บทที่ 78.2 ทักษะผสานเฉพาะตัว (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

อันที่จริงนี่คือทักษะกระชากมิติ อย่างไรก็ตาม ทักษะกระชากมิติในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นเป็นวงกลมขนาดเล็ก ไม่ใช่เส้นตรงเหมือนเคย เมื่อวงกลมนี้ก่อตัวขึ้น รอยแยกในมิติก็ก่อขึ้นเป็นรูปวงแหวน ยุบตัวจนเกิดเป็นช่องว่างภายในตัวมันเอง กลายเป็นหลุมดำขนาดเล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ฉื่อ

พลังดูดกลืนของมันรุนแรงกว่าทักษะกระชากมิติแบบเส้นตรงดั้งเดิมกว่า 3 เท่า และโจวเหว่ยชิงก็ยืนนิ่งๆ มองกงจักรวายุทั้ง 7 ถูกดูดกลืนจนหายเข้าไปข้างในด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวของหลุมดำนั้น

ในระหว่างที่กำลังบุกทะลวงโจมตีอีกฝ่าย หัวใจของลี่ฉวนก็เต้นรัวเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ในขณะที่เขากำลังจะขยับตัวก็มีภาพแปลกๆ ขึ้นเมื่อหลุมดำและแสงสีเงินที่กระจายตัวอยู่รอบๆ หายวับไปอย่างกะทันหัน

ทุกคนรู้กันดีว่าแม้ทักษะกระชากมิติจะทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เมื่อถูกเปิดใช้งานแล้ว มันก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตำแหน่งได้

ในช่วงเวลาต่อมา จู่ๆก็เกิดเสียงดังสนั่น ลี่ฉวนแทบไม่มีโอกาสได้ตอบสนองขณะหลุมดำปรากฏขึ้นต่อหน้าเขากะทันหัน

ไม่มีใครคิดว่าจู่ๆ มิติกระชากจะเคลื่อนตัวไปด้านหน้าได้ 5 หลา ตรงเข้าหาลี่ฉวนขณะที่เขากำลังพุ่งโจมตีอีกฝ่าย! โชคดีที่ลี่ฉวนกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนท่า และความเร็วของเขาก็ถูกปรับให้ช้าลงโดยธรรมชาติ แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ตามมาพร้อมกับเสียงดังเสียดหูคือการที่พลังปราณสวรรค์สีขาวของลี่ฉวนซึ่งไหลวนเป็นเกราะป้องกันอยู่รอบตัวรวมถึงเสื้อผ้าส่วนหน้าของเขานั้นถูกพลังของหลุ่มดำทึ้งกระชากออกไปเป็นหย่อมๆ

ลี่ฉวนฉวยโอกาสใช้แรงปะทะจากการโจมตีพลิกคว่ำไปข้างหลังเพื่อช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ แม้ว่าบริเวณหน้าอกของเขาจะเจิ่งนองไปด้วยเลือดก็ตาม เนื่องจากเขามั่นใจในความยืดหยุ่นของร่างกายมาก ทักษะกักเก็บธาตุมณีของเขาส่วนใหญ่จึงเป็นทักษะโจมตี ทว่าเมื่อความยืดหยุ่นต้องปะทะกับทักษะกระชากมิติแบบซึ่งๆ หน้า มันก็คล้ายกับบัณฑิตทรงปัญญาที่ประจันหน้ากับนักเลงข้างถนน ไม่ว่าจะใช้เหตุผลใดๆ ก็ไม่อาจหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้ ดังนั้นการปะทะในครั้งนี้จึงจบลงที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างที่หลายคนคาดไว้

หลุมดำนี้ไม่เพียงแต่จะมีแรงดึงดูดที่ทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ความสามารถในการเฉือนตัดของมันก็แข็ง แกร่งขึ้นเช่นกัน เพื่อที่จะหยุดยั้งไม่ให้ทักษะระดับ 10 ดาวนี้ฟันร่างของเขาจนแยกออกจากกัน ในช่วงเวลานั้น ลี่ฉวนได้ใช้พลังปราณสวรรค์เกือบ 1 ใน 3 ของเขาเพื่อหลบหลีก

ตั้งแต่ทักษะกระชากมิติปรากฏตัวขึ้นจนกระทั่งมันสลายไปเป็นเวลาเพียง 3 วินาทีเท่านั้น แม้จะเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก แต่มันก็ยาวนานพอให้โจวเหว่ยชิงลงมือทำอะไรหลายๆ อย่างได้

ทว่าเขากลับยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ยอมขยับตัว ไม่นานก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “ยอมแพ้เถอะ เจ้าควรรู้ว่าข้าได้แสดงความเมตตาต่อเจ้าแล้ว”

ลี่ฉวนกัดฟันข่มความเจ็บปวดในอกขณะที่ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “ข้ายอมแพ้” หลังจากพูดจบ เขาก็รีบกระโดดลงจากเวทีเพื่อรับการรักษาทันที

บนแท่นนั่งของผู้ชมระดับสูง จักรพรรดิแห่งอาณาจักรจ้งเทียน ซ่างกวนเทียนซินกำลังมองฉากตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ “สหายตัวน้อยคนนั้นเริ่มเข้าใจความลับของทักษะธาตุมิติแล้ว! ดี…ดีมาก สิ่งนี้จะช่วยให้เขาสามารถใช้พลังของทักษะระดับ 10 ดาวนี้ได้อย่างเต็มที่ ไม่เลวเลยจริงๆ เขาค่อนข้างเข้าใจทักษะนี้ดีอยู่แล้ว”

จักรพรรดิ์หนุ่มไม่ใช่คนเดียวที่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา เนื่องจากเหล่ากลุ่มคนทรงพลังทั้งหลายต่างก็สังเกตเห็นโจวเหว่ยชิงเช่นกัน ที่สำคัญกว่านั้น กลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 ก็เริ่มให้ความสนใจเขาอีกด้วย

ในเรือนพักของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ เย่เป่าเปามองไปที่โจวเหว่ยชิงซึ่งกำลังเดินลงจากเวทีอย่างช้าๆ และถามหลินเทียนอ้าวว่า “หัวหน้า เขาชนะไปแบบนั้นเนี่ยนะ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าลี่ฉวนนั่นยังมีใจอยากจะต่อสู้อยู่หรือเปล่า!?”

หลินเทียนอ้าวส่ายหัวและพูดว่า “เหว่ยชิงทำให้ข้าประหลาดใจมากทีเดียว แท้จริงแล้วลี่ฉวนยังมีใจอยากจะต่อสู้อยู่อย่างเต็มเปี่ยม แต่เขารู้ดีว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจเอาชนะเหว่ยชิงได้ ให้ข้าอธิบายง่ายๆ ก็แล้วกัน ตราบใดที่ลี่ฉวนไม่มีทักษะหรือศาสตรมณียุทธ์ที่สามารถปิดกั้นพลังของทักษะกระชากมิติได้ เขาก็ไม่สามารถเอาชนะเหว่ยชิงได้ เจ้าก็เห็นแล้วว่าเหว่ยชิงสามารถทำให้หลุมดำปรากฏตัวต่อหน้าอีกฝ่ายได้ตามต้องการ เขาจึงสามารถเคลื่อนมันไปที่คอของเด็กหนุ่มคนนั้นได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีศาสตรามณียุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการขัดขวางทักษะกระชากมิติ แต่เนื่องจากเหว่ยชิงสามารถเคลื่อนย้ายมันได้ตามต้องการ เขาก็ยังสามารถวางมันไว้ในตำแหน่งที่อีกฝ่ายไม่อาจป้องกันได้ นี่แหละคือพลังของทักษะระดับ 10 ดาว เช่นนี้มันจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร?”

“ที่สำคัญกว่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าเหว่ยชิงเริ่มเข้าใจความลับทักษะธาตุมิติอย่างลึกซึ้งแล้ว เขาสามารถหลอมรวมทักษะกระชากมิติและทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาเข้าด้วยกัน ทำให้มิติกระชากซึ่งแต่เดิมไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ให้เคลื่อนที่ไปรอบๆ ด้วยทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา นี่แหละคือพลังที่แท้จริงของทักษะผสาน”

กรามของเย่เป่าเปาอ้าค้างจนตกลงถึงพื้น และเขาก็พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ “งั้นก็หมายความว่าเขาจะกลายเป็นบุคคลไร้เทียมทานหากต่อสู้กับบรรดาจ้าวมณีสวรรค์ที่มีพลังป้องกันต่ำทั้งหลายน่ะสิ?”

หลินเทียนอ้าวยิ้มและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าโรงเรียนทหารเฟยหลี่ของเจ้าจะไม่ได้ให้คำแนะนำที่ดีพอเกี่ยวกับการต่อสู้ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไร้เทียมทาน ท้ายที่สุดทั้งทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาและทักษะกระชากมิติต่างก็มีข้อจำกัดของตัวมันเอง ตัวอย่างเช่น ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของผ่านอากาศได้เท่านั้น ข้าไม่แน่ใจว่าเหว่ยชิงสามารถใช้มันกับทักษะกระชากมิติได้อย่างไร แต่ข้ามั่นใจว่าเขาจะไม่สามารถทำลายข้อจำกัดนั้นได้ ดังนั้นตราบใดที่เขาใช้ทักษะกระชากมิติ ถ้าเจ้าหยุดนิ่งและไม่ขยับ ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนไหวทักษะกระชากมิติด้วยวิธีใด มันก็จะไม่สามารถทำอันตรายเจ้าได้ ข้อบกพร่องอีกประการหนึ่งของทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาคือระยะการใช้งานของมัน ตราบใดที่เจ้ายืนห่างจากเขามากกว่า 10 หลา เขาก็จะไม่สามารถใช้ทักษะผสานนี้กับเจ้าได้”

ในขณะที่เย่เป่าเปาค่อยๆ ตระหนักเรื่องราวทั้งหมดได้ เขาก็กล่าวด้วยความจริงใจ “หัวหน้า ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่าน ดูเหมือนว่าหนทางการก้าวขึ้นเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังของข้ายังคงอยู่อีกยาวไกล”

เมื่อถึงเวลานี้ โจวเหว่ยชิงก็กลับมาถึงแล้ว เขาได้ยินคำพูดของหลินเทียนอ้าวพอดีจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย “หัวหน้า กว่าข้าจะนึกนำทักษะมาใช้ประโยชน์เช่นนี้ได้ แต่ท่านกลับเปิดเผยจุดอ่อนทั้งหมดของมันออกมาเสียนี่!”

หลินเทียนอ้าวหัวเราะร่าและพูดว่า “หากเจ้าคิดทักษะผสานแรกออกมาได้ เจ้าจะคิดอันต่อๆ ไปไม่ออกหรือ? นอกจากนี้ ทักษะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่เป็นวิธีที่จะใช้มันต่อสู้จริงต่างหาก และเจ้าก็สามารถใช้มันได้สารพัดวิธีด้วย แน่นอนว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะคิดทฤษฎี แต่เรื่องยากคือการลงมือใช้ในการต่อสู้จริง ถ้าเจ้าสามารถทำให้ทักษะกระชากมิติเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง นั่นก็คงจะน่ากลัวจริงๆ”

โจวเหว่ยชิงกางมือออกในท่า ‘ช่วยไม่ได้แหละนะ’ และพูดว่า “มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ การทำให้ทักษะกระชากมิติเคลื่อนที่ได้คือการเปลี่ยนแปลงกฎของทักษะธาตุมิติ และข้าก็ยังไม่มีพลังมากพอจะทำเช่นนั้นหรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ บางทีหากข้ามีมณี 10 ชุดเมื่อไหร่ ข้าก็อาจจะลองอีกสักครั้ง”

ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันการต่อสู้ครั้งที่ 2 ก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

เป็นอีกครั้งที่อู่หยาแสดงให้ผู้ชมเห็นถึงความป่าเถื่อนรุนแรงของเธอ ขวานคู่ในตำนานและการบุกการโจมตีง่ายๆเช่นนั้นแหละ

กลุ่มนักรบเตี่ยเซิงนั้นได้วางแผนมาอย่างดี พวกเขาเดาว่าอู่หยาน่าจะเป็นนักสู้คนที่ 2 ของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ พวกเขาจึงส่งจ้าวมณีสวรรค์ธาตุน้ำ มณีธาตุน้ำพร้อมมณียุทธ์ประเภทการป้องกันมา แผนของพวกเขาคือการใช้ประโยชน์จากธาตุน้ำเพื่อสร้างโล่น้ำแข็งสำหรับเสริมการป้องกัน รวมถึงใช้ทักษะควบคุมธาตุน้ำเพื่อจัดการกับอู่หยา ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็ยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 4 ชุดด้วย

น่าเสียดายที่ความแตกต่างระหว่างมณีหนึ่งชุดนั้นไม่ง่ายที่จะใช้กำราบความแข็งแกร่งและพลังของอู่หยา นอกจากนี้ ทักษะควบคุมมักจะต้องกักเก็บจากอสูรสวรรค์ระดับเทวะขึ้นไป ดังนั้นจึงยากที่จะมีทักษะระดับสูงเช่นนี้ได้ อาณาจักรเตี่ยเซิงเป็นอาณาจักรที่ค่อนข้างเล็กและไม่มี 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์คอยหนุนหลัง พวกเขาไม่มีความสามารถในการกักเก็บทักษะที่แทบจะเรียกได้ว่าโกงเหมือนโจวเหว่ยชิง ดังนั้นผลของการต่อสู้ครั้งนี้จึงเป็นไปตามคาด การโจมตีของฝ่ายตรงข้ามถูกทำลายโดยขวานคู่ในตำนาน ตามด้วยการบุกเข้าโจมตีของอู่หยา จากนั้นทุกอย่างก็จบลง

เมื่อมาถึงรอบที่ 3 ซึ่งการประลองแบบคู่ กลุ่มนักรบเตี่ยเซิงก็ขอยอมแพ้ไป เหตุผลนั้นก็ง่ายมาก ลี่ฉวนเป็นหัวหน้าของพวกเขา ดังนั้นเมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงและอู่หยาขึ้นไปบนเวทีด้วยกัน พวกเขาก็ตัดสินใจยอมแพ้ทันที ดังนั้นกลุ่มนักรบเฟยหลี่จึงชนะนัดที่ 2 ไปด้วยคะแนน 3-0 และที่น่าประทับใจยิ่งกว่านั้นคือมีเพียงโจวเหว่ยชิงและอู่หยาเท่านั้นที่ได้ออกไปต่อสู้

ในเรือนพักของกลุ่มอาณาจักรตันตุ้นซึ่งเป็นกลุ่มตัวเต็งในสายที่ 3 เด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างเคร่ขรึม “ดูเหมือนว่าเจ้ามณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดจากกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทั้ง 2 คนนั้นจะไม่เคี้ยวง่ายอย่างที่พวกเราคิด”

เด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ใครจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นใน 3 ปีที่ผ่านมาบ้าง? ไปค้นอายุของพวกมันมา บางทีหากมันไปถึงระดับ 5 ชุดแล้ว พวกมันอาจกลายเป็นภัยคุกคามต่อเราได้ แต่ตอนนี้พวกมันยังถือว่าขาดประสบการณ์อยู่”

การประลองในตอนเช้าจบลงด้วยการที่กลุ่มนักรบเฟยหลี่และกลุ่มต่างๆ จากไปตามลำดับเพื่อรับประทานอาหารและพักผ่อน สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ไม่ได้วางแผนที่จะกลับโรงเตี๊ยมตั้งแต่แรก แต่เนื่องจากหลินเทียนอ้าวเห็นด้วยกับโจวเหว่ยชิงที่จะไม่เข้าชมการต่อสู้ของกลุ่มนักรบป่ายต้า พวกเขาจะต้องต่อสู้กันในอีก 3 วันถัดไป และเป็นการแข่งขันที่สำคัญที่สุดในรอบอุ่นเครื่องสำหรับพวกเขา เมื่อถึงจุดนั้น ทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้กับศัตรูอย่างเต็มกำลัง ถูกต้อง ‘ศัตรู’ ไม่ใช่ ‘คู่ต่อสู้’ สำหรับอาณาจักรเฟยหลี่และอาณาจักรป่ายต้าแล้ว แน่นอนว่าว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นศัตรูกัน

ในขณะที่พวกเขาออกจากอุโมงค์ทางออกสำหรับผู้เข้าแข่งขัน จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็เห็นร่างคุ้นเคยที่เขาเฝ้าฝันถึงมาตลอด 3 วันที่ผ่านมา

“ปิงเอ๋อร์!” โจวเหว่ยชิงพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“ถ้าเจ้าไม่อยากตายก็หยุดอยู่ตรงนั้นซะ” น้ำเสียงที่เยือกเย็นราวกับสายลมของฤดูหนาวทำให้โจวเหว่ยชิงตัวแข็งทื่อ

เขามองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคย แต่กลับพบว่าดวงตาคู่นั้นไม่เปล่งประกายความอบอุ่นเหมือนดั่งเดิม โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเล็กน้อย

โดยธรรมชาติแล้ว ร่างที่คุ้นเคยนั้นไม่ใช่ปิงเอ๋อร์ของเขา แต่เป็นคนที่เขาบังเอิญจูบเมื่อสามวันก่อนอย่างซ่างกวนเสว่เอ๋อร์

เมื่อเห็นซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ คนอื่นๆ ในกลุ่มนักรบเฟยหลี่ต่างก็ตกใจเช่นกัน เดิมทีพวกเขาคิดว่าเธอคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่พวกเขาก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามีบางอย่างผิดปกติ แม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาร่วมกันไม่นานนัก แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะไม่พูดกับโจวเหว่ยชิงแบบนั้นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น รัศมีที่เปล่งออกมาจากตัวของเด็กสาวที่ดูเหมือนซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นก็เย็นชาและอันตรายมาก จนแม้แต่หลินเทียนอ้าวก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเมื่อรู้สึกถึงความตายที่คืบคลานเข้ามาใกล้!

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึก แต่ก็ไม่อาจสามารถสงบสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านได้ เขาถามอย่างร้อนรนว่า “ปิงเอ๋อร์อยู่ที่ไหน?”

ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์กล่าวอย่างเฉยชาว่า “ในที่สุดปิงเอ๋อร์ก็ได้กลับบ้านที่แท้จริงเสียที นางจึงต้องพักผ่อนอยู่บ้านของนางอยู่แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือนางสองเรื่อง รับไป นี่สำหรับเจ้า” เมื่อพูดอย่างนั้น เธอก็โยนแหวนใส่เขา หลังจากนั้นมันก็ร่วงลงมากลางฝ่ามือของโจวเหว่ยชิงพอดี แหวนวงนั้นคือแหวนมิติที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคยสวม ในนั้นมีหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งอยู่ 2 ตัวนั่นเอง

“ปิงเอ๋อร์ขอให้ข้ามอบสิ่งนี้ให้เจ้า นอกจากนี้ นางยังขอให้ข้าบอกเจ้าว่า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่ควรทำอะไรเกินตัว นางจะรอเจ้าเสมอ”

………………………………………………………..