“แค่นั้นเองหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างร้อนรน อย่างที่โบราณเคยกล่าวไว้ คนเราจะรู้ว่าสิ่งนั้นมีค่าก็ต่อเมื่อเสียมันไป ก่อนหน้านี้เขาอยู่ด้วยกันกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทุกวัน แม้ว่าเขาจะรักเธออย่างสุดซึ้ง แต่จนกระทั่งเธอจากไปเท่านั้น โจวเหว่ยชิงจึงสัมผัสได้ถึงความรักและคิดถึงที่เขามีต่ออีกฝ่ายอย่างแท้จริง มันแผดเผาเขาเป็นเถ้าถ่านไปถึงกระดูก ทำให้รู้ว่าปิงเอ๋อร์สำคัญกับเขามากเพียงใด นอกจากนี้ หนึ่งในเหตุผลที่เขาเลือกใช้วิธีฝึกแบบอัดทักษะเช่นนี้ ไม่เพียงเพื่อพัฒนาพลังของตัวเองเท่านั้น แต่ยังใช้ประโยชน์จากความทุกข์ทรมานเพื่อหลีกหนีความเจ็บปวดจากการหายตัวไปของปิงเอ๋อร์ด้วย
ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์พูดอย่างเฉยเมย “แค่นั้นแหละ นั่นเป็นเพียงส่วนแรก ส่วนที่สองมาจากท่านพ่อของข้า เขาบอกว่าเจ้าอยู่คนละรุ่นกับเขา ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะกลั่นแกล้งเจ้า พวกเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าเจ้าต้องการแต่งงานกับน้องสาวของข้า เจ้าก็คงจะต้องรอจนกว่าจะเอาชนะข้าได้”
“เอาชนะเจ้า?” ประกายดุดันพุ่งทะลักออกมาจากดวงตาของโจวเหว่ยชิง แม้จะคนที่มีระดับพลังปราณสูงส่งเช่นซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ก็ยังประหลาดใจกับความเร่าร้อนในดวงตาของเขา
ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์กวาดมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและหันหลังจากไป ทว่าจู่ๆเธอก็หยุดเท้ากะทันหันและเอ่ยออกมาอย่างเฉยเมยว่า “เดิมทีท่านพ่อต้องการให้เจ้าเอาชนะเขาให้ได้ก่อนจะอนุญาตให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกัน แต่ปิงเอ๋อร์ขู่ว่าจะฆ่าตัวตายหากเขาทำเช่นนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านพ่อจึงเปลี่ยนใจให้เป็นข้า ดังนั้นอย่าทำให้ปิงเอ๋อร์ต้องผิดหวังล่ะ ในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าเจ้าไม่สามารถเอาชนะข้าได้ ข้าก็จะตามหาเจ้าและสังหารเจ้าเพื่อป้องกันไม่ให้ปิงเอ๋อร์เสียเวลารอเจ้าไปจนตาย อย่างไรก็ตาม หากเจ้าสามารถผ่านเข้ารอบงานประลองมณีสวรรค์นี้และเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ได้ บางทีข้าอาจจะช่วยให้เจ้าได้พบนางสักครั้ง”
หลังจากพูดแบบนั้นซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ก็หันหลังจากไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางฝูงชน
ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูเธอจากไป เย่เป่าเปาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นั่นคือพี่สาวฝาแฝดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช่ไหม? คนที่ตบเจ้าครั้งก่อนน่ะหรือ? ระดับพลังปราณของนางสูงกว่าปิงเอ๋อร์มากหรือไง เหว่ยชิง ทำไมเจ้าไม่ลองดูสักตั้งล่ะ?
อู่หยากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้หญิงคนนั้นอันตรายมาก อันตรายกว่าปิงเอ๋อร์หลายเท่า”
หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเฉยชา “ข้าเองก็รู้สึกถึงภัยคุกคามระดับชีวิตจากนางได้เช่นกัน”
โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะปล่อยออกแล้วค่อยๆ สวมแหวนลงบนนิ้วกลางข้างซ้ายของเขาด้วยความระมัดระวัง เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าจะเอาชนะนางในเวลาที่สั้นที่สุดให้ได้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้…”
เย่เป่าเปาถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ?”
โจวเหว่ยชิงมองไปที่อีกฝ่ายแล้วพูดอย่างขมขื่น “ด้วยความแข็งแกร่งในของข้าในตอนนี้ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางแม้แต่น้อย แม้แต่โอกาสจะเสมอก็ยังไม่มี”
เมื่อการต่อสู้รอบที่ 2 ของพวกเขาสิ้นสุดลง ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงไม่ได้ออกไปสำรวจเมืองเหมือนคนอื่นๆ หลังจากทานอาหารมื้อใหญ่แล้ว เขาก็กักตัวเองอยู่ในห้องพร้อมกับเตรียมน้ำปริมาณเท่าเดิมเอาไว้อีกครั้ง
การอัดทักษะ 1,000 ครั้งไม่ได้ใช้เพียงแค่ความแข็งแกร่งและความอึดทนทางร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีจิตวิญญาณและปริมาณพลังปราณสวรรค์ บางทีอาจจะรวมถึงพลังชีวิตของคนๆ นั้นด้วย หากเขาฝึกเช่นนี้มากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างไม่อาจหาทางแก้ไขได้ แน่นอนว่านี่จะสร้างภาระใหญ่หลวงให้แก่ร่างกาย แม้ว่าจะเป็นร่างกายที่พัฒนาขึ้นแล้วของโจวเหว่ยชิงก็ตาม การที่เขาสามารถทนได้นานและเกิดกระทบน้อยมากเช่นนี้ ใครๆ ก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่าสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ทั่วไปๆ ขั้นตอนเหล่านี้ยากลำบากและมากอันตรายแค่ไหน
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญของในการทำความเข้าใจความลึกลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังทักษะและธาตุต่างๆอย่างลึกซึ้ง ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงเลือกทักษะที่เขาไม่ได้ใช้บ่อยนัก แม้ว่ามันจะเป็นทักษะที่ทรงพลังมากก็ตาม นี่คือทักษะที่สามารถหลอมรวมกับทักษะกระชากมิติของเขาได้และกักเก็บมาจากจักรพรรดิสีเงิน เป็นทักษะธาตุลมระดับ 10 ดาวอีกชนิดของเขา ทักษะสะบัดปีกเฉือน
หากมีเวลามากพอ โจวเหว่ยชิงอาจไม่เลือกฝึกควบคุมทักษะทั้งสองชนิดนี้ก่อนเนื่องจากพวกมันสูบพลังปราณและกัดกร่อนจิตวิญญาณของเขาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ความลึกลับของพวกมันยังซับซ้อนและเข้าใจยากเมื่อเทียบกับทักษะที่มีระดับดาวต่ำกว่า นั่นจึงทำให้เขาเหนื่อยกว่าเดิมหากเทียบกับการฝึกก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ความอยากเอาชนะของเขามาจากความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเกาะมณีสวรรค์ ตอนนี้เป้าหมายนั้นเปลี่ยนเป็นปิงเอ๋อร์แล้ว เขาจำเป็นต้องเร่งพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ของเขาให้ดีขึ้นภายในเวลาที่สั้นที่สุด ไม่ว่ามันจะอันตรายหรือยากเย็นแค่ไหนก็ตาม เพื่อที่จะได้พบปิงเอ๋อร์อีกครั้ง แม้ว่าเขาจะต้องใช้สถานะปีศาจกลายร่าง เขาก็ยินดีจะเสี่ยง
ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังเตรียมจะเริ่มการฝึกของเขา จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มนวลดังออกมาจากโถงทางเดิน
“โจวเหว่ยชิงอยู่ที่นี่หรือไม่?” โจวเหว่ยชิงเกือบจะเข้าสู่การฝึกแล้ว ทว่าเขากลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงนั้นอย่างกะทันหัน เขาจึงลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปเปิดประตู โจวเหว่ยชิงมีความจำที่ดีมาก แต่กลับจำเสียงนี้ไม่ได้เลย
ห้องของสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่นั้นตั้งอยู่ติดกันและพวกเขาก็ออกมาทันทีเมื่อโจวเหว่ยชิงเปิดประตู การแสดงออกบนใบหน้าของพวกเขาแตกต่างกันอย่างมาก มันทั้งดูจริงจังและสับสน นั่นเป็นเพราะเจ้าของเสียงนั้นเกือบจะเป็นฝันร้ายของพวกเขา
แม่มดน้อยยืนอยู่ตรงหน้าในชุดกระโปรงสีดำ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่ผมยาวสลวยทั้งสองข้างของเธอพาดลงมาปกคลุมไหล่ทั้งสองข้าง เมื่อรวมกับดวงตากลมโตฉ่ำวาวจึงทำให้เธอดูดีมาก ผิวขาวนวลเนียนของเธอถูกขับเน้นด้วยชุดสีดำที่สวมอยู่ และใครก็ตามที่เห็นเธอเป็นครั้งแรกก็จะต้องคิดว่าเธอเป็นน้องสาวข้างบ้านผู้ไร้พิษภัย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่หลินเทียนอ้าวและคนอื่นๆ เห็นเธอ ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียวขึ้นทันที ในสายตาของพวกเขา สาวน้อยที่งดงามผู้นี้เหมือนสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายมากกว่า
ในตอนแรกที่แม่มดน้อยปรากฏตัว เธอได้กวาดล้างกลุ่มของพวกเขาไปเกือบหมด แม้ว่าจะเป็นเพราะคนในกลุ่มทั้งหมดกำลังเหนื่อยล้า แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเด็กสาวผู้มีมณี 6 ชุด ครอบครองทั้งทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุปีศาจผู้นี้มีพลังเก่งกล้าจนไม่มีใครสามารถตอบโต้ได้
หลินเทียนอ้าวก้าวไปหยุดยืนข้างๆ โจวเหว่ยชิงอย่างไม่ลังเล แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปล่อยโล่ประสานออกมา แต่มณีสวรรค์ของเขาก็ถูกเรียกออกมาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว รูปแบบการโจมตีของแม่มดน้อยนั้นแปลกประหลาดมาก และเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเป็นลำดับต่อไป หลินเทียนอ้าวไม่เพียงแต่จะเป็นผู้นำของกลุ่มนักรบเฟยหลี่เท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิงด้วย และเขาก็จะต้องปกป้องเจ้านายของตนอย่างสุดกำลังแน่นอน
แม่มดน้อยดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นความตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้นในอากาศ เธอละความสนใจจากท่าทางเตรียมพร้อมที่จะสู้รบของกลุ่มนักรบเฟยหลี่และจดจ่อสายตาไปที่โจวเหว่ยชิงเพียงผู้เดียว ไม่นานเธอก็ยิ้มและถามว่า “เฮ้ เจ้าน่ะคือโจวเหว่ยชิงใช่หรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ ข้าเอง” ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เขาก็สนใจในตัวผู้หญิงคนนี้อยู่บ้าง หรืออาจพูดได้ว่าขอให้เป็นหญิงงาม คนผู้นั้นก็สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้หมดนั่นแหละ แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆต่อเธอมากนัก ไม่เพียงแต่ทักษะธาตุปีศาจในตัวเธอจะบ่งบอกว่าอีกฝ่ายมาจากนิกายปีศาจสวรรค์เท่านั้น แต่เพียงแค่ผู้หญิงคนนี้ทำให้คนในกลุ่มของเขาได้รับบาดเจ็บก็หมายความว่าเขาจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนศัตรูคนหนึ่งแล้ว
แม่มดน้อยยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “ขอพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวแบบสองต่อสองได้ไหม?” ขณะที่พูดอย่างนั้น ใบหน้าของเธอก็เผยให้เห็นสายตาอ้อนวอน หากพวกเขาไม่ทราบเกี่ยวกับพลังที่น่าสะพรึงกลัวของเธอมาก่อน พวกเขาอาจถูกหลอกโดยรูปลักษณ์ที่น่าสงสารของเธอก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ช้ารอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็แข็งค้างด้วยคำพูดของโจวเหว่ยชิง
โจวเหว่ยชิงเบ้ปากแล้วพูดว่า “พูดคุยสองต่อสอง? เพื่ออะไร? จะขอยืมน้ำเชื้อของข้ารึ?”
*พรวด* สี่น้อยหัวเราะออกมาพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้โจวเหว่ยชิงขณะที่เขาคิดกับตัวเองว่า เจ้าเหว่ยชิงไร้ยางอายนี่ช่างกล้าพูดดีจริงๆ แม้ว่าพวกเขาที่เหลือจะไม่ได้มีท่าทีใดๆ แต่การแสดงออกของพวกเขาก็ดูกระอักกระอ่วนขึ้นมาก
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!!?“ กลิ่นอายเย็นยะเยือกปะทุขึ้นในอากาศขณะที่ดวงตาของแม่มดน้อยลุกโชนด้วยความโกรธ แต่จู่ๆสายตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นศีรษะน้อยๆ ของจอมขี้เกียจอย่างเจ้าแมวอ้วนโผล่ออกมาจากอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิงพอดี
เมื่อปะทะเข้ากับดวงตาสีม่วงเข้มของเจ้าแมวอ้วน แม่มดน้อยก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย เธอจึงพูดขึ้นมาเบาๆว่า “อย่าพูดจาเช่นนั้นกับข้าอีก ตกลงไหม? ตั้งแต่เด็กไม่มีใครพูดกับข้าแบบนั้นแม้แต่คนเดียว ข้าก็แค่อยากคุยกับเจ้าเท่านั้น เจ้าเป็นคนที่เทียนเอ๋อร์ปกป้องอยู่ ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงเทียนเอ๋อร์ ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็กระตุกวูบ เขาพลันคิดกับตัวเอง เด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้อาจดูเหมือนเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ แต่บั้นท้ายของนางนั้น…ในแง่ของรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว นางสามารถเอาชนะหมิง ฮัวได้แน่นอน บางทีอาจจะเทียบกับปิงเอ๋อร์ได้ด้วยซ้ำ จากคำพูดของนาง นางอาจมีสถานะสูงส่งในนิกายปีศาจสวรรค์ก็เป็นได้
“เอาล่ะ งั้นเข้ามาพูดกันข้างใน” โจวเหว่ยชิงมองไปที่หลินเทียนอ้าวด้วยสายตามั่นใจและบอกว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ทว่าหลินเทียนอ้าวกลับขมวดคิ้วและไม่ยอมขยับเขยื้อน
โจวเหว่ยชิงตบไหล่ของเขาและพูดว่า “เชื่อข้าเถอะ ข้ากลัวตายยิ่งกว่าใคร และข้าก็ไม่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง หรอก”
จากนั้นหลินเทียนอ้าวก็พยักหน้าตกลง โบกมือและสั่งให้คนที่เหลือกลับไปที่ห้องของพวกเขา ส่วนตัวเองก็กลับไปที่ห้องซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ ห้องของโจวเหว่ยชิง เขารู้ว่าโจวเหว่ยชิงทรงพลังเพียงใดและถึงแม้แม่มดน้อยจะแข็งแกร่งมาก แต่เขาก็มั่นใจว่าเธอจะไม่สามารถฆ่าโจวเหว่ยชิงได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขายังไม่ยอมลดความระมัดระวัง มีเพียงกำแพงชั้นเดียวกั้นระหว่างพวกเขา เขาจึงมั่นใจว่าหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นเขาจะสามารถพุ่งทะลุกำแพงออกไปปกป้องโจวเหว่ยชิงได้ทันเวลา ด้วยสภาพของสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ในตอนนี้ แม้ว่าแม่มดน้อยจะลงมืออีกครั้ง เธอก็ล้มพวกเขาไม่ได้ง่ายๆเหมือนครั้งก่อนแน่
แม่มดน้อยเดินตามโจวเหว่ยชิงเข้าไปในห้องราวกับเดินเข้าบ้านของตนเอง จากนั้นก็เดินตรงไปที่เก้าอี้นวมในห้องทันที
โจวเหว่ยชิงปิดประตูและนั่งลงบนเตียง แม้เขาจะเชื่อว่าแม่มดน้อยจะไม่โจมตีใส่ตนเอง แต่เขาก็ไม่อยากทดลองไปนั่งข้างๆเธอหรอก ก็อย่างที่โบราณเคยกล่าวไว้นั่นแหละ สุภาพบุรุษไม่ยืนใกล้กำแพงถล่ม [1] แน่นอนมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะบรรยายตัวเองว่าเป็นสุภาพบุรุษ
“เอาล่ะ พูดมาสิ ทำไมเจ้าถึงตามหาข้า” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเฉยเมยพลางจ้องมองร่างของแม่มดน้อยอย่างไม่สบอารมณ์
แม่มดน้อยยิ้มและพูดว่า “อันที่จริงเจ้าก็พูดถูก ข้ามาที่นี่เพื่อขอยืมน้ำเชื้อจากเจ้า หากเจ้าตกลง เจ้าสามารถเลือกผู้หญิงจากนิกายปีศาจสวรรค์ของเราได้ทั้งหมดยกเว้นตัวข้าเอง ตราบใดที่เจ้าสามารถทำให้พวกนางท้องได้ แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เข้าร่วมนิกายปีศาจสวรรค์ เจ้าก็จะยังถือว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติของเรา นิกายปีศาจสวรรค์ของเราเต็มไปด้วยหญิงสาวงดงาม นี่น่าจะเป็นข้อตกลงที่ดีสำหรับเจ้านะ”
โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้ม ในแววตาของเขามีแสงชั่วร้ายวาบผ่านขึ้นมา “จะเป็นอย่างไรถ้า…ข้าสนใจเจ้าคนเดียว? ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้เจ้าหยิบยืมน้ำเชื้อจากข้า…เราเริ่มกันตอนนี้เลยดีไหม? มาสิ มาทำเจ้าตัวเล็กกันเถอะ”
เมื่อเขาพูดอย่างนั้น เขาก็พุ่งเข้าหาแม่มดน้อยทันที แต่เธอก็กลับสลายตัวกลายเป็นหมอกควันกลางอากาศ ทำให้เขาล้มลงบนเก้าอี้นวมในขณะที่เธอไปปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าประตู
………………………………………………………
[1] 君子不立于危墙之下 สุภาพบุรุษไม่ยืนใกล้กำแพงถล่ม หมายความว่าเมื่อพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ควรรีบหนีให้เร็วที่สุด