บทที่ 229: นินจาลับแห่งคามากุระ

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 229: นินจาลับแห่งคามากุระ

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และจ้องไปที่พลังหยินทั้งสามด้วยแววตาลุกโชน พวกมันเคลื่อนไหวผ่านระยะทางหลายพันเมตรและมาถึงที่ด้านหน้าของโรงแรมภายในพริบตา

เมื่อพลังหยินทั้งหมดสลายไป ฉินเย่ก็สมองเห็นร่างสามร่างที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้ารัดรูปสีดำ นอกจากนี้ยังสวมผ้าโพกหน้าผากอีกด้วย ร่างกายครึ่งบนของพวกเขาดูเหมือนจริงและสามารถจับต้องใต้ในขณะที่ร่างกายครึ่งล่างยังคงพร่าเลือนและถูกปกคลุมด้วยพลังหยิน อีกฝ่ายเคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ จุดที่หมิงชีหยินตกลงมาเมื่อครู่ แต่กลับไม่มีใครสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของพวกเขาได้เลยสักนิด

“นี่มัน…” หัวใจของฉินเย่เต้นผิดจังหวะขณะที่เขาจ้องไปที่แถบบนผ้าโพกหน้าผาก ครู่ต่อมาเด็กหนุ่มกัดฟันกรอดและเอ่ยออกมาเสียงเบา “ตระกูลโฮโจ… และยัง นินจาลับแห่งคามากูระ… ญี่ปุ่นได้ระดมกำลังพลที่แข็งแกร่งจากยุคสงครามระหว่างรัฐอย่างแท้จริง…”

“มันคืออะไร ?” หมิงชีหยินถาม เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับรู้ถึงความเป็นไปของญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย

ฉินเย่ชี้ไปยังธงที่อยู่บนหลังของยมทูตญี่ปุ่นและอธิบายว่า “ตระกูลโฮโจ ไดเมียวแคว้นคามากุระในยุคเซ็งโงกุ ตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลของพวกเขาคือสามเหลี่ยมสามรูปที่ต่อเข้าด้วยกันจนเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ และเครื่องแต่งกายของพวกเขาก็บอกเราว่าพวกเขาคือนินจา ในช่วงยุคเซ็งโงกุ เป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลโฮโจนั้นมีกองกำลังที่แข็งแกร่งซึ่งมีชื่อว่านินจาลับแห่งคามากุระอยู่ และยมทูตที่มาที่นี่ในวันนี้ก็คือพวกเขา ! หากญี่ปุ่นต้องการสกัดโอดะโนบูนางะในเขตตงไห่ การใช้ทักษะของนินจาลับแห่งคามากุระพวกนี้คือตัวเลือกที่ดีที่สุด”

“เจ้าแน่ใจหรือ ?” หมิงชีหยินมองฉินเย่อย่างสงสัย ผลพลอยได้จากการทะเลาะกันของพวกเขาทั้งครู่นั้นเกิดเป็นผลลัพธ์ที่สามัคคีอย่างน่าแปลกประหลาด ฝ่ายหนึ่งตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายมีความสามารถในปะทุคำพูดที่ดุร้ายออกมาได้ไม่หยุด ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็ระแวดระวังเนื่องจากกลัวที่จะถูกโยนออกไป

“เหตุใดเจ้าจึงรู้เรื่องราวมากขนาดนี้ ?”

ฉินเย่กระแอมออกมาเบา ๆ “หากท่านเล่น Nobunaga’s Ambition หลาย ๆ ครั้งท่านก็จะรู้เรื่องพวกนี้เช่นกัน…”

“มันคืออะไร ?”

“นั่น… ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญก็คือ…” ฉินเย่เอ่ย “ท่านคือผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในยุคนั้นมาก่อน ดังนั้นท่านคิดว่าการมีอยู่ของนินจาลับแห่งคามากุระของตระกูลโฮโจหมายถึงอะไร ?”

หมิงชีหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแน่นิ่งไปด้วยความตกตะลึง

เรื่องนี้เริ่มจะอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ!

ใช่แล้ว มันได้ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงที่ญี่ปุ่นยังคงตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่างรัฐต่าง ๆ ข่าวสารทั้งหมดจึงแพร่กระจายไปทั่วจีนอย่างรวดเร็ว และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมมันถึงทำให้เรื่องนี้ซับซ้อนขึ้น

ถึงแม้ว่าขนาดของสงครามจะเทียบไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ของจีนเมื่อพันปีก่อน แต่ด้วยการพัฒนาของสังคมจากตอนนั้นมาถึงตอนนี้ มันก็หมายความว่าทักษะการต่อสู้ของพวกเขานั้นนองเลือดและรุนแรงกว่ายุคสามก๊กเสียอีก อันที่จริง มันมีกองกำลังหลายฝ่ายในยุคสงครามระหว่างรัฐที่สามารถต่อสู้ได้อย่างสูสีกับกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน !

“กองทัพแดงของทาเคดะ… กองร้อยที่หนึ่งของซานาดะ…” หมิงชีหยินสูดหายใจเข้าช้า ๆ “เจ้ากำลังจะบอกว่า… ยมโลกญี่ปุ่นกำลังระดมกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดจากประวัติศาสตร์ทั้งหมดอย่างนั้นหรือ ?”

“พวกเขาระดมมันได้แล้ว” ฉินเย่หรี่ตามองยมทูตญี่ปุ่นทั้งสามที่หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วก่อนจะหมุนตัวและเดินกลับเข้าไปในห้อง “ในยมโลกไม่มีปืน และความขัดแย้งทั้งหมดในหมู่ยมโลกก็กลับไปสู่พื้นฐานของการต่อสู้ด้วยอาวุธเย็น กองกำลังที่มีชื่อเสียงพวกนี้ได้จางหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์พร้อมกับกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปและได้รับโอกาสในการเฉิดฉายอีกครั้งในสนามรบสมัยใหม่ ในขณะเดียวกันมันยังเป็นคำเตือนถึงฝ่ายอื่น ๆ ที่อาจมีอยู่ให้ถอยไปอีกด้วย”

ฝ่ายตรงข้ามมีแม้กระทั่งกองกำลังสำรอง

เขาประเมินความสำคัญของดวงวิญญาณของโอดะโนบูนางะที่มีต่อยมโลกของญี่ปุ่นต่ำไป แต่มันก็สมเหตุสมผลอยู่ หากเป็นยมโลกจะทำอย่างไรเมื่อเห็นการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของโจโฉ หลี่ซื่อหมิน และบุคคลในประวัติศาสตร์คนอื่น ๆ บนแผ่นดินจีน ?

กองกำลังที่ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ก็คงจะรีบมุ่งหน้าออกมาจากยมโลกเพื่อจุดประสงค์นี้เช่นกันไม่ใช่หรือ ?

เพราะอย่างไรแล้วกองกำลังนั้นเป็นสิ่งที่หาง่าย แต่แม่ทัพที่ฝีมีดีนั้นหายากยิ่งกว่า !

การปรากฏตัวขึ้นของนินจาลับแห่งคามากุระคือสัญญาณ… ฉินเย่หันไปมองทางท่าเรืออย่างเป็นกังวล จากนั้นก็มองเลยไปที่ช่องแคบสึชิมะ เขาอยากรู้จริง ๆ ว่ายังมีกองกำลังแบบไหนอีกที่อิซานามิได้เตรียมไว้รอพวกเขา

“ ‘เทพแห่งแสงตะวันออกผู้ยิ่งใหญ่’ โทคุกาว่า อิเอยาสึ ? ‘บนเทมมารุ’ ดาเตะ มาซามูเนะ ? ‘พยัคฆ์แห่งคาอิ’ ทาเคดะ ชิงเง็ง?” [1]

ทั้งหมดนี้ไม่มีใครที่เขาสามารถสู้ด้วยได้เลยในตอนนี้

“เราไม่แน่ใจว่าพวกองเมียวจิจะมาที่ตงไห่หรือยัง แต่สิ่งที่เรามั่นใจได้ก็คือโรงประมูลเจียเต๋อและกลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดินั้นอยู่ที่นี่แล้ว การเจรจากับโอดะโนบูนางะจะต้องเรียบร้อยก่อนที่เราจะไปที่ช่องแคบสึชิมะ ไม่เช่นนั้น… เราจะโน้มน้าวพวกองเมียวจิได้อย่างไร ? ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องมาร่วมมือกับเรา ?”

สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถเจรจากับพวกองเมียวจิได้เลยหากเขาไม่มีความสามารถในการจัดการกับโอดะโนบูนางะ ! และถ้าเขาไม่สามารถทำให้องเมียวจิมาช่วยได้… เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างกองกำลังของยมโลกของญี่ปุ่นที่รอพวกเขาอยู่เลย

หากจะให้พูดอีกนัยหนึ่งก็คือการก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวสามารถทำให้เขาเสียโอกาสในการแย่งวิญญาณของโอดะโนบูนางะไป ! อันที่จริง ไม่ว่าความผิดพลาดไหน ๆ ของเขาก็สามารถทำให้เขาต้องอยู่ในจุดที่ยอมแลกเศษส่วนของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีที่มีอยู่ในครอบครองเพื่อแลกกับการกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยอยู่ดี

แต่นั่นมันน่าอายเกินไป !

แต่…

“เรากำลังพูดถึงโอดะโนบูนางะ… ไม่ว่าจะพิจารณาจากจุดไหน เขาก็ยังเป็นหนึ่งในนักการเมืองและแม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ แล้วเราจะสามารถโน้มน้าวเขาให้มาร่วมมือกับเราได้จริง ๆ น่ะเหรอ ?” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาหลังจากผ่านไปพักใหญ่ หมิงชีหยินรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง และตอนนี้พวกตนก็ต้องรีบเคลื่อนไหวอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้มันจึงถามขึ้นเบาๆว่า “เจ้าวางแผนจะเริ่มจากตรงไหน ?”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นตอบด้วยเสียงหนักแน่น “กลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดิ”

“หืม ? ทำไมถึงเป็นพวกเขา ? เจ้ากลัวอย่างนั้นหรือ ? เจ้าหวาดกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับโอดะโนบูนางะอย่างนั้นหรือ ? หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าพยายามชะลอทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้นานที่สุด ? มีอะไรให้กลัวกัน ? แหยนหลาวหวาง(ท่านเปา) ยังไม่คิดจะเชิญพวกมันให้นั่งด้วยซ้ำตอนที่พวกมันมาจ่ายส่วนให้เราในสมัยก่อน”

ท่านเอาข้าไปเปรียบเทียบกับแหยนหลาวหวางผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไรกัน ?!

ฉินเย่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาอาฆาต หากข้ามีอำนาจเทียบเท่ากับพระยมของพระตำหนักทั้งสิบ ข้าจำเป็นจะต้องมาประสบกับเรื่องวุ่นวายเหล่านี้อย่างนั้นหรือ ? ข้าคงสามารถตบหน้าอิซานามิแรง ๆ และบอกกับนางไปแล้วว่า ‘มาสิ มาเลย มาให้ข้าได้เตือนเจ้าถึงความน่ากลัวของยมโลกสักหน่อย…’

แต่… ข้าไม่มีพลังมากพอที่จะทำเช่นนั้น !

“เหตุผลข้อแรก ข้าต้องการเงินทุนจากกลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดิเพื่อใช้ในการประมูล และข้าก็ต้องให้เวลากับพวกเขามากพอสำหรับการประชุมกับฝ่ายบริหารและรวบรวมเงินทั้งหมด” เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “เหตุผลข้อที่สอง มีเพียงหลังจากที่ข้าสามารถจัดการกับเรื่องพวกนั้นได้แล้วเท่านั้นข้าถึงจะสามารถสงบใจและคิดหาวิธีการที่เหมาะสมสำหรับเจรจาต่อรองกับราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ได้ ข้าจะได้ไม่ต้องเหลืออะไรให้ค้างคาใจอีก ในกรณีที่แย่ที่สุด อย่างน้อยข้าก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องการเปิดเส้นทางการค้าทองคำของไม้ฮวงหัวลี่และดูแลเรื่องการเงินของยมโลกได้ และด้วยสิ่งนี้ อย่างน้อยข้าก็จะสามารถหาทางออกให้ตัวเองได้ แม้ว่าข้าจะไม่สามารถแย่งวิญญาณของโอดะโนบูนางะมาได้ แต่ยมโลกก็จะยังสามารถเริ่มพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

หมิงชีหยินมองฉินเย่อย่างประหลาดใจ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ มันก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่คิดเลย… ว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้… ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาร์ทิสจึงเต็มใจที่จะอยู่เคียงข้างเจ้า…”

ฉินเย่ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของยมทูตญี่ปุ่นหมายความว่าเขาไม่มีเวลาเหลือสำหรับวางแผนอีกต่อไป เพราะอย่างไรแล้ว เวลาที่ทางโรงประมูลเจียเต๋อมาถึงก็คือเวลาที่นินจาลับแห่งคามากุระจะลงมือ เด็กหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาและกดหมายเลขโทรออกทันที ไม่นานนักปลายสายก็กดรับพร้อมกับน้ำเสียงตื่นเต้นที่ดังตามมา “คุณฉิน คุณมาถึงที่ตงไห่แล้วหรือครับ ?”

“ครับ” ฉินเย่ไม่คิดจะเอ่ยทักทายใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะอย่างไรแล้วการพูดคุยกับกลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดิก็เป็นเพียงการเรียกน้ำย่อยก่อนการเจรจาหลักเท่านั้น การเจรจากับราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ต่างหากที่จะเป็นตัวบอกว่าการเดินทางมาที่ตงไห่ในครั้งนี้ของเขาประสบความสำเร็จหรือไม่ !

“ผมจะไปพบคุณเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งของวันนี้” เขาเอ่ยต่อ “ส่งที่อยู่ของคุณมาทางข้อความ”

ฉินเย่เอ่ยอย่างรวบรัด ทั้งสองฝ่ายต่างตั้งตารอการพบกันในคืนนี้ โดยไม่เอ่ยอะไรให้มากความ พวกเขาวางสายไป และสถานที่นัดเจอจากทางกลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดิก็ถูกส่งมาให้ฉินเย่อย่างรวดเร็ว

ฉินเย่พึงพอใจเป็นอย่างมาก

สำหรับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่เช่นนี้ มันเป็นเรื่องสำคัญในการเลือกสถานที่นัดพบที่สามารถรับรองความปลอดภัยได้ ในแง่นี้พวกเขาได้เลือกสถานที่เป็นย่านค้าขายซึ่งทางกลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดิได้สร้างขึ้นด้วยตัวเอง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้ามันก็เป็นเวลาหกโมงเย็น หลังจากทานอาหารเย็นเรียบร้อย ฉินเย่ก็หยิบกระจกโบราณมาเก็บไว้บริเวณอก เขาขึ้นรถแท็กซี่เพื่อไปยังทางตะวันตกของเมืองและใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็เดินทางมาถึงสถานที่นัดหมาย

ย่านค้าขายแห่งนี้ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนหมู่มาก และอาคารทุกหลังก็ถูกตกแต่งด้วยต้นกล้วยไม้ที่สวยงาม หลังจากบอกชื่อของตนกับพนักงาน พวกเขาก็นำทางเด็กหนุ่มไปห้องที่หรูที่สุดทันที

“คุณฉิน ในที่สุดก็ได้พบกัน” ผู้ที่เปิดประตูให้เขาคือชายชราในวัย 70 ปี ฉินเย่จำได้ว่าเสียงของอีกฝ่ายคือเสียงเดียวกันกับที่เขาได้ยินผ่านโทรศัพท์ เด็กหนุ่มแย้มยิ้มและยื่นมือไปจับมือกับอีกฝ่าย “สายัณห์สวัสดิ์ครับประธานเกา”

เกาโย่วเหลียงหัวเราะออกมาเบาๆและเดินนำฉินเย่เข้าไปในห้อง “เชิญ ๆ คุณฉินผมจะแนะนำให้รู้จัก พวกเขาคือผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดิ ว่านฉวนและหม่าเจิงอี้ ผู้ถือหุ้นหลักทั้งสามมาที่นี่ในวันนี้ทั้งหมดเพื่อที่คุณจะได้มั่นใจว่าการตัดสินใจของเราในวันนี้จะต้องได้รับการอนุมัติจากทางบอร์ดผู้บริหารอย่างแน่นอน หวังว่าคุณฉินคงจะไม่มีปัญหาอะไร….”

“ผมไม่มีปัญหา” ฉินเย่ยิ้มและค้อมศีรษะให้กับชายชราอีกสองคนขณะที่เดินเข้าไป เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และนั่งลง จากนั้นจึงกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง

ห้องที่เขาอยู่ในตอนนี้คือห้องที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราด้วยสไตล์ตะวันตก โคมระย้าขนาดใหญ่ถูกแขวนอยู่เหนือศีรษะ ผนังของห้องถูกวาดด้วยรูปภาพที่งดงามในขณะที่บนพื้นถูกปูด้วยพรมสีแดงที่ดูมีระดับ โซฟาที่ฉินเย่นั่งอยู่เองก็นุ่มเป็นอย่างมาก กาแฟ ชา และของว่างต่างๆถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะสีทองระยิบระยับเบื้องหน้าของเขา

ขณะที่เด็กหนุ่มสังเกตไปรอบ ๆ ห้อง เกาโย่วเหลียงและผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ เองก็ลอบสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้าของพวกเขาเช่นกัน

เด็กมาก

เขาคงไม่คิดอะไรมากหากพวกเขาเดินสวนกันบนท้องถนน แต่… เมื่อได้มานั่งตรงข้ามกันแบบนี้ เขากลับรู้สึกได้ถึงความกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้จากอีกฝ่าย

เกาโย่วเหลียงเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทของตนอย่างเงียบ ๆ สิ่งที่อยู่ด้านในคือปลาหยกขาวที่ให้ความรู้สึกอุ่นเมื่อสัมผัส เขากำมันโดยไม่ใช่แรงมากนัก จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าให้กับผู้ถือหุ้นอีกสองคน ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายขึ้น และพวกเขาก็เข้าใจทุกอย่างทันที

เขามาจาก ‘ที่นั่น’

เช่นนั้นมันก็ไม่จำเป็นจะต้องยืนยันตัวตนอีกต่อไป แค่อีกฝ่ายมาจาก ‘ที่นั่น’ ก็อยู่เหนือเงื่อนไขทั้งหมดที่จะทำธุรกิจที่นี่ได้แล้ว มันปลอดภัยที่จะทำธุรกรรมกับคนตรงหน้า

“คุณฉิน” เกาโย่วเหลียงจิบกาแฟในแก้วของตนและสบตากับฉินเย่ “ความต้องการไม้ฮวงหัวลี่ของตลาดนั้นไร้ที่สิ้นสุด แต่ถึงกระนั้นอุปทานที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันมีแต่จะทำให้ราคาตลาดของมันลดลง หากพวกเรารับซื้อไม้ฮวงหัวลี่ทั้งหมดจากคุณ ไม่เพียงแต่เราจะต้องขายกิจการส่วนหนึ่งของตัวเองแล้ว เรายังจะต้องใช้เงินทุนสภาพคล่องทั้งหมดที่มีอยู่ด้วย  พวกเราจึงต้องขายไม้ฮวงหัวลี่ทีละน้อยเพื่อที่จะได้ไม่ทำให้ราคาในตลาดลดลงในคราวเดียว หากพูดอีกอย่างก็คือกลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดิจะไม่อยู่สภาวะที่คล่องตัวจนกว่าเราจะสามารถเรียกทุนคืนจากการจัดซื้อสินค้าได้”

“แต่พวกคุณไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อไม้ทั้งหมดในทีเดียว” ฉินเย่เอ่ยตอบทันที “คุณอาจจยังไม่เห็นผลในทันทีหากมีบริษัทคู่แข่งได้ไม้พวกนี้ไปจากผม แต่ถ้าให้เวลาสักสิบปี หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ผมมั่นใจว่าบริษัทคู่แข่งของพวกคุณจะต้องนำพวกคุณไปอย่างไม่เห็นฝุ่นอย่างแน่นอน… เอาล่ะ ผมไม่ใช่นักธุรกิจ และผมก็ไม่อยากจะเสียเวลากับการเจรจาต่อรองที่ไม่จำเป็น ผมนำตัวอย่างมาด้วย สิ่งที่คุณต้องทำก็คือบอกผมมาว่าตกลงหรือไม่ ราคาของมันคือลดลงจากราคาตลาด 5% หากคุณไม่พอใจกับข้อเสนอ ผมก็จะนำข้อเสนอนี้ไปให้กับบริษัทอื่น ๆ ที่รอผมอยู่”

“ผมขอดูตัวอย่างสินค้าได้หรือเปล่า ?” ว่านฉวนถาม ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้าตามและยกกระเป๋าที่มีตัวอย่างของไม้ฮวงหัวลี่ขึ้นมาวางบนโต๊ะและส่งมันให้อีกฝ่าย

เพียงมองไม่กี่ครั้งโย่วเหลียงก็สามารถบอกได้เลยว่านี่คือไม้ฮวงหัวลี่ที่มีความละเอียดมาก โดยเฉพาะลายหน้าผีที่งดงามและน่าพิศวงของมัน อันที่จริง หากจะบอกว่าไม่ฮวงหัวลี่พวกนี้เป็นไม้ที่มีคุณภาพดีที่สุดมันก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยสักนิด !

[1] ทั้งหมดคือแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น