขอโทษนะ คุณผู้หญิง จริงๆแล้วทั้งหมดมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเรายอมรับผิดแล้ว”

 

พอคนอื่นๆเห็นเขาพูดแบบนั้น ทั้งหมดก็รีบพยักหน้าตามอย่างรวดเร็ว “ใช่ ใช่ พวกเราผิดไปแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

 

“พวกเราไม่ควรรีบลงมือเลย หวังว่าเธอจะยกโทษให้พวกเรานะ”

 

“คุณผู้หญิงทรงพลังมากจริงๆ ปล่อยพวกเราไปเถอะ แล้วพวกเราจะคอยเป็นคนช่วยเก็บกวาดพวกที่ขวางทางเบื้องหน้าให้เอง”

 

ตอนแรกพวกเขาก็ขอความเห็นใจ แต่ตอนหลังๆนี่ชักจะเริ่มประจบประแจงแล้ว

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อทำราวกับเป็นคนหูหนวก

 

เธอเบนสายตาออกจากชายหัวล้าน และกวาดไปหยุดอยู่ที่อีกคนหนึ่ง

 

“เมื่อกี้แกสินะที่บอกว่าต้องการจะเล่นสนุกกับฉัน?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามเบาๆ

 

ชายคนนั้นสะดุ้งเฮือก ปากสั่นระริกอยู่นาน แต่ก็คิดไม่ออกซักทีว่าตนสมควรที่จะตอบกลับไปอย่างไร

 

ซูเซี่ยเอ๋อลูบไล้คทา และจั่วไพ่ออกมาจากมัน

 

นี่คือไพ่สีเทา ซึ่งสีเทาหมายถึงไพ่ระดับต่ำสุด

 

บนหน้าไพ่ มีเพียงกริชอันคมกริบอยู่เท่านั้น

 

ซูเซี่ยเอ๋อสะบัดๆไพ่ แล้วกริชก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ

 

แน่นอน ว่าชายคนนั้นย่อมรู้ดีว่ามันคืออะไร และสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้น ปากอ้าตะโกน ร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่นะ ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ควรที่จะคุกคามเธอ ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ ฉันยังมีอีกหลายชีวิตในครอบครัวต้องคอยเลี้ยงดู ..”

 

ซูเซี่ยเอ๋อ “ที่พูดมามันควรค่าแก่การเห็นใจจริงๆน่ะหรอ แล้วถ้าสลับกัน เป็นฉันที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ล่ะ แกจะ-”

 

แต่ไม่ทันจะจบประโยค เธอก็ส่ายหัว

 

ตามด้วยกริชที่ถูกปักลงบนหน้าอกชายคนนั้น และค่อยๆแทรกคมแหลมของมัน เชือดฝ่าเนื้อหนังเข้าไปอย่างช้าๆ

 

“อ๊าาา-” ชายคนนั้นเริ่มกรีดร้อง

 

ซูเซี่ยเอ๋อกำด้ามกริชจนแน่น จากนั้นก็ค่อยๆลากมันเฉือนลงมา

 

ทว่าแม้คมกริชจะตัดเนื้อได้ แต่มันก็ติดกับกระดูก มิอาจเฉือนลงไปได้อีก

 

ซูเซี่ยเอ๋อลองพยายามอย่างหนัก แต่ก็พบว่าตนเองมิได้แกร่งพอที่จะตัดกระดูกซี่โครงอกของอีกฝ่ายได้

 

เธอเลยถอนหายใจ และผละมือออก

 

และทาสรับใช้กายโลหิตก็ก้าวขึ้นมาแทนเธอ

 

“ตัดมันซะ ลากลงมาจนกว่าจะถึงเป้าของมัน”

 

ซูเซี่ยเอ๋อสั่ง

 

ทาสรับใช้กายโลหิตกำด้ามกริช และวูบ! กระชากลากคมแหลม ดิ่งยาวจากอก ตัดมันลงมาถึงตรงกลางหว่างขาอีกฝ่าย

 

“อ๊ากกกก อ๊าาาา!! นังปีศาจ แกมันนังมารร้าย! ”

 

ชายคนนั้นคร่ำครวญน่าสมเพช

 

ขณะเดียวกัน อีกหลายคนที่เฝ้ามองก็บังเกิดเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมา และเริ่มพากันร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

 

“ทำต่อไป ยังเหลืออีก 7 คน ช่วยทำให้มันเท่าเทียม เอาให้เหมือนกันเป๊ะๆแบบคนแรกด้วย”

 

แล้วเธอก็ยื่นหัวคทาไปทางชายคนแรกที่พึ่งถูกตัดหว่างขาไป

 

ในขณะที่เขาคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ เธอก็เริ่มทำการดูดซับจิตวิญญาณของอีกฝ่าย

 

นี่นับว่าเป็นการทรมาณที่เจ็บปวดแสนสาหัสที่สุด

 

ทาสรับใช้กายโลหิตกำกริชในมือ และเปิดผ่าแหวกท้องของทุกๆคนที่สังหารเขา

 

บนแผ่นน้ำแข็ง บังเกิดเสียงร้องระงมดังขึ้นและเงียบลงไปตามลำดับ

 

เมื่อทาสรับใช้กายโลหิตเสร็จสิ้นภารกิจตน เขาก็เดินกลับมาหาซูเซี่ยเอ๋อ

 

เขาคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะชูสองฝ่ามือที่มีกริชชุ่มเลือดวางอยู่ขึ้นเหนือหัว

 

กริชที่คาวไปด้วยเลือดแปรสภาพเป็นไพ่ทันที ก่อนมาบินขึ้นมาลอยอยู่ในระดับสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ

 

“นี่คือมีดปลอกผลไม้ของฉัน แต่น่าเสียดาย … ที่ตอนนี้ไม่ว่าจะล้างยังไง มันก็คงจะไม่มีทางกลับมาสะอาดได้อีกแล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อพูดในสิ่งที่คิดออกมา

 

ว่าจบ เธอก็ใช้นิ้วเคาะลงกับไพ่

 

ไพ่สีเทาบินไปตามพายุหิมะ และหายไปจากสายตาของเธออย่างรวดเร็ว

 

เธอเลือกที่จะทิ้งไพ่ใบนั้นไป

 

“เอาล่ะ คุณผู้หญิง ในเมื่อได้ระบายความโกรธจนสาแก่ใจแล้ว ทีนี้คุณจะปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง” ชายหัวล้านรวบรวมความกล้า ฝืนพูดออกมาอย่างเจ็บปวด

 

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินก็มองเขา แล้วยิ้มออกมาทันที

 

เธอกล่าวสรุป “พวกแกไม่ได้มีแต้มพลังวิญญาณเป็นของตัวเอง แต่กลับสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์แบบนั้นขึ้นมาได้ ในกรณีนี้ คิดว่าทางเดียวที่พวกแกจะได้แต้มพลังวิญญาณมาครอบครอง คงมีเพียงการฆ่าคนอื่นๆเท่านั้นล่ะสิใช่ไหม?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อชี้ไปยังยักษ์ตาเดียวที่ผุดออกมาจากใต้พื้นน้ำแข็งและเอ่ยถามว่า “อัญเชิญมอนสเตอร์แบบนั้น น่ากลัวว่ามันคงจำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณไปไม่น้อยเลยสินะ?”

 

หลายคนหันไปมองหน้ากันและกัน แต่ก็หวาดเกรงที่จะตอบ

 

“ถ้าในบรรดาคนที่ถูกฆ่าไป มีผู้หญิงอยู่ด้วยแล้วล่ะก็ พวกแกคง … ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพึมพำแต่ไม่ได้กล่าวต่อ

 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเหล่านั้น ทั้งหมดก็น่าจะพอจินตนาการได้

 

เพราะแม้แต่ตนเองก็ยังต้องพยายามอย่างเต็มกำลังจึงจะสามารถโค่นพวกมันลง

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ใบหน้าที่ดูซีดเซียวของซูเซี่ยเอ๋อก็ฟุ้งไปด้วยความโกรธ

 

“จำได้รึเปล่า ว่าคนไหนที่ฆ่านาย?” ซูเซี่ยเอ๋อหันไปถามทาสรับใช้กายโลหิต

 

ทาสรับใช้เผยสีหน้าครุ่นคิด “เรื่องก่อนตาย กระผมจำมันไม่ได้เลย แต่ในตอนนี้ที่ผมกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา ร่างกายของผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก”

 

“งั้นก็กินพวกมันซะ กินเป็นๆก่อนที่พวกมันจะเน่าตายไปเองซะก่อน”

 

“ขอรับ ขอบคุณสำหรับอาหารนะเจ้านาย”

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูเซี่ยเอ๋อก็จ้องมองบนหน้าต่างระบบด้วยความกังวล

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่าง ปรากฏสองบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณบางส่วนมาเสริม ส่งผลให้ระบบยังคงสามารถดำเนินการต้านทานการบุกรุกของเชื้อไฟได้ต่อไป”

 

“เวลาคงเหลือ : 22 นาที”

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองสองบรรทัดเหล่านี้

 

เธอยังคงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อีก 22 นาที

 

หนึ่งมือยกขึ้นปาดน้ำใสๆจากสองตา ปากเอ่ยกล่าวกับทาสโลหิต “พวกเรารีบไปกันเถอะ”

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นจากในความมืดมิด

 

มันเย็น

 

เย็นยะเยือก

 

นี่มันหนาวเกินกว่าปกติทั่วไป มากเกินกว่าที่ร่างกายจะสามารถต้านทานได้

 

แถมยังไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้เลย

 

แต่ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้นในหูของเขาอย่างกระทันหัน

 

“ยินดีต้อนรับสู่โลกสมบัติของแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้”

 

“คุณจะต้องช่วยจัดการแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆแก่เธอ แล้วทริสเต้ก็จะมอบรางวัลให้ตามระดับผลงานของคุณ”

 

“เมื่อคุณสามารถแก้ปัญหาได้เสร็จสิ้นแล้ว โลกก็จะส่งคุณไปจัดการอีกปัญหาหนึ่งในสถานที่ต่อไป”

 

“ยิ่งคุณสามารถจัดการกับปัญหาได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้รับรางวัลมากขึ้นเท่านั้น”

 

“เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้นพวกเราก็มาเริ่มปัญหาแรกกันเถอะ”

 

“สงครามครั้งแรก : การต่อสู้ที่ถูกปิดล้อม”

 

“คุณจะต้องร่วมมือกับทุกคน เพื่อเอาชนะศัตรู และยืนหยัดอยู่ในวงล้อมนี้ให้จงได้”

 

“นี่คือช่วงเวลาแห่งการทดสอบความสามารถของคุณ ถ้าคุณสามารถฟันฝ่าอุปสรรค และประสบความสำเร็จได้ นี่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณมีคุณสมบัติอย่างเป็นทางการ เหมาะสมแก่การช่วยแก้ปัญหาให้แก่โลกสมบัติของทริสเต้”

 

“การทดสอบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”

 

ว่าจบ เสียงนั้นก็หายไป

 

ท่ามกลางความเงียบอันมืดมิด มือน้อยๆยื่นออกมาจับมือของกู่ฉิงซานเอาไว้แน่น

 

“มีอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เรากลัวน่ะ” ลอร่าพูดสั้นๆ

 

ทั้งสองยืนเคียงข้างกัน

 

นอกเหนือไปจากเสียงหวีดหวิวของสายลมและหิมะ ภายนอกก็สะท้อนไปด้วยเสียงที่ฟังแลคล้ายกับเสียงโหยหวนของภูติผี

 

“ฝ่าบาทได้ยินเสียงประกาศเมื่อครู่หรือไม่?”

 

“ได้ยินนะ แต่เราได้ทำการตัดขาดตนเอง และไม่คิดลงมือใดๆ ดังนั้นทริสเต้จึงไม่สามารถค้นพบเราได้ แต่โลกใบนี้ทำให้เรารู้สึกอึดอัดใจจริงๆ”

 

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นกระหม่อมจะนำหน้า ส่วนฝ่าบาทก็คอยอยู่เบื้องหลังแล้วกัน”

 

“เราขอนั่งลงบนไหล่เจ้าจะได้ไหม?”

 

“ทำไมล่ะ?”

 

“เพราะทุกครั้งคราว ในยามที่เราหวาดกลัว นี่คือสิ่งที่ท่านพ่อของเรามักจะท-”

 

แล้วเสียงของลอร่าก็หายไป

 

ห้วงอารมณ์ของเธอเหมือนจะดิ่งลง

 

เพราะท่านพ่อของเธอ ได้ล่วงลับไปแล้ว

 

ไม่เพียงแต่ท่านพ่อ ท่านแม่ กระทั่งน้องชาย ตลอดทั้งราชวงศ์ทั้งหมดก็ได้ล่วงลับไปจนสิ้น

 

ตอนนี้ ในโลกนับ 900 ล้านชั้น หลงเหลือเธออยู่เพียงลำพังผู้เดียว

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

เพราะเขาพึ่งค้นพบเมื่อครู่นี้เอง ว่าการนับจำนวนปีของวิหคหนามกับเผ่ามนุษย์น่ะมันแตกต่างกัน

 

หนึ่งปีของดินแดนอัศจรรย์จะสั้นกว่ามาก

 

ดังนั้นเจ้าหญิงลอร่าที่อายุ 12 ปี หากคำนวณตามปีของเผ่ามนุษย์ เธอจะมีอายุเพียงแค่ 7 ขวบเท่านั้นเอง

 

กู่ฉิงซานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกตัวเธอขึ้นวางลงบนไหล่ขวา

 

“ไม่เอา เราชอบนั่งบนไหล่ซ้าย” ลอร่ากล่าว

 

แล้วกู่ฉิงซานก็วางเธอลงบนไหล่ซ้ายอีกที

 

พอได้นั่ง ลอร่าก็คล้ายจะจดจำได้ถึงบางสิ่ง ขอบตาของเธอเริ่มที่จะแดงเรื่อ

 

พอกู่ฉิงซานเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็เอ่ยขัด “นี่ — กระหม่อมจะเล่าอะไรให้ฟังก็แล้วกัน อันที่จริงแล้วกระหม่อมน่ะเป็นเด็กกำพร้า”

 

“หืม? นี่เจ้าเป็นเด็กกำพร้างั้นหรอ?” ลอร่าเริ่มถูกเบี่ยงเบนความสนใจ

 

“ใช่ แต่กระหม่อมชินแล้ว … จะบอกอะไรให้นะ ว่าเด็กกำพร้าน่ะก็มีข้อได้เปรียบยิ่งกว่าคนอื่นเขาอยู่เหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ข้อได้เปรียบอะไร?” ลอร่าถูกดึงดูดโดยหัวข้อนี้

 

“อย่างเช่นถ้าเราตาย ก็ไม่จำเป็นต้องมากังวลว่าจะมีคนในครอบครัวมาร่ำไห้ยังไงล่ะ”

 

“นั่นมันข้อได้เปรียบบ้าบออะไรกัน .. ”

 

“ทำไม? มันไม่ดีหรือ ลองคิดดูนะ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่าบาทเห็นคนอื่นๆกำลังเศร้าโศกเพราะตนเอง ฝ่าบาทก็จะเศร้าโศกไปด้วย แต่ความได้เปรียบของเราก็คือ พวกเราจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้”

 

“ … แล้วแบบนี้ สิ่งที่ตัวเรากำลังเผชิญอยู่ มันพอจะเรียกว่าเป็นข้อได้เปรียบเช่นเดียวกันหรือเปล่านะ?”

 

“แน่นอนอยู่แล้วฝ่าบาท”

 

ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็ผลักประตูแล้วเดินออกไป

 

เสียงหวิวของสายลม หวีดเข้าเต็มบ้องหู

 

มันคือพายุหิมะ

 

กู่ฉิงซานค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในใจกลางเมือง

 

เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และเริ่มสำรวจรอบๆ

 

ปรากฏว่ามันเป็นเมืองร้างที่ทรุดโทรมมานานแล้ว และเต็มไปด้วยซากศพ

 

นอกตัวเมืองไป เป็นทุ่งน้ำแข็งอันไร้ที่สิ้นสุด

 

เสียงเมื่อครู่บอกว่า เขาจะต้องร่วมมือกันกับทุกคน –

 

แต่มันกลับดันไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย

 

ดูเหมือนว่าเขาจะมาสายเกินไป ขณะที่คนอื่นๆได้มุ่งหน้าต่อไปกันหมดแล้ว ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่สามารถแม้กระทั่งจะหาเพื่อนร่วมทีม

 

“แค่เริ่มต้นก็ลางไม่ดีแล้ว”

 

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำเสียงต่ำ

 

ขณะที่ลอร่านั่งอยู่อย่างสบายๆบนไหล่ของเขา และกล่าว “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”

 

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ หรือว่าเป็นเพราะมีฝ่าบาทอยู่ที่นี่ด้-”

 

ตูม ตูม ตูม!

 

ผืนดินเริ่มสั่นสะเดือน อีกทึกครึกโครม

 

ร่างศพค่อยๆถูกช้อนขึ้น ขณะที่เมืองอันรกร้างเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

 

ในขณะเดียวกัน มอนสเตอร์บางชนิดที่มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน

 

พวกมันหันขวับ ใช้สายตาที่มีเพียงหลุมดำกลวงๆว่างเปล่ามองมายังกู่ฉิงซานกับลอร่า

 

ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะตายลง

 

ทว่าพวกมันทุกตน ได้สูญเสียดวงตาไป

 

ร่างศพเหล่านั้นกลับมาขยับไหวอีกครั้ง

 

ลอร่า “อันที่จริงแล้ว เราจะบอกว่าสถานการณ์มันเลวร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าคิดต่างหาก”

 

สิ้นเสียงของเธอ เหล่ามอนสเตอร์ก็พรวดตรงมายังทั้งสองทันที

 

“แต่พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสียกับที่นี่แล้ว”

 

กู่ฉิงซานคว้าดาบพิภพจากในความว่างเปล่ามาไว้ในมือ

 

การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!