ตอนที่ 169 ทอดทิ้ง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 169 ทอดทิ้ง

ปี้จูเห็นอันหลิงเกอเป็นเยี่ยงนี้จึงเผยท่าทางมิพอใจออกมา

“คุณหนูเจ้าคะ ท่านมิมีเหตุผลอันใด เหตุใดต้องทำให้ตนเหนื่อยถึงเพียงนี้เจ้าคะ ? ถ้าอย่างไรพรุ่งนี้ท่านหาโอกาสออกจากจวนเพื่อเดินผ่อนคลาย อย่าเอาแต่อุดอู้อยู่ในเรือนเลย”

ปี้จูติดตามอันหลิงเกอมานานหลายปี คำพูดคำจาจึงค่อนข้างสนิทสนม หากบอกว่าทั้งสองคนคือนายบ่าว แต่ก็เป็นเหมือนพี่น้องเช่นกัน

ข่าวที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้เว่ยซื่อช่วยดูแลงานภายในจวนก็แพร่ไปยังหูพวกบ่าวอย่างรวดเร็ว

ฟ้ายังมิทันสาง สาวใช้ในเรือนของหลี่ซื่อก็รวมตัวเป็นกลุ่มประมาณ 3 – 5 คน และกำลังซุบซิบนินทาอันใดบางอย่าง

อันอิงเฉิงที่กำลังเดินกลับเรือนตนก็ได้ยินเสียงก่อน เขาจึงหยุดยืนเอามือไพล่หลัง ดวงตาเฉียบคมแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามแล้วจ้องไปทางสาวใช้ผู้หนึ่งที่กำลังเป็นหัวหน้ากลุ่มนินทาอยู่

“เมื่อครู่เจ้าว่าอันใด ? ”

เสียงน่าเกรงขามของอันอิงเฉิงเอ่ยถามขึ้น ใบหน้าเคร่งขรึม เพียงแค่มองก็ทำให้คนเกรงกลัวได้แล้ว

สาวใช้ที่ถูกอันอิงเฉิงจ้องก็ตกใจกลัวจนตัวสั่น หดคอแล้วถอยไปอยู่หลังสาวใช้อีกคน “ระ เรียนนายท่าน มะ…เมื่อครู่บ่าวกล่าวกับซิงเอ๋อว่าดอกโบตั๋นที่เรือนฮูหยินรองกำลังบาน คิดว่าได้เวลารดน้ำใส่ปุ๋ยให้มันเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ฟังคำแก้ตัว ใบหน้าของอันอิงเฉิงก็เข้มกว่าเดิม

อันอิงเฉิงเค้นเสียงดัง ฮึ ! ใบหน้าก็ดูเย็นชาขึ้นเล็กน้อย “เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือไร ? เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าเว่ยซื่อจักมาดูแลจวนจึงคิดว่าควรไปผูกสัมพันธ์กับนางมิใช่หรือ ให้คนพาเจ้าไปอยู่ที่เรือนของนางอีกด้วย ข้าคิดมิถึงเสียจริงว่าเว่ยซื่อมีอิทธิพลถึงเพียงนี้ สามารถทำให้เจ้าลืมได้ว่าเจ้านายที่แท้จริงคือผู้ใด ผ่านไปเพียงข้ามคืนเจ้าก็ทรยศนายตนเองและไปฝากตัวกับนายคนใหม่แล้วหรือ ? ”

เดิมทีมีการย้ายคนใช้ในจวนโหวอยู่บ่อยครั้ง สาวใช้ โมโม่ บ่าวหรือทหารยามก็มิได้อยู่ในเรือนเดิมเสมอไป หากเรือนไหนขาดคนก็จักมีคนเรือนอื่นถูกย้ายเข้าไป แต่มีเพียงสาวใช้คนสนิทของนายแต่ละคนเท่านั้นที่มักโดนเจ้านายรั้งตัวไว้

แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่นายที่เป็นผู้ตัดสินใจว่าจักให้บ่าวคนไหนไปอยู่กับใคร ตั้งแต่เมื่อไรที่สาวใช้กวาดเรือนต่ำต้อยเยี่ยงนี้มีสิทธิตัดสินใจว่าจักไปรับใช้นายคนใด ?

หากปล่อยพวกนางไปเยี่ยงนี้ กฎของจวนก็มิต้องมีกันแล้ว !

อันอิงเฉิงคาดมิถึงว่าหลี่ซื่อเพิ่งถูกลงโทษ สาวใช้ในเรือนนางก็มีความคิดเยี่ยงนี้แล้ว ถ้าปล่อยให้หลี่ซื่อโดนเว่ยซื่อกดหัวต่อไป นางคงโดนสาวใช้พวกนี้ปีนขึ้นศีรษะแน่นอน

สาวใช้คนนั้นมิคาดฝันว่าสิ่งที่นางนินทาในกลุ่มจักลอยไปถึงหูอันอิงเฉิง

นางหน้าซีดเผือด ตัวสั่นแรงกว่าเดิม “นายท่านโปรดอภัยให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวเพียงคิดว่าข้างกายฮูหยินรองมีสาวใช้มิน้อยแล้ว ทว่าข้างกายอนุเว่ยมีคนมิพอจึงคิดไปรับใช้เท่านั้นเจ้าค่ะ”

“ดี ! สาวใช้คิดแทนเจ้านาย ! ” อันอิงเฉิงตวาดเสียงดังลั่น ขณะที่เขากำลังเอ่ยปากให้จัดการสาวใช้พวกนี้ เขาก็เห็นเถ่าหงประคองหลี่ซื่อออกมา

ใบหน้าหลี่ซื่อดูอ่อนล้าแต่ก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน “ก็แค่สาวใช้กล่าวในสิ่งที่มิควรสองสามประโยค ท่านพี่มิเห็นต้องโมโหถึงเพียงนี้เลยเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อเดินเข้ามาแล้วลูบแขนอันอิงเฉิงเบา ๆ เพื่อให้เขาใจเย็นขึ้น

เมื่อเห็นสีหน้าอันอิงเฉิงดูผ่อนคลายขึ้นแล้ว หลี่ซื่อก็กล่าวกับสาวใช้พวกนั้นว่า “ตอนนี้ข้าโดนท่านแม่รังเกียจ อีกทั้งอนุเว่ยยังได้ดูแลจวนโหว ถ้าพวกเจ้ามิอยากอยู่กับข้าก็ถือเป็นเรื่องปกติ พรุ่งนี้ข้าจักให้คนไปบอกอนุเว่ยแล้วส่งตัวพวกเจ้าให้นาง เถ่าหงก็เช่นกัน เจ้าอยู่กับข้ามานาน ข้ามิอาจทนเห็นเจ้ามาถูกลงโทษไปด้วย ดังนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ไปหางานใหม่ที่เรือนอนุเว่ย มิต้องมาติดตามข้าอีก”

“ฮูหยินรองเจ้าคะ ! ” เถ่าหงคุกเข่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “ฮูหยินดีกับบ่าวทุกอย่าง ตอนนี้ท่านต้องเดียวดาย ถ้าบ่าวจากไปในเวลานี้ก็มิเท่ากับทรยศนาย ทำให้ท่านต้องเจ็บซ้ำยิ่งกว่าเดิมหรือเจ้าคะ ? ”

เหมือนหลี่ซื่อหวั่นไหว น้ำตาไหลแก้ม “ข้าจักมิอยากให้เจ้าอยู่ข้างกายได้เยี่ยงไร เพียงแต่…”

เสียงของหลี่ซื่อติดอยู่ในลำคอ คำที่เหลือมิได้กล่าวออกมาเพียงแต่ภาพการจากลาของสองนายบ่าวทำให้อันอิงเฉิงรู้สึกหงุดหงิดและมิพอใจในตัวเว่ยซื่อเพิ่มขึ้นอีก

นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่หลี่ซื่อคอยดูแลจวน มิมีสาวใช้คนไหนกล้าผิดกฎ นี่เป็นเพียงแค่ข่าวที่ว่าผู้อื่นจักมาดูแลจวนแทน พวกบ่าวก็ไร้ระเบียบกันแล้ว ถ้าเว่ยซื่ออยู่เรือนเพียนแต่โดยดีไปชั่วชีวิต เรื่องวุ่นวายเยี่ยงนี้ก็คงมิเกิด !

“เจ้าวางใจได้ พรุ่งนี้ข้าจักไปคุยกับท่านแม่ เจ้าดูแลจวนมานานเพียงนี้จักบอกให้เว่ยซื่อมาดูแลแทนก็มิเหมาะสม เยี่ยงนี้จักมิทำให้จวนโหววุ่นวายหรือไร ? ”

มุมปากของอันอิงเฉิงเหยียดตรง ใบหน้าเคร่งขรึม ท่าทางเหมือนคนโกรธจัดทำให้หลี่ซื่อแอบยกยิ้มมุมปาก

หลังจากนั้นหลี่ซื่อก็ก้มหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย แต่พยายามให้ใบหน้าน้อยใจของนางตกอยู่ในสายตาอันอิงเฉิงด้วย “ถ้าต้องให้ท่านพี่ทะเลาะกับท่านแม่เพื่อข้า ข้าจักมิกลายเป็นคนบาปหรือเจ้าคะ ? ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นท่านพี่ก็คิดเสียว่ามิเคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน มิเช่นนั้นอาจทำให้ท่านแม่อารมณ์เสียนะเจ้าคะ”

แต่ละคำของหลี่ซื่อล้วนคิดเพื่อฮูหยินผู้เฒ่า แต่ความหมายคือฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินโดยไร้เหตุผล อาศัยความเป็นผู้อาวุโสกว่ามารังแกนาง

พอเห็นท่าทางกล้ำกลืนของหลี่ซื่อ อันอิงเฉิงก็รู้สึกปวดใจและดึงมือนางมาจับไว้ “ท่านแม่เป็นคนมีเหตุผล เรื่องนี้ต้องเป็นเพราะโดนเว่ยซื่อยุยงอย่างแน่นอน ข้าจักช่วยเจ้าเอง มิให้ผู้ใดมารังแกเจ้าได้อีก”

ยามที่มองใบหน้าซีดเซียวของหลี่ซื่อ อันอิงเฉิงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ายังมิหายดี รีบกลับไปพักเถิด ส่วนเรื่องนี้ก็ยกให้ข้าจัดการเอง”

หลี่ซื่อพยักหน้ารับและให้เถ่าหงเดินไปส่งอันอิงเฉิง แต่ในจังหวะที่นางหมุนตัวกลับ มุมปากก็ยกยิ้มอย่างชั่วร้ายขึ้นมา

ในเมื่อนักพรตผู้นั้นเปิดโปงนาง แต่นางมิยอมรับเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ฮูหยินผู้เฒ่ากลับนำเรื่องนี้มาลงโทษนาง ทว่าก็พอเหมาะพอดีให้นางได้ใช้โอกาสนี้ฟ้องท่านโหว ร้องห่มร้องไห้ให้เขาเห็นใจสำเร็จ

ท่านโหวเป็นคนกตัญญูต้องมิทะเลาะกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแน่นอน แต่กับคนชั้นต่ำชาติกำเนิดเป็นแค่สาวใช้เยี่ยงเว่ยซื่อ ถ้าท่านโหวจักตีหรือลงโทษอันใดก็ได้แต่น้อมรับไว้เท่านั้น

เมื่ออันอิงเฉิงหายออกไปจากเรือน หลี่ซื่อก็มีโอกาสกล่าวกับสาวใช้คนนั้น “เจ้าทำเรื่องในวันนี้ได้มิเลว พรุ่งนี้มาอยู่ดูแลข้าในเรือน”

เลื่อนให้นางเป็นสาวใช้ขั้นสองน่ะหรือ !

สาวใช้ที่เคยพูดว่าจักไปทำงานที่เรือนเว่ยซื่อก็เผยสีหน้าดีใจ “การทำงานให้ฮูหยินรองเป็นหน้าที่ของบ่าวเจ้าค่ะ”

สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเคารพ ตอนนี้นางรู้สึกนับถือหลี่ซื่อยิ่งกว่าเดิม

ถ้าหลี่ซื่อมิได้คิดแผนการนี้ขึ้นมา แล้วท่านโหวจักออกหน้าแทนได้เยี่ยงไร ?