ตอนที่ 170 ผู้ใดดูแลจวน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 170 ผู้ใดดูแลจวน

เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันพักผ่อนของเหล่าขุนนาง อันอิงเฉิงจึงได้หยุดอยู่ที่จวน

นานทีทุกคนในจวนโหวจักอยู่พร้อมหน้า บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงคึกคักเป็นพิเศษ

ฮูหยินผู้เฒ่ามองอันหลิงห่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมเอ่ยถามหลานชายคนโปรดว่า “การสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิผ่านมาพักหนึ่งแล้ว อีกมินานก็ถึงวันประกาศผล ห่าวเกอร์เอ๋อรู้สึกเยี่ยงไร ? ”

แม้อันหลิงห่าวมิได้เป็นบุตรชายของอันอิงเฉิง แต่ก็เป็นหลานคนแรกของฮูหยินผู้เฒ่า ยังมิกล่าวถึงหน้าตาอันหล่อเหลา ในบรรดาบัณฑิตรุ่นเดียวกัน เขาก็โดดเด่นมากที่สุด อีกทั้งยังเติบโตมาข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าจึงสามารถกล่าวได้ว่านางรักหลานชายคนนี้ที่สุด

อันหลิงห่าวรีบวางตะเกียบในมือพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน “หลานละอายใจ คงสอบมิติดสามอันดับแรกขอรับ”

คำกล่าวของเขาฟังถ่อมตน แต่ในความเป็นจริงกำลังบอกฮูหยินผู้เฒ่าว่าแม้สอบมิติดสามอันดับแรกแต่ก็ต้องอยู่ในอันดับต้น ๆ แน่นอน

พอหวังซื่อได้ยินเยี่ยงนั้นก็หัวเราะจนตาปิด บนใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ช่วงหลายปีมานี้ห่าวเกอร์เอ๋อลำบากและพากเพียรมากจริง ๆ ”

ขณะกล่าวนางก็คีบเนื้อปลาใส่ชามอันหลิงห่าวไปด้วย พอเห็นอันหลิงห่าวดูซูบผอม นางก็เผยแววตาเจ็บปวดออกมา “สอบมิติดสามอันดับแรกก็ช่างเถิด ร่างกายเจ้าสำคัญกว่า อย่าให้การสอบมาทำให้ตนเองล้มป่วยเลย”

อันหลิงห่าวตอบรับด้วยรอยยิ้ม แม้อันอิงหาวผู้เป็นบิดาที่อยู่ด้านข้างมิได้กล่าวอันใด แต่เขาก็แสดงใบหน้ามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด

อันอิงหาวเป็นพวกเอ้อระเหยลอยชายลุ่มหลงในสตรี แต่บุตรชายกลับเก่งกาจ สอบผ่านระดับ*ซิ่วไฉ ซึ่งเป็นขั้นแรกของการสอบเข้ารับราชการตั้งอายุยังน้อย หลังจากรอให้การสอบภาคฤดูใบไม้ผลิประกาศออกมาแล้ว อันหลิงห่าวก็จักสอบผ่านระดับ*จวี่เหรินซึ่งระดับจวี่เหรินที่มีอายุเพียง 15 ปีทั่วทั้งต้าโจวมีอยู่มิกี่คนเท่านั้น

ตอนนี้อันอิงเฉิงเป็นท่านโหวที่สูงส่ง อันหลิงห่าวจากบ้านสองยังเก่งวิชาการโดดเด่นกว่าผู้ใด ในอนาคตต้องเดินบนเส้นทางขุนนางเช่นกัน มีเพียงบ้านสามเท่านั้นที่ไร้ซื่อจื่อ เพราะอันอิงคังมีอันหลิงเฉว่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวจึงรู้สึกหดหู่พอสมควร

อันหลิงเฉว่คิดมาถึงตรงนี้ แววตาของนางก็ขุ่นมัวทันที

ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ พวกนางบ้านสามยังสามารถติดต่อกับบ้านใหญ่และบ้านสองได้ ยังได้พึ่งบารมีจากบ้านพวกเขาบ้าง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว แม้ร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่แต่ก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกมิกี่ปี เมื่อถึงเวลานั้นบ้านสามจักไร้อำนาจวาสนา แล้วจักมีชีวิตอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้เยี่ยงไร ?

นางต้องใช้โอกาสตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่สร้างอำนาจให้บ้านสาม !

แววตาอันหลิงเฉว่เป็นประกาย มุมปากยกยิ้มแสนไร้เดียงสาขึ้น “พี่ใหญ่เก่งจริง ๆ เจ้าค่ะ ต่อไปท่านคงได้เป็นบัณฑิตอายุน้อยที่สุดในต้าโจว ข้าเห็นว่าคนทั้งต้าโจวก็มีแค่พี่หญิงใหญ่เท่านั้นที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่จึงสามารถทัดเทียมพี่ใหญ่ได้เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังชมอันหลิงห่าวอยู่ แต่อันหลิงเฉว่เอ่ยชมอันหลิงเกอขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเผยแววตามิพอใจออกมา

แต่อย่างไรอันหลิงเฉว่ก็เป็นหลานสาวคนโปรด ฮูหยินผู้เฒ่าจึงทำเพียงส่งสายตาดุไปและมิได้ต่อว่าแต่อย่างใด

ในเวลานั้นรอยยิ้มบนใบหน้าหวังซื่อก็แข็งทื่อ แต่เมื่อคิดว่าอันหลิงเกอเป็นคนช่วยชีวิตบุตรในครรภ์เอาไว้ นางก็กลืนความมิพอใจต่ออันหลิงเกอลงไป

มีเพียงหลี่ซื่อที่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เฉว่เอ๋อกล่าวถูก ห่าวเกอร์เอ๋ออายุยังน้อยแต่ก็มากไปด้วยความสามารถ ส่วนเกอเอ๋อมีไหวพริบดี จวนโหวของพวกเรามีทั้งสองคนอยู่ถือเป็นเรื่องมงคลยิ่ง”

พอเห็นใบหน้าอันอิงหาวมืดมนขึ้นเรื่อย ๆ อันหลิงเกอก็รีบกล่าวขึ้นมา “คำกล่าวของน้องหญิงรองทำให้ข้าละอายใจ ตำแหน่งจวิ้นจู่ของข้ามาได้เยี่ยงไร ทุกคนในจวนต่างรู้ดีแก่ใจ ข้าเป็นแค่สตรีไร้ความสามารถไร้คุณธรรมผู้หนึ่ง แล้วจักกล้าเทียบกับห่าวเกอร์เอ๋อที่มีความรู้มากล้นได้หรือ ? ”

เพียงแค่มองครู่เดียวอันหลิงเกอก็เห็นอุบายยุยงที่อยู่ในคำกล่าวของอันหลิงเฉว่และหลี่ซื่อแล้ว นางจึงกล่าวออกไปอย่างมิเบามิแรง ทำให้อันหลิงห่าวดูสูงขึ้นและมิผิดใจกับคนบ้านสองแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นใบหน้าของหวังซื่อและอันอิงหาวก็ดีขึ้นอย่างที่คิด มิเพียงแค่นั้นหวังซื่อยังเอ่ยชมว่าอันหลิงเกอมีวิชาแพทย์สูงส่ง ใจกตัญญูและเอ่ยชมอีกเป็นชุด แน่นอนว่าทำให้ใบหน้าของอันหลิงเฉว่ดูบิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย

“พอได้แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเบา ๆ หวังซื่อจึงหยุดพูดแล้วฟังฮูหยินผู้เฒ่าออกคำสั่ง “เกอเอ๋อและห่าวเกอร์เอ๋อต่างก็เป็นความภาคภูมิใจของจวนเรา พวกเจ้ามิต้องชมกันไปกันมาแล้ว วันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจักประกาศ”

ถึงเวลาแล้ว !

ภายในใจของเว่ยซื่อเต้นแรงคล้ายเวลากำลังหยุดนิ่งจนนางสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตนดังอยู่ข้างหู

สายตาของคนทั้งห้องจับจ้องไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า มีเพียงหลี่ซื่อเท่านั้นที่ทำท่าทางโศกเศร้าจากการโดนรังแก

ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดสายตามองทุกคนแต่ตอนที่สายตาหยุดอยู่ที่ตัวหลี่ซื่อ นางก็เผยแววตารังเกียจออกมา แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เมื่อก่อนยกเรื่องน้อยใหญ่ในจวนโหวแห่งนี้ให้หลี่ซื่อเป็นผู้ดูแล แต่นางทำคนเดียวมิไหว ข้าจึงให้สะใภ้หวังไปช่วยดูแลห้องเก็บสมบัติ ตอนนี้สะใภ้หวังกำลังตั้งครรภ์อยู่ ข้าจึงอยากให้เว่ยซื่อมาช่วยพวกนางดูแลจวน พวกเจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”

ให้เว่ยซื่อมาช่วยดูแลจวนน่ะหรือ ?

อันหลิงเฉว่เผยแววตาประหลาดใจออกมา เดิมทีตอนพวกนางมิอยู่เมืองหลวง หลี่ซื่อจักเป็นคนดูแลจวนแห่งนี้ก็ช่าง แต่หลังจากพวกนางกลับมา ท่านย่าก็ให้ป้าสะใภ้หวังดูแลห้องเก็บสมบัติเพียงผู้เดียวและทำเป็นมิเห็นการมีอยู่ของบ้านสามเลยสักนิด

ถ้าบอกว่าในเวลานั้นต้องการคนดูแลห้องเก็บสมบัติเพียงผู้เดียวก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้ท่านย่าให้ป้าสะใภ้เว่ยมาดูแลจวนเพิ่มและมิยอมให้มารดาของนางสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจดูแลจวน นี่ท่านย่ากำลังแยกพวกนางบ้านสามออกไปหรือ ?

อันหลิงเฉว่อดแสดงสีหน้ากังวลออกมามิได้ แต่ในจังหวะที่หันไปเผชิญหน้ากับฮูหยินผู้เฒ่า นางก็แสร้งแสดงใบหน้าไร้เดียงสา เรียบร้อยและเป็นหลานผู้เชื่อฟัง “ท่านย่าเจ้าคะ จวนเราขาดผู้ดูแลเยี่ยงนั้นหรือ ? ถ้าเช่นนั้นให้ท่านแม่ของหลานลองทำดูได้หรือไม่เจ้าคะ ? เดิมทีตอนอยู่เรือนบรรพบุรุษก็มีท่านป้าสะใภ้หวังและท่านแม่ช่วยกันดูแล อีกทั้งยังมิเคยเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาก่อน พวกท่านร่วมมือกันดูแลเรือนบรรพบุรุษมานานหลายปีย่อมจักทำได้ดีกว่าเว่ยซื่อแน่นอนเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อยังมิทันได้กล่าวอันใด อันหลิงเฉว่ก็ชิงตัดหน้าก่อนแล้ว

ทันใดนั้นแววตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็ดูมิพอใจยิ่งกว่าเดิม การที่นางตัดสินใจเยี่ยงนี้เพราะอยากตบหน้าหลี่ซื่อ แต่เฉว่เอ๋อมิเข้าใจต้นสายปลายเหตุก็รีบร้อนกล่าวคำเหล่านี้ออกมา ก่อนหน้านี้มิได้มีนิสัยวู่วามเลยนี่

เจิ้งซื่อที่เห็นใบหน้ามิพอใจของฮูหยินผู้เฒ่าจึงรีบเข้าไปดึงตัวบุตรสาวออกมาแล้วกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแสนอ่อนโยน “เฉว่เอ๋อมีนิสัยเหมือนเด็ก คำพูดคำจาก็อ่อนต่อโลก ท่านแม่อย่าเก็บไปใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”

สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มดีขึ้นบ้าง นางหันไปมองทางหลี่ซื่ออีกครั้ง “สะใภ้หวังและหลี่ซื่อ พวกเจ้ามีความเห็นอันใดหรือไม่ ? ”

หวังซื่อส่ายหน้าเพราะตนกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทั้งอยู่ในช่วงต้องการพักผ่อนพอดี ถ้ามีเว่ยซื่อมาช่วยอีกคนก็มิได้ส่งผลกระทบต่ออำนาจในมือนาง

ส่วนหลี่ซื่อก้มหน้า มิได้กล่าวอันใดออกมา เพียงตอบอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้า…น้อมรับการตัดสินใจของท่านแม่เจ้าค่ะ”

“แต่ลูกมิเห็นด้วยกับเรื่องนี้ขอรับ” เสียงของหลี่ซื่อเพิ่งจบลง อันอิงเฉิงก็ลุกขึ้นพร้อมกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

*ระบบการสอบเข้ารับราชการของจีนเรียกว่า เคอจวี่ ประกอบด้วยการสอบทั้งหมดสามรอบ รอบที่ 1 เป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น ผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะได้คุณวุฒิเรียกว่าซิ่วไฉ รอบที่ 2 เป็นการสอบคัดเลือกระดับมณฑลโดยผู้เข้าสอบต้องได้คุณวุฒิซิ่วไฉก่อน ผู้สอบผ่านขั้นนี้จะได้คุณวุฒิจวี่เหริน ส่วนรอบที่ 3 ผู้สอบผ่านรอบนี้จะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการและได้คุณวุฒิที่เรียกว่าจิ้นซื่อ