“ไม่ บางทีพวกเรายังมีอีกวิธีหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากใครบางคน”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังรู้สึกหมดหวัง อยู่ๆ หลงเทียนอวี้พลันนึกอะไรขึ้นมาได้
“พระองค์หมายถึง…ใต้เท้าฉิน?”
สมแล้วที่เป็นหลินเมิ้งหยา เพียงประโยคเดียว นางก็ล่วงรู้ความคิดของเขาได้ในทันที
ทว่าใบหนานวลกลับยังแสดงสีหน้าฉงนเล็กน้อย
แน่นอนว่าใต้เท้าฉินเป็นขุนนางสามบัลลังก์ แต่เขาเป็นเพียงขุนนางตำแหน่งเหวินเฉิน อีกทั้งยังมิใช่คนที่จะปฏิบัติงานขัดกับคำสั่งของฮองเฮา ดูเหมือนการขอร้องเขาจะไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
หลงเทียนอวี้อธิบายอย่างไม่รีบร้อน
“ไม่หรอก แม้ใต้เท้าฉินจะเป็นเพียงขุนนางตำแหน่งธรรมดา แต่เจ้าอย่าลืมว่าเขาเคยดูแลงานอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา หากมิใช่เพราะสุขภาพของเขาทรุดลง เขาก็คงไม่สูญเสียตำแหน่งสำคัญนั้นไป แม้ตอนนี้คนที่กุมตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจะเป็นศัตรูของใต้เท้าฉิน แต่เหล่าขุนนางส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนของเขาทั้งสิ้น”
คำพูดของหลงเทียนอวี้ทำให้หลินเมิ้งหยานึกอะไรขึ้นมาได้
ใช่แล้ว ทำไมนางจึงคิดไม่ถึงกันนะ?
อีกอย่างท่านพ่อเองก็กลับมายังเมืองหลวงแล้ว ขอเพียงท่านพ่อกับใต้เท้าฉินร่วมมือกัน ขุนนางทั้งวังหลวงจะต้องเห็นพ้องกับพวกเขาอย่างแน่นอน
คนเหล่านี้มิใช่พวกที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากฮองเฮา แน่นอนว่าพวกเขามีรากฐานที่มั่นคงแล้ว
“แผนการของท่านอ๋องไม่เลวเลยเพคะ หม่อมฉันจะเขียนจดหมาย ไม่สิ หม่อมฉันจะเชิญใต้เท้าฉินด้วยตัวเอง”
หลินเมิ้งหยาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าหลังจากที่นางช่วยชีวิตฉินมั่วแล้ว นางเคยเอ่ยปากเชิญใต้เท้าฉินมาที่จวนเพื่อชี้แนะเรื่องพิธีการกับหลงเทียนอวี้
แต่เพราะช่วงนี้ค่อนข้างยุ่งนางจึงลืมไปเสียสนิท ตอนนี้โอกาสอันดีมาถึงแล้ว
หนึ่งเพื่อให้หลงเทียนอวี้ได้เรียนรู้เรื่องพิธีการวันงานเทศกาลฤดูหนาวมากขึ้น สองเพื่อหาโอกาสเหมาะในการขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าฉินในการส่งนางเข้าวัง
“เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน ตอนที่อยู่ด้านนอก ข้าได้ยินเสียงถอนหายใจของเจ้า ช่วงนี้เจ้าพยายามดูแลรักษาตัวเองก่อนเถิด ตอนนี้ดึกมาแล้ว เจ้ารีบพักผ่อน ข้าเองก็จะกลับตำหนักแล้ว”
ตอนแรกนางคิดว่าหลงเทียนอวี้จะหาทางค้างที่นี่เหมือนเมื่อคราวก่อน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะรีบออกจากห้องของหลินเมิ้งหยาไป
“เพคะ ฝันดีเพคะท่านอ๋อง”
ปกปิดความรู้สึกผิดหวังในหัวใจ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? พวกเขาเป็นสามีภรรยากันแต่เพียงในนามมิใช่หรือ เหตุใดนางจึงต้องรู้สึกผิดหวังด้วย?
ลูบไล้ใบหน้าร้อนผ่าวของตนเอง จะต้องเป็นเพราะความร้อนในห้องนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงเริ่มทำตัวไม่อยู่กับร่องกับรอยเช่นนี้
ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่
หิมะหนาปกคลุมทางเดินเล็กๆ จนหมด
หลังออกจากห้องของหลินเมิ้งหยาแล้ว สีหน้าของหลงเทียนอวี้กลับมาเย็นยะเยือกดังเดิม ไร้ซึ่งความอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนเมื่อครู่
สาวเท้ายาวๆ ออกไป พยายามสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวในใจเอาไว้
เหตุเพราะพละกำลังที่มีค่อนข้างมาก ดังนั้นหิมะที่ถูกเหยียบจึงเกิดเป็นรอยเท้าลึก พ่อบ้านเติ้งและหลินขุยหันหน้าสบตากัน ก่อนจะยิ้มขมขื่น
ดูเหมือนท่านอ๋องจะโมโหจริงๆ
มองดูหิมะสีขาวและท้องฟ้าที่มืดสนิท หัวใจของหลงเทียนอวี้เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
เขายอมรับ เขาไม่อยากให้หลินเมิ้งหยาเข้าร่วมการต่อสู้ในคราวนี้ แต่เมื่อนึกถึงพวกป๋ายหลี่อู่เฉินและเจียงเฉิง ไฟในหัวใจของเขาพลันลุกโชนขึ้นมา
“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงต้องทรงกริ้วขนาดนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ? แม้คุณชายอู๋เฉินจะทำเกินไปสักหน่อย แต่ก็เป็นวิธีการที่ดีมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
อดทนอยู่นาน ในที่สุดหลินขุยก็ส่งเสียงปลอบโยน
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินหวังดีกับข้า?”
หลินขุยกับพ่อบ้านเติ้งต่างหากที่เป็นคนสนิทที่สุดของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองคนออกเสียงไม่เห็นด้วยกับการประชุมเมื่อครู่ แต่เขาไม่รู้ว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินใช้วิธีการใดจึงทำให้คนส่วนใหญ่นอกจากพวกเขาลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นหลงเทียนอวี้จึงโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
“เฮ้อ อันที่จริงกระหม่อมเองก็ไม่เห็นด้วย หลังจากพระชายาเข้ามาอยู่ในจวน พวกกระหม่อมเห็นสิ่งที่พระนางทำทั้งหมด การไปรักษาอาการของฮ่องเต้ไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย แต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์ในตอนนี้ นี่เสมือนโอกาส”
เมื่อครู่วังหลวงส่งข่าวมาว่าอาการของฮ่องเต้ทรุดลงอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ แม้แต่พวกหมอหลวงเองก็จนปัญญา
กระทั่งฝ่ายในเองก็ตระเตรียมโลงศพตามขนบธรรมเนียมประเพณีแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเชื่อว่าเสด็จพ่อที่เคยมีพระวรกายแข็งแรงจะอยู่ๆ ก็ประชวรหนักขึ้นมาฉับพลัน
เดินมาถึงมุมหนึ่งของสวนดอกไม้ในจวน เขานั่งลงบนก้อนหินเย็นชื้น
เมื่อครู่เขาเรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อหาวิธีแก้ไขและเข้าไปสืบข่าวจากวังหลวง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินจะเสนอให้หลินเมิ้งหยาเข้าวังเพื่อรักษาอาการของฮ่องเต้
แม้จะรักษาอาการได้ แม้จะได้รับการชื่นชม แต่วังหลวงเปรียบเสมือนรังของฮองเฮาและไท่จื่อ หมู่เฟยประทับอยู่ที่จวนของเขา นอกจากวันที่หนึ่งและสิบห้าที่ต้องเข้าไปถวายพระพรฮองเฮาแล้ว เขาเองก็ไม่สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ
แม้หลินเมิ้งหยาจะมีไหวพริบและความกล้าหาญ แต่วังหลวงไม่เหมือนที่อื่น ที่นั่นเต็มไปด้วยกับดัก
ยิ่งไปกว่านั้น หลินเมิ้งหยายังเปรียบเสมือนหนามยอกอกของฮองเฮา
การเข้าไปอยู่ในวังหลวงไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินพร้อมกับพวกลูกน้องจะยื่นข้อเสนอนี้ หากเขาปฏิเสธ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขาทำร้ายหัวใจของพวกลูกน้อง ต่อจากนี้ไป พวกเขาคงไม่ยอมทำตามคำสั่งจากเขาอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ป๋ายหลี่อู๋เฉินวางแผนมาอย่างดี เขาเอ่ยว่าจะต้องให้หลินเมิ้งหยาเข้าวังไปด้วยความสมัครใจเท่านั้น แม้แต่เรื่องของใต้เท้าฉินเขาก็เป็นผู้เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา
แค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ ดูเหมือนป๋ายหลี่อู๋เฉินจะลืมไปแล้วว่าหลงเทียนอวี้ต่างหากที่เป็นเจ้านาย
ในเมื่อเขาบังอาจตัดสินใจแทน ยิ่งไปกว่านั้นยังพยายามล้ำเส้นเขา ดูเหมือนจะเก็บเขาเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
“ท่านอ๋องจะกำจัดป๋ายหลี่อู๋เฉินหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
พ่อบ้านเติ้งรู้ใจหลงเทียนอวี้ที่สุด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาอยู่ที่นี่ในฐานะพ่อบ้าน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าแท้ที่จริงเขาเป็นคนที่คอยไปกำจัดศัตรูที่ขวางทางให้กับหลงเทียนอวี้เสมอ
คนที่ตายด้วยน้ำมือของเขามีไม่น้อยกว่าร้อยคน ยิ่งไปกว่านั้นคนส่วนใหญ่ยังมีความสามารถและวิทยายุทธ์ที่ไม่เลว
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา หากข้ากำจัดเขาตอนนี้จะกลายเป็นจุดสนใจเอาได้ เจ้าจงไปบอกเย่ให้เขามองหาคนที่มีพรสวรรค์ ดูเหมือนตำแหน่งของป๋ายหลี่อู๋เฉินจะต้องถูกเปลี่ยนคนแล้ว”
ทุกคนล้วนคิดว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินเปรียบเสมือนมันสมองของกองกำลังนี้
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าความเฉลียวฉลาดของหลงเทียนอวี้สูงกว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินมาก
ที่เขาไม่แสดงออกมาก็เพราะเขาหวังให้ทุกคนมีโอกาสได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่
อย่ามองเพียงผิวเผินและเห็นว่าเขาไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงพึ่งพาป๋ายหลี่อู๋เฉินแต่เพียงเท่านั้น นับตั้งแต่วันที่ป๋ายหลี่อู่เฉินกระทำการลับหลังเขา เขาเองก็วางแผนรับมือเอาไว้แล้ว
ทว่าคราวนี้เขากลับต้องใช้ประโยชน์จากหลินเมิ้งหยาที่มอบความเชื่อใจให้กับเขา
หวังว่านางจะไม่รับรู้ถึงความขมขื่นนี้
หิมะตกหนักตลอดคืน ยากที่หลินเมิ้งหยาจะนอนหลับสนิทอย่างเช่นคืนนี้
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันงานเทศกาลฤดูหนาวแล้ว แต่เพราะนางได้เตรียมตัวล่วงหน้าเอาไว้แล้วหนึ่งเดือน ตอนนี้จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมสิ่งใดมากมายนัก
“นายหญิง ของที่ฝ่ายในส่งมาคราวนี้คือชุดทางการสำหรับใส่ในวันงานพิธีของท่านอ๋องและพระองค์ พระองค์ได้โปรดตรวจสอบดูด้วยเพคะ”
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จก็มีคนวิ่งเข้ามารายงาน
พยักหน้ารับ โชคดีที่นางมียอดฝีมืออย่างป๋ายจี มิเช่นนั้นคงยุ่งยากไม่น้อย
เหตุเพราะนางเป็นสะใภ้คนใหม่ อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ต้องไปไหว้ขอพรในฐานะพระชายา ดังนั้นเสื้อผ้าจึงต้องตัดใหม่ด้วย
ท้องฟ้าสีอ่อนสว่างไสวขับให้ชุดสีแดงดั่งหงส์งดงามน่าเกรงขาม
ใช้มือเปล่าสัมผัสกับเนื้อผ้า บนเนื้อผ้าถูกปักลวดลายอย่างประณีตและงดงาม ฝีมือของคนในวังหลวงไม่ธรรดาเลยแม้แต่น้อย
ทว่านางปรายตามองเพียงเล็กน้อย ก่อนจะสั่งให้คนนำไปมอบให้ป๋ายจี
“นายหญิง ท่านไม่ชอบหรือเจ้าคะ?”
เป็นงานเย็บปักถักร้อยที่งดงามและยากที่จะได้เห็น ป๋ายจื่อกับป๋ายซ่าวจ้องแล้วจ้องอีก
“ชอบ เป็นชุดที่งดงามยิ่งนัก แต่หากสวมชุดนี้หัวของข้าคงขาดสะบั้น ฉะนั้นจึงไม่กล้าใส่”
หลินเมิ้งหยายกยิ้มเล็กน้อย ทว่าคำพูดของนางทำให้สาวใช้ทั้งสองชะงัก
แม้แต่หลินจงอวี้และชิงหูเองก็หันมามองนางอย่างสงสัย ไม่หรอกน่า เสื้อผ้าชุดนี้ดูไม่มีปัญหาอะไรเสียหน่อย
“นายหญิงพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ เป็นไปอย่างที่ท่านเดา หงส์ลายนี้มีถึงเจ็ดสี แต่สีม่วงกลับใช้น้อยมาก เหตุเพราะปักแค่บริเวณดวงตาเท่านั้น อีกทั้งยังปักไม่แน่น นอกจากนี้ดอกไม้ยังมิใช่ดอกแปะเจียก แต่เป็นดอกโบตั๋น”
ป๋ายจีหัวเราะ ก่อนจะไขข้อข้องใจของทุกคน
ตามธรรมเนียมแล้ว มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถสวมใส่ชุดหงส์เจ็ดสีและดอกโบตั๋นได้ เหตุเพราะสัญลักษณ์เหล่านี้เป็นของฮองเฮา ส่วนพระสนมสามารถใส่ชุดลายหงส์หกสี แต่ไม่สามารถประดับดอกโบตั๋นได้
ดังนั้นชายาขององค์ชายจึงสวมใส่ได้เพียงหงส์หกสีและดอกแปะเจียกแต่เพียงเท่านั้น
ฉะนั้นหากนางสวมใส่ชุดนี้ออกไปกลางลานพิธี เกรงว่าจะกลายเป็นการเสียมารยาทอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ายในของวังหลวงเป็นผู้ตัดเย็บเสื้อผ้าของฮองเฮาเอง
หลินเมิ้งหยาพนันได้เลยว่ารูปวาดเครื่องแต่งกายของตำแหน่งชายาจะต้องเป็นเพียงแค่ชุดลายดอกแปะเจียกและหงส์หกสีอย่างแน่นอน
หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือมีคนนำชุดของนางไปกำจัดแล้ว
“สวรรค์โปรด โหดร้ายเหลือเกิน หากใส่ชุดผิดก็จะถูกบั่นคอเลยหรือ?”
ป๋ายจีแลบลิ้นพร้อมทำท่าหดคอ
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า มองดูป๋ายจื่อ ก่อนจะตอบ
“บั่นคอ? ความผิดที่จะได้รับคือประหารทั้งชั่วโคตรต่างหาก”
“ตึง” เสียงดังขึ้น ป๋ายจื่อผู้น่าสงสารถูกหลินเมิ้งหยาทำให้ตกใจจนตกเก้าอี้
สวรรค์โปรด น่ากลัวเหลือเกิน