เมื่อทุกคนเดินทางไปถึงตำหนักหน้า พวกเขาต่างพบว่าภายในตำหนักมีชายวัยกลางคนในชุดสีฟ้ายืนรออยู่ตรงกลางด้วยท่าทางหยิ่งยโส
เมื่ออีกฝ่ายเห็นพวกเขาเดินเข้ามา คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ใช้เพียงหางตากวาดมองทุกคน สุดท้ายหยุดลงบนตัวของเจ้าสำนักสวีที่อยู่หน้าสุด
“เจ้าเป็นผู้นำของที่นี่?” คำพูดของเขาเจือปนไปด้วยน้ำเสียงซักถาม พร้อมทำท่าทางสูงส่ง
ไม่เพียงแต่เจ้าสำนักสวี ทุกคนที่เข้ามาล้วนขมวดคิ้วมุ่น เจ้าสำนักสวีมองอีกฝ่าย ก่อนจะเดินขึ้นหน้าแนะนำตัว “ข้าคือสวีชิงเฟิงเจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนซือ ท่านคือ…”
คนผู้นั้นเชิดหน้าสูงขึ้นกว่าเดิม ทำท่าทางราวกับไม่เห็นทุกคนในสายตา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงปนรำคาญ “ข้าคือเทพภายใต้ท่านมหาเทพอุดรสวรรค์ รับคำสั่งมาส่งสารจากสวรรค์ สามวันหลังจากนี้ ท่านมหาเทพจะลงมาโลกมนุษย์หารือเรื่องสำคัญด้วยตนเอง ท่านเลือกสถานที่แห่งนี้ พวกเจ้าเตรียมตัวต้อนรับให้เร็ว”
“ท่านมหาเทพอุดรสวรรค์จะมาสำนักเทียนซือ?!” เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้ว ข่าวนี้ช่างทำให้คนตกตะลึง
“ใช่!” ท่านเทพนั้นพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “ท่านมหาเทพไม่ชอบให้คนนอกรบกวน ดังนั้นพวกเจ้าต้องขับไล่มนุษย์ภายในรัศมีร้อยลี้ ณ บัดนี้ หากไม่ได้เรียกพบ พวกเจ้าก็มิอาจเข้าใกล้”
เขาพูดอย่างหน้าตาเฉย ทำท่าทางราวกับพวกเขาได้เปรียบอย่างมาก
สีหน้าของทุกคนดำทะมึน ไม่เคยเห็นคนยืมพื้นที่คนอื่นใช้อย่างไร้ยางอายเช่นนี้
เจ้าสำนักสวีข่มความโกรธลง ก่อนจะถามขึ้น “ไม่ทราบว่าท่านมหาเทพอุดรสวรรค์มาสำนักเทียนซือด้วยเหตุอันใด”
“เรื่องนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” ท่านเทพส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ พร้อมกับกวาดตามองทุกคนราวกับต้องการตักเตือน เขายังคงท่าทางเย่อหยิ่ง “พวกเจ้าแค่ทำพื้นที่ให้ว่างก็พอ”
เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้วมากขึ้น เดิมทีเขาก็ไม่ประทับใจคนของโลกสวรรค์อยู่แล้ว ท่าทางของท่านเทพนี้ยิ่งทำให้คนขุ่นเคือง ทันใดนั้นก็ไม่อยากเกรงใจอีกฝ่ายอีกต่อไป เขาหัวเราะเสียงเบาออกมา “ดังนั้น…ท่านลงมาครานี้เพื่อยืมสถานที่ของสำนักเทียนซือ?”
สีหน้าของท่านเทพหยิ่งยโสขึ้นกว่าเดิม “นี่เป็นเกียรติที่ท่านมหาเทพมอบให้พวกเจ้า”
“อ่อ…” เจ้าสำนักสวีสายตาเย็นชาลง ก่อนจะตอบกลับเขา “ไม่ให้ยืม!” เป็นผู้ยืมที่เย่อหยิ่งมาก คิดว่าพวกเขาไม่เคยเจอเทพหรือ
“อะไรนะ!” ท่านเทพนั้นตกตะลึง เขามองไปยังเจ้าสำนักสวีด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความโกรธ “เจ้าบังอาจขัดขืนคำสั่งสวรรค์ ไม่กลัวถูกลงโทษหรือ”
“ท่านพูดเกินไป!” เจ้าสำนักสวีก็ถูกอีกฝ่ายกระตุ้นไฟโกรธขึ้นมาเช่นเดียวกัน เขาหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะกวาดตามองอีกฝ่ายขึ้นลง “ข้าเป็นคนในสำนักเทียนซือ อีกทั้งเป็นลูกศิษย์เสวียนเหมิน ปรมาจารย์คือท่านเทพเจ้ากว่างจี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุดรสวรรค์แม้แต่น้อย เหตุใดจึงต้องทำตามคำสั่งของท่านมหาเทพ อีกทั้งพวกข้าฝึกฝนตามชะตาสวรรค์ คุณงามความดีล้วนมีบันทึกจากฟ้า ท่านมหาเทพอุดรสวรรค์เป็นตัวแทนของหนทางแห่งสวรรค์ตั้งแต่เมื่อใด”
“เจ้า…” ท่านเทพพูดอะไรไม่ออก เขาถลึงตาใส่เจ้าสำนักสวีอย่างขุ่นเคือง ไหนบอกว่ามนุษย์นั้นโง่เขลา ศรัทธาในเทพเจ้า เมื่อพบเห็นก็มักจะกราบไหว้ด้วยความเคารพ? ทำไมคนเหล่านี้ไม่เหมือนกับที่เคยได้ยิน
“ท่านเทพ สำนักเทียนซือกำลังจัดงานประลองเสวียนเหมินครั้งใหญ่ มีลูกศิษย์จำนวนมาก เกรงว่าจะไม่มีพื้นที่ให้ท่านมหาเทพ! เชิญท่านกลับไปเถอะ!” พูดจบ เขาเอี้ยวตัวหลบพร้อมกับทำท่าทางเชิญ
ผู้อาวุโสคนอื่นที่อยู่ด้านหลังก็หลบออกเป็นทางอย่างให้ความร่วมมือ
ท่านเทพโกรธอย่างมหันต์ในทันใด แต่ก็ไม่อาจหาคำมาโต้แย้งได้ เขากวาดตามองทุกคน พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายที จากนั้นหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา “ฮึ! โง่เขลา! คิดว่ามีวิชาเพียงเล็กน้อยจะสามารถสู้กับสวรรค์ได้ ดี วันนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้าเห็นว่าเทพเจ้าที่แท้จริงเป็นอย่างไร!”
พูดจบ พลังของเขาหลั่งไหลออกมาทันที ก่อนจะสะบัดไปทางเจ้าสำนักสวี
“ระวัง!” ทุกคนตกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงมืออย่างกะทันหัน
ในขณะที่พลังเทพมหาศาลกลุ่มนั้นกลายเป็นดาบลมนับสิบเล่มพุ่งตรงมายังเจ้าสำนักสวี เจ้าสำนักสวีหยิบยันต์รวมลมออกมาตามสัญชาตญาณ ก่อนจะดึงพลังลมทั้งหมดรอบด้านเข้าไป ลมดาบที่พุ่งตรงมาถูกดึงดูดเข้าไปในยันต์ทันที เขายิ่งปล่อยพลังลมภายในยันต์ไปยังฝ่ายตรงข้าม
นาทีถัดมาเห็นเพียงแต่ลมดาบที่ใหญ่ขึ้นนับหลายเล่มสะท้อนกลับไปยังท่านเทพ อีกฝ่ายราวกับคาดไม่ถึงว่าเขาจะโจมตีกลับ จึงถูกลมดาบฟาดเข้าอย่างจัง
ทันใดนั้นได้ยินเสียงดังกึกก้อง ท่านเทพที่ลอบทำร้ายไม่สำเร็จถูกเหวี่ยงออกไป ก่อนจะกระแทกเข้ากับกำแพงฝั่งตรงข้าม อีกทั้งยังพาให้โต๊ะและเก้าอี้ล้มลงไปด้วย
พู่…
เขาอาเจียนเป็นเลือดออกมา ลมดาบนั่นเป็นของเขา เดิมทีเพิ่งออกไปเพื่อเอาชีวิตของอีกฝ่าย ตอนนี้ย้อนกลับมาพร้อมกับพลังลมปราณ อนุภาพยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ในเวลานั้นเขารู้สึกว่าเนื้อตัวในร่างกายมีแนวโน้มแตกละเอียด
เขาตกใจราวกับไม่อยากเชื่อว่าการโจมตีเมื่อกี้เป็นฝีมือของอีกฝ่าย เขาไม่กล้าอยู่ต่อ ถลึงตาใส่อีกฝ่ายก่อนจะพูดขึ้น “พวกเจ้ารอก่อนเถอะ ท่านมหาเทพไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าแน่!”
พูดจบ เขาก็กลายร่างเป็นแสงสีขาวพุ่งออกไปทันที
ทุกคนทำหน้าฉงน แม้แต่เจ้าสำนักสวียังไม่อยากเชื่อมือของตนเอง เขา…ชนะ! ยังไม่ได้ออกแรงทั้งหมดเลยนะ?
“นี่…เป็นเทพจริงหรือ” เขาหันไปมองอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านหลัง ท่านเทพอ่อนแอขนาดนี้?
“เขาเป็นแค่เทพผู้น้อยเท่านั้น” อวิ๋นเจี่ยวตอบ พลังบนตัวของท่านเทพนี้อ่อนแอที่สุดเท่าที่นางเคยพบ แม้แต่เฟิงเสี่ยวหวงยังแข็งแกร่งกว่ามาก “ท่านเป็นถึงเจ้าสำนักแห่งสำนักเทียนซือ ชนะก็เป็นเรื่องปกติ” มิเช่นนั้นข้อสอบที่ทำหลายปีนี้คงเสียเปล่า
เจ้าสำนักสวียังไม่อยากเชื่อ เขาก้มมองมือของตนเองอีกครั้ง พวกเขาคิดมาตลอดว่าท่านเทพของโลกบนต้องเก่งกาจมาก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นเช่นนี้ ภายในใจของเขาอดที่จะดีใจไม่ได้ แต่เมื่อมองไปยังทิศทางที่ท่านเทพจากไปนั้น ใบหน้าของเขาก็เผยความกังวลใจ “อาจารย์อวิ๋น เขากลับไปเช่นนี้ ท่านมหาเทพอุดรสวรรค์คงไม่มาเอาคืนพวกเราจริงๆ ใช่หรือไม่”
“ไม่” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว “จากท่าทางเมื่อกี้ของเขาก็พอจะรู้ อุดรสวรรค์ไม่ได้เห็นโลกล่างอยู่ในสายตา อีกทั้งเขาเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อยเท่านั้น ท่านมหาเทพอุดรสวรรค์จะเชื่อหรือไม่ยังไม่รู้ ยิ่งไม่มีทางทำอะไรเพียงเพราะคำพูดของเขา”
“เรื่องที่เขาพูดว่าจะยืมสำนักเทียนซือหารือเรื่องสำคัญคืออะไรกัน” วิ่งลงมาบอกว่าจะยึดพื้นที่อย่างไร้สาเหตุ อีกทั้งยังอีกสามวันให้หลัง หรือว่าจะมีแผนการใหม่อะไร
“หรือว่า…” เขานึกบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขามองไปยังทิศทางด้านหลังภูเขา “เพื่อเส้นชีพจรเทพที่เกิดใหม่ก่อนหน้านี้?”
เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขานึกเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นเดียวกัน ร่างเทพในหลังภูเขาตอนนั้นได้เพาะเลี้ยงเส้นชีพจรเทพออกมาได้ หรือว่าพวกเขาจะรู้เรื่องนี้แล้ว
“ไม่น่าใช่!” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว “ตอนนี้เส้นชีพจรเทพสลายกลายเป็นเส้นชีพจรพลังลมปราณ หากพวกเขามาเพื่อสิ่งนี้ควรจะลงมาตั้งแต่แรก ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงตอนนี้”
“เช่นนั้น…” เพื่ออะไรกัน
“รอดูเถอะ!” อวิ๋นเจี่ยวพูด “ใช้เวลาไม่ถึงสองวัน พวกเขาจะมาบอกพวกเราเอง”
“…”