“เช่น…เช่นนั้นไม่ใส่ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ประหารทั้งชั่วโคตร แม้แต่นางที่ติดตามหลินเมิ้งหยาเองก็ต้องโดนด้วยเช่นเดียวกัน ป๋ายจื่อลูบคอตัวเอง นางยังไม่อยากตาย
“หากไม่ใส่ก็เป็นการทำผิดต่อราชวงศ์ ไม่เคารพกฎ สุดท้ายก็ต้องถูกบั่นคออยู่ดี”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย
“ใส่ก็ตาย ไม่ใส่ก็ตาย ข้าว่าฮองเฮาคงอยากได้สมองของนายหญิงแน่นอนเลยเจ้าค่ะ”
ป๋ายจื่อเบะปาก ส่งเสียงไม่พอใจ ทว่าสีหน้าและแววตากลับแฝงไว้ซึ่งความกังวล
“เช่นนั้น…พวกเรามาทำให้ดีหรือไม่เจ้าคะ?”
ดวงตาของป๋ายจื่อเปล่งประกาย ส่งเสียงเอ่ยถามหลินเมิ้งหยา แต่ยังไม่ทันที่หลินเมิ้งหยาจะตอบ ป๋ายจีกลับหัวเราะขมขื่นพลางส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอก เนื้อผ้าที่ใช้ตัดชุดนี้ล้วนเป็นผ้าที่มาจากเครื่องบรรณาการทั้งสิ้น เจ้าลองดูเส้นด้ายนี่สิ หาใช่ของที่จะหาซื้อได้ทั่วไป ฉะนั้นหากคิดจะเย็บชุดขึ้นมาใหม่ จำต้องเข้าไปเอาเส้นด้ายจากวังหลวง มิเช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์”
คำพูดของป๋ายจีไม่ต่างอะไรจากการประกาศว่าแผนการของพวกนางล้มเหลวไม่เป็นท่า
ป๋ายจื่อถอนหายใจ นางยังคงไม่เข้าใจ เหตุใดคนเหล่านั้นจึงเคียดแค้นนายหญิงนัก?
ใบหน้าของนายหญิงงดงาม เพียงได้เห็นก็รู้สึกสบายหูสบายตา แล้วเหตุใดคนเหล่านั้นจึงต้องคิดร้ายกับนายหญิงด้วย?
“พวกเจ้าจะร้อนรนไปใย เจ้าเด็กน้อยสงบนิ่งถึงเพียงนี้ นางจะต้องมีแผนอย่างแน่นอน เจ้าเด็กน้อยรีบพูดมาเถิดว่าเจ้ามีแผนการเช่นไร พวกนางจะได้สบายใจเสียที”
ชิงหูไม่เชื่อหรอกว่าหลินเมิ้งหยาจะติดกับใครง่ายๆ
คราวนี้ฮองเฮาทำเรื่องต่ำทรามยิ่งนัก แต่คิดหรือว่าเพียงเพราะเสื้อผ้าชุดเดียวจะทำให้หลินเมิ้งหยาถอยหนีไปได้ ถ้าหากฮองเฮาคิดจะกำจัดหลินเมิ้งหยาจริง อย่างน้อยตำแหน่งของนางจะต้องสูงกว่าไท่จื่อหลายเท่า
คราวนี้เป็นการเตือนจากฮองเฮาแต่เพียงเท่านั้น
หากไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ เช่นนั้นชีวิตของหลินเมิ้งหยาก็จบเห่แล้ว แต่ถ้าหากนางแก้ปัญหาได้ เช่นนั้นฮองเฮาจะต้องหาวิธีต่างๆ มาทำลายหลินเมิ้งหยาอย่างแน่นอน
“ข้าจะทำเช่นไรได้? พาพวกเจ้าไปล้างคอให้สะอาดแล้วรอถูกตัดอย่างไรเล่า ข้ามิใช่นางฟ้าหรือเทพเซียน แล้วข้าจะมีพลังลึกลับได้อย่างไร?”
หลินเมิ้งหยาลูบขนเสี่ยวป๋ายและเสือน้อย ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ดังนั้นพวกมันจึงเข้ามาวิ่งเล่นในเรือนของนาง
คนทั้งตำหนักล้วนคุ้นเคยกับพวกมันแล้ว อีกทั้งพวกมันยังเติบโตขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
แต่ถึงกระนั้นพวกมันก็มิใช่หมาแมวปกติทั่วไป หลินเมิ้งหยาวางแผนว่าเมื่อนางเลี้ยงพวกมันจนเติบใหญ่แล้ว นางจะปล่อยพวกมันเข้าป่า
ส่วนตอนนี้นางต้องดึงสัญชาตญาณของพวกมันออกมา
เมื่อได้สัมผัสกับอุ้งเท้าเล็กๆ ของพวกมัน หลินเมิ้งหยารู้สึกวางไม่ลง
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเป็นพวกทาสหมาทาสแมว
“นายหญิงอย่าทำให้พวกข้าตกใจเลยเจ้าค่ะ หากไม่มีทางแก้ไข ท่านคงไม่นิ่งนอนใจเช่นนี้”
เมื่อเทียบกับป๋ายจื่อที่ใกล้จะเสียสติเต็มทีแล้ว ป๋ายซ่าวสงบนิ่งกว่ามาก
สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามา นางไม่เชื่อหรอกว่านายหญิงจะไม่มีวิธีเอาตัวรอด
“ไม่มีทางก็คือไม่มีทาง จริงสิเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ หากข้าถูกบั่นคอจริง เจ้าจะต้องพาพวกนางสี่คนหนีไปด้วยกัน อย่าทำให้ข้านอนตายตาไม่หลับ”
ยิ่งพูด คำพูดของหลินเมิ้งหยาก็ยิ่งทำให้ป๋ายจื่อรู้สึกกระวนกระวาย
สาวใช้ของนางล้วนเป็นคนฉลาดเฉลียว ยกเว้นป๋ายจื่อเพียงผู้เดียวที่ยังถูกนางหลอกเช่นนี้ คนอื่นๆ สงบนิ่งเป็นอย่างมาก
ป๋ายซูมองดูพวกนางแล้วแอบหัวเราะอยู่ที่มุมหนึ่ง โดยไม่เอ่ยอะไรออกมา
หลินเมิ้งหยาแอบส่ายหน้า เด็กคนนี้เริ่มไม่น่ารักแล้ว
แม้เสื้อผ้าชุดนี้จะสร้างปัญหาให้นางอย่างใหญ่หลวง แต่นางก็เป็นเพียงคนธรรมดา
พอมาลองคิดดู ตกลงฮองเฮากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
“ไม่ได้! ในเมื่อข้าจะถูกบั่นคอแล้ว เช่นนั้นข้าจะต้องรีบไปกินขนมของร้านหรูอี้ให้มากขึ้น นายหญิง ตอนเย็นไม่ต้องรอกินข้าวกับข้านะเจ้าคะ ข้าจะไปกินที่ร้านหรูอี้”
พอพูดจบป๋ายจื่อก็รีบพุ่งตัวออกไป ทิ้งไว้เพียงคนที่กำลังหัวเราะครืนทางด้านหลัง
เจ้าเด็กคนนี้กลัวเป็นเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าคิดถึงแต่เรื่องกินเพียงเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น อาหารเย็น? สวรรค์โปรด นี่เพิ่งจะกินอาหารเช้าเสร็จเท่านั้น หลินเมิ้งหยานวดขมับ ดูเหมือนนางจะเปลี่ยนแปลงความตะกละของป๋ายจื่อไม่ได้อย่างแน่นอน
ป๋ายจี ป๋ายซูและป๋ายซ่าวหัวเราะเสร็จจึงออกไปทำเรื่องของตนเอง ดังนั้นภายในห้องจึงเหลือเพียงหลินเมิ้งหยา ชิงหูและหลินจงอวี้
เสือน้อยนอนหลับไปในอ้อมกอดของนางแล้ว ส่วนเสี่ยวป๋ายพิงร่างกับขาของนางแล้วหลับไป
มองดูเจ้าสัตว์เลี้ยงนิสัยไม่ดีทั้งสองซึ่งกำลังแอบอิงบริเวณจุดสำคัญต่างๆ ของร่างกายหลินเมิ้งหยา อยู่ๆ หลินจงอวี้และชิงหูก็รู้สึกอยากตีเจ้าสองตัวนี้ให้ตาย
แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็เพียงแค่คิดเท่านั้น
ใครไม่รู้บ้างว่าหลินเมิ้งหยารักเจ้าสัตว์เลี้ยงสองตัวนี้มาก หากกำจัดพวกมันไป หลินเมิ้งหยาต้องเลาะเนื้อเฉือนหนังพวกเขาอย่างแน่นอน
“พวกเจ้ารู้จักฮองเฮาดีขนาดไหน?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามทั้งสองที่ขจัดความรู้สึกอยากฆ่าแกงสัตว์เลี้ยงออกไปแล้ว
“รู้จักเพียงผิวเผิน รู้เพียงแค่ว่าหลังจากฮองเฮาออกจากบ้านเกิดของตนเอง นางก็กลายเป็นผู้ดูแลความเป็นความตายของสกุลซ่างกวน อีกทั้งยังเป็นคนเฉลียวฉลาดมาก”
หลินจงอวี้ส่งเสียงเรียบ เขาเป็นเพียงคนต่างเมือง ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องของคนในวังหลวงที่นี่ไม่มากนัก
“ได้ยินมาว่าฮองเฮาสกุลซ่างกวนคนนี้กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ แต่เพราะฮองเฮามีแผนการในใจอยู่แล้ว อีกทั้งยังถูกสกุลซ่างกวนบีบบังคับแกมส่งเสริม ดังนั้นนางจึงกลายมาเป็นฮองเฮาอย่างทุกวันนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีข่าวเสียๆ หายๆ ข้าคิดว่าที่นางหาเรื่องเจ้าก็เพราะผั่วผั่วของเจ้าเสียมากกว่า”
ข้อมูลของชิงหูค่อนข้างละเอียด
ทว่าคิ้วของหลินเมิ้งหยากลับขมวดเข้าหากัน
ฮองเฮามีแผนการของตนเองอย่างแน่นอน แต่คำเล่าขานที่ว่านางกับฮ่องเต้รักกันตั้งแต่แรกพบ เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว ฮองเฮาไม่เหมือนคนรักใครเป็นเสียเท่าไร
หรือจะเป็นข่าวที่ผิดพลาด?
“หลังจากพระสนมเต๋อเฟยถวายตัวก็ได้รับความเอ็นดูเป็นอย่างมากจนกระทบกับตำแหน่งของฮองเฮา ดังนั้นหากฮองเฮาคิดจะกำจัดพระสนมเต๋อเฟยก็พอจะเข้าใจได้ ถึงอย่างไร หากต้องอยู่ในตำแหน่งนั้นก็ไม่ควรใจอ่อน เหตุเพราะอาจส่งผลต่อตำแหน่งของตัวเองได้ ข้ายังจำได้ ตอนที่ฮ่องเต้ประชวร พระองค์อยากแต่งตั้งพระสนมเต๋อเฟยให้ขึ้นเป็นฮวงกุ้ยเฟย”
ตอนนั้นหลินเมิ้งหยายังคงเพียงเด็กสาวสติเลอะเลือน
ดังนั้นข่าวสารที่รับรู้จึงเกิดจากการได้ยินบทสนทนาของซ่างกวนฉิงโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่เพราะแม้จิตวิญญาณจะตาย ทว่าร่างกายกลับยังเหมือนเดิม ดังนั้นความทรงจำของนางจึงยังชัดเจน ตอนนั้นอย่าว่าแต่ชัยชนะของกองทัพทางแถบตะวันตกเฉียงเหนือเลย แม้แต่ข้าวปลาอาหารทางภาคใต้เองก็อุดมสมบูรณ์
อีกทั้งสกุลเจียงยังสร้างความดีความชอบอย่างมากมาย ดังนั้นฮ่องเต้จึงอย่างแต่งตั้งตำแหน่งฮวงกุ้ยเฟยขึ้นมา
ฮวงกุ้ยเฟยเป็นรองเพียงฮองเฮาตำแหน่งเดียวเท่านั้น อีกอย่าง ฮวงกุ้ยเฟยมีอำนาจในการดูแลวังหลัง
ทว่าฮ่องเต้กลับมาล้มป่วยติดเตียง ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกระงับไป
ตกลงเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่?
“แต่ข้าได้ยินมาว่าพระราชโองการแต่งตั้งฮวงกุ้ยเฟยเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะประชวร”
ตอนนั้นชิงหูรู้เรื่องนี้ดีกว่านาง เรื่องทั้งสองนี้ดูเป็นเรื่องบังเอิญ หากพระสนมเต๋อเฟยถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นฮวงกุ้ยเฟย เช่นนั้นอำนาจของนางก็สั่นสะเทือนไปถึงอำนาจของฮองเฮา
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ฮองเฮาเป็นคนใจกล้าขนาดไหน นางก็คงไม่อาจหาญถึงขั้นวางยาฮ่องเต้หรอกกระมัง?
หรือนางจะคิดมากไป?
“จริงสิ อีกไม่นานข้าอาจจะต้องเข้าไปอยู่ในวัง หากข้าเข้าไปอยู่ในวังหลวง ข้าคงพาไปได้เพียงป๋ายซูคนเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีกสามคน พวกเจ้าต้องช่วยข้าดูแลพวกนางให้ดี เข้าใจหรือไม่?”
“อะไรนะ? เข้าวัง?”
น้อยครั้งนักที่หลินจงอวี้และชิงหูจะประสานเสียงกัน
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ก่อนจะเล่าเรื่องที่ต้องเข้าวังเพื่อรักษาอาการของฮ่องเต้ให้ทั้งสองฟัง
“ไม่ได้ ข้าไม่ยอม พี่สาว ท่านเสียสติไปแล้วหรือ? ยังไม่ทันที่ท่านจะเข้าวัง ผู้หญิงคนนั้นก็คิดจะฆ่าท่านให้ตายแล้ว หากท่านเข้าไปแล้วจะต่างอะไรจากการเดินเข้าถ้ำเสือ?”
หลินจงอวี้ผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาคู่สวยกระวนกระวาย
“เจ้าเด็กโง่ คิดหรือว่าพี่สาวเจ้าอยู่ที่นี่แล้วจะมีชีวิตอย่างสงบสุข? อีกอย่าง ข้าเพียงแค่ไปดูอาการเท่านั้น หากข้าไม่อาจรักษาอาการของฮ่องเต้ได้ ข้าก็จะกลับมา แต่ถ้าหากข้าสามารถรักษาได้ เช่นนั้นข้าจะกลายเป็นวีรสตรีแห่งต้าจิ้น เจ้าคิดหรือว่าฮองเฮาจะคิดทำร้ายข้า?”
จับมือหลินจงอวี้เพื่อให้เขานั่งลงข้างกายตนเอง หลินเมิ้งหยาปลอบเสียงอ่อนโยน
หนุ่มน้อยตรงหน้ามีใบหน้างดงามดั่งหยก ทุกส่วนของใบหน้างดงามราวกับภาพวาด
ทว่าคิ้วของเขากลับขมวดเข้าหากันแน่น นิ้วมือเรียวยาวประสานเข้าหากัน ดูเถิด นางรู้อยู่แล้วว่าหากพูดเรื่องนี้ออกมา ทุกคนจะต้องไม่ยินยอม
“เจ้าเด็กน้อย ข้าเองก็ไม่ยินยอมให้เจ้าต้องเข้าไปเสี่ยงอันตราย อย่าลืมว่าวังหลวงเป็นสถานที่เช่นไร หากเจ้าเข้าไปแล้วตกอยู่ในอันตราย ข้ากับเสี่ยวอวี้มิอาจเข้าไปช่วยเจ้าได้ทัน คราวก่อนๆ เจ้าอาจจะโชคดี แต่คราวหน้าอาจจะไม่ ฟังข้าสักครั้งเถิด หลงเทียนอวี้ไม่มีค่าพอหรอก”
ดวงตาเรียวยาวของชิงหูเปี่ยมไปด้วยความกังวล
อย่ามองเขาเป็นเพียงจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ชอบหัวเราะขบขันไร้สาระเชียว เหตุเพราะเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เขาคือคนแรกที่เป็นห่วงหลินเมิ้งหยาที่สุด
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งหักห้ามข้าเลย อันที่จริงเรื่องนี้ก็ยังไม่แน่ชัดนัก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ไม่คิดอยากเข้าไปอยู่ในวังหลวง ทั้งหมดนี้แล้วแต่สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดเถิด”