อวิ๋นเจี่ยวเดาไม่ผิด รอไม่ถึงสอง วันมี่สองหลังจากที่ท่านเทพผู้เย่อหยิ่งกลับไป โลกสวรรค์ส่งคนมาอีกครั้ง อาจได้รับบทเรียนจากครั้งก่อน คนที่มาครั้งนี้แตกต่างจากคนที่แล้วอย่างสิ้นเชิง เขายิ้มอย่างเกรงใจและมีมารยาท
“สหายทุกท่าน ข้าคือไป๋หัง เทพผู้อยู่ใต้ท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์”
ครานี้ แม้แต่เปลี่ยนไปแม้กระทั่งสวรรค์ เมื่อวานยังเป็นอุดรสวรรค์ วันนี้กลายเป็นบูรพาสวรรค์ ขาดเพียงแค่ประจิมสวรรค์ก็เปิดโต๊ะเล่นไพ่นกกระจอกได้แล้ว
“คารวะท่านเทพ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีมารยาทเช่นนี้ เจ้าสำนักสวีตอบกลับอีกฝ่าย “ท่านเทพมายังสำนักเทียนซือด้วยเหตุอันใด”
“สหายเรียกข้าไป๋หังเป็นพอ” อีกฝ่ายยิ้มอย่างเป็นมิตร ไม่มีท่าทางหยิ่งยะโสของผู้เป็นเทพ อ่อนโยนจนทำให้คนรู้สึกอยากเข้าใกล้ เทียบกับท่านเทพของท่านมหาเทพอุดรสวรรค์แล้ว ท่านเทพนี้พูดจาเป็นกว่ามาก
ไม่เพียงแต่เจ้าสำนักสวี แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสและเจ้าสำนักที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกประทับใจขึ้นมาเล็กน้อย สมกับที่เป็นท่านมหาเทพที่เหล่าปรมาจารย์เลือก ช่างแตกต่างเสียเหลือเกิน
“ความจริงแล้วข้ามาด้วยเหตุสำคัญประการหนึ่ง” เขามองทุกคนด้วยรอยยิ้ม “สองวันหลังจากนี้ ท่านมหาเทพแต่ละทิศต้องลงมายังโลกล่าง จึงอยากขอยืมพื้นที่ล้ำค่าแห่งนี้ใช้ สหายพอจะยกพื้นที่แห่งนี้ให้ยืมใช้ชั่วคราวได้หรือไม่”
ยังคงเป็นเรื่องเดิม ทุกคนต่างรู้สึกสงสัยว่าเรื่องสำคัญนั้นคืออะไร เหตุใดต้องมาหารือในสำนักเทียนซือ อีกทั้งจากคำพูดของอีกฝาาย ไม่ได้มีเพียงแค่ท่านมหาเทพทิศอุดร แต่ท่านมหาเทพทุกทิศล้วนลงมา โลกสวรรค์ให้คำสำคัญกับโลกมนุษย์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
เจ้าสำนักสวีมองไปยังอวิ๋นเจี่ยว พร้อมกับสบตากับทุกคน ก่อนจะถามขึ้น “ท่านเทพไป๋ การยืมพื้นที่สำนักเทียนซือไม่ยาก แต่ท่านบอกพวกข้าได้หรือไม่ว่าเรื่องอะไร”
ไป๋หังลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น”อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร” เขามองทุกคน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่ปิดบัง “สำนักเทียนซือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับยมโลกในระยะใกล้มานี้ ข้าว่าพวกท่านก็คงได้ยินเรื่องที่เจ้าเมืองหมิ่นเฟินพูดมาบ้าง!”
อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง “อาจารย์…เจ้าเมืองหลง?!” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์อาใหญ่ด้วย?
“ใช่แล้ว” ไป๋หังพยักหน้า “คิดว่าทุกท่านคงรู้เรื่องการหายตัวไปของลูกศิษย์เขตหมิ่นเฟินเมื่อระยะก่อน หลังจากที่เจ้าเมืองหลงตามสืบ พบว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประจิมสวรรค์ สวรรค์และยมโลกมีพันธสัญญาต่อกัน ท่านมหาเทพของข้าและท่านมหาเทพอุดรสวรรค์ล้วนไม่อยากมีความเข้าใจผิดต่อยมโลก ดังนั้นจึงจัดสินใจให้เจ้าเมืองหลงคุยเรื่องนี้กับท่านมหาเทพทิศประจิมให้กระจ่าง”
“แต่เกี่ยวอะไรกับสำนักเทียนซือ” เจ้าสำนักสวีถาม
“นี่เป็นคำขอจากเจ้าเมืองหลง” เขาพูดต่อ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องเป็นบริเวณกว้าง มีผลต่อทั้งสองโลกและสวรรค์ทั้งสามทิศ ไม่ว่าจะคุยกันในยมโลก หรือว่าบนโลกสวรรค์ล้วนไม่เที่ยวธรรม ดังนั้นเจ้าเมืองหลงจึงเสนอให้ใช้โลกมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เช่นนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่อาจมีความเห็นได้ ดังนั้นจึงเลือกสำนักเทียนซือ!”
ทุกคนเข้าใจในทันที โลกบนต่างมีพื้นที่ของตนเอง ดังนั้นจึงเลือกโลกมนุษย์ที่ไร้ผู้ดูแลหรือ
เรื่องของเขตหมิ่นเฟินพวกเขารู้เป็นอย่างดี เพราะว่าตอนนั้นถังเฉินเกือบจะกลายเป็นแพะรับบาป ต้องอาศัยอาจารย์อวิ๋นลงไปอธิบายเรื่องนี้ในยมโลก ตอนนี้สืบหาความจริงได้แล้ว ดังนั้นจึงต้องการคิดบัญชีกับโลกสวรรค์หรือ
เจ้าสำนักสวีลังเลเล็กน้อย เรื่องนี้ใหญ่ได้เล็กได้ ตามหลักเหตุผลเขาควรจะปฏิเสธ เพราะใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายหารือกันไปมาจะตีกันขึ้นมาหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นเสวียนเหมินคงถูกกระทบไปด้วย ถึงแม้พวกเขาจะไม่ยอมให้เกียรติโลกสวรรค์ แต่ไม่อาจไม่ให้เกียรติยมโลกได้ อีกทั้งในใจของเขาคิดอยากดูโลกสวรรค์เสียหน้า
“สหายทุกท่านวางใจ!” ราวกับรับรู้ได้ถึงความกังวลใจของพวกเขา ไป๋หังรีบอธิบาย “ท่านมหาเทพของข้าคิดไว้ก่อนแล้ว ท่านมหาเทพสามทิศลงจากสวรรค์อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายต่อเสวียนเหมิน ดังนั้นท่านจึงอัญเชิญกระจกคุนหลุนออกมา เมื่อมีกระจกบานนี้อยู่ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจใช้พลังได้”
หมายความว่าอยากตีก็ตีกันไม่ได้
เจ้าสำนักสวีวางใจในทันที เขาหันกลับไปมองทุกคน เมื่อเห็นทุกคนไม่มีท่าทีคัดค้าน เขาจึงพยักหน้า
“ขอบคุณสหายทุกท่าน” ไป๋หังยิ้ม “เช่นนั้นยามเฉินสองวันหลังจากนี้ ท่านมหาเทพจะเสด็จลงมา”
เจ้าสำนักสวียืนขึ้น “พวกข้าจะรอรับท่านเทพ”
ท่านเทพไป๋หารือเรื่องรายละเอียดเล็กน้อยและเรื่องที่ต้องระวังกับเจ้าสำนักสวีต่ออีกราวหนึ่งชั่วยาม จากนั้นเขาจึงเดินทางกลับโลกบนไปรายงาน
เมื่อชายแก่กลับถึงชิงหยาง เขาก็อดถามอวิ๋นเจี่ยวขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าหนู ทำไมอาจารย์อาหลงต้องเลือกสำนักเทียนซือในการคุยกับท่านมหาเทพทิศประจิม มันจะไม่เป็นการหาเรื่องให้พวกเราหรือ”
“อาจเป็นเพราะเขาคิดว่าไม่มีคนกล้าก่อเรื่องที่นี่!” อวิ๋นเจี่ยวตอบอย่างลังเล
“ทำไม”
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้ามองเจดีย์สูงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลตรงหน้า “เพราะมีคนให้ท้าย”
ชายแก่มองตามทิศทางที่เธอชี้ ก่อนจะถามขึ้น “เจ้าแน่ใจว่าให้ท้าย” ไม่ใช่ตีเขาตายไปด้วย
“อาจารย์ปู่เป็นคนมีเหตุผล” อวิ๋นเจี่ยวพูด
“…” ท่านมีเหตุผลแค่กับเจ้า!
“หากพวกเขาทำเกินไป ข้าเชื่อว่าอาจารย์ปู่อาจ…จัดการ”
“ไม่!” ชายแก่พูดอย่างมั่นใจ “ต้องดูว่าเจ้า…จะจัดการหรือไม่” ไม่เกี่ยวกับคนอื่น!
…
เจ้าสำนักสวีเลื่อนเวลาการประลองครั้งใหญ่ของเสวียนเหมินออกไป ให้วันหยุดแก่เหล่าลูกศิษย์ของโรงเรียน เหลือไว้เพียงผู้อาวุโสของสำนักเทียนซือและเจ้าสำนักเอาไว้ เพื่อความปลอดภัย เขาให้อวิ๋นเจี่ยวเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับข่ายพลังคุ้มครองภูผา อีกทั้งยังเพิ่มข่ายพลังอีกหลายชั้น
เมื่อเห็นเวลามาถึง บริเวณขอบฟ้ามีแสงสาดลงมา อีกทั้งยังสามารถเห็นการหลั่วไหลของพลังเทพจากระยะไกล หลายสิบร่างค่อยๆ เคลื่อนลงมาจากท้องฟ้า ทุกคนต่างรู้สึกว่าพลังเทพบริเวณรอบข้างเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ท้องฟ้าก็สว่างขึ้นอีกเล็กน้อย
อีกฝ่ายราวกับเจตนาเก็บพลังเอาไว้ ตามการเคลื่อนไหวลงมาของคนกลุ่มนี้ แสงสีขาวรอบด้านก็หายไป ในเวลานี้ทุกคนถึงได้เห็นท่านเทพสิบกว่าองค์อย่างชัดเจน กว่าครึ่งในนั้นล้วนเป็นปรมาจารย์แห่งเสวียนเหมิน
บริเวณด้านหน้าของพวกเขาคือชายหนุ่มในชุดเทพประณีต พลังเทพบนตัวเข้มข้นมากกว่าทุกคน
อีกทั้งยังเจือปนไปด้วยพลังมังกร รอยยิ้มเป็นมิตรปรากฏบนใบหน้าของเขา หน้าตาคล้ายกับท่านมหาเทพทักษิณสวรรค์เล็กน้อย
ทุกคนเดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เจ้าสำนักสวีนำทุกคนเดินขึ้นหน้าคารวะ “สวีชิงเฟิงแห่งสำนักเทียนซือคารวะท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์”
“เจ้าสำนักสวีไม่ต้องเกรงใจ” อีกฝ่ายยิ่มอย่างเป็นมิตรมากชค้น บนใบหน้าไม่มีท่าทีดูถูกแม้แต่น้อย “เรื่องในครั้งนี้มีความพิเศษอย่างมาก พวกข้าเป็นฝ่ายรบกวนพวกท่านถึงจะถูก”
พูดจบเขามองไปยังทุกคน ก่อนที่สายตาจะหยุดลงบนตัวอวิ๋นเจี่ยว จากนั้นเผยรอยยิ้มกว้าง
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
ตอนต่อไป →