แม้ใต้เท้าฉินจะมีภาพลักษณ์ที่ดีในความทรงจำของนาง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงขุนนางสามรัชสมัย ดังนั้นเขาย่อมพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างอย่างรอบคอบ ส่วนนางจะสามารถพูดกล่อมเขาได้หรือไม่นั้น แม้แต่นางเองก็มิอาจรู้ได้
“เจ้าเด็กน้อย ที่เจ้ามุ่งมั่นจะเข้าวังหลวงเช่นนี้เพราะมีเหตุผลอะไรใช่หรือไม่?”
ชิงหูนิ่งไป ก่อนจะเดาเหตุผลที่ต้องเข้าวัง
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้า แพทย์แผนจีนเป็นเรื่องลึกซึ้ง หากนางรักษาผิด เกรงว่าจะส่งผลร้ายต่อคนทั้งตระกูล
“เจ้าจะเข้าวังมิใช่หรือ เจ้าเด็กน้อย เจ้าอย่าลืมว่าที่นั่นมีแต่เสือและจระเข้”
เหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าหลินเมิ้งหยาร้องขอสิ่งใด ชิงหูมักจะช่วยเหลือนางอย่างอ่อนโยนเสมอ
“บ้าไปแล้ว พวกเจ้าเสียสติไปแล้วหรือ? ที่นั่นคือวังหลวง หาใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะเข้าไปได้ พี่สาวไปก็เท่ากับกำลังเดินเข้าสู่ความตาย”
หลินจงอวี้แทบสิ้นสติ คนที่คอยหนุนหลังเขาเตือนเขาหลายครั้งแล้วว่าอย่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับราชวงศ์ของต้าจิ้น
แต่พี่สาวกลับมุ่งมั่นที่จะเข้าไปในนั้น นี่มันไม่ต่างอะไรจากการโดนก้อนหินฟาดหน้าเลยแม้แต่น้อย
“มีอะไรน่ากลัวกันเล่า? ก็แค่หญิงแก่ๆ คนหนึ่งมิใช่หรือ? ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเข้าไปอยู่ในวังเสียเมื่อไร”
ชิงหูเอ่ยออกมาด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ ใช่ว่าอำนาจทั้งหมดในวังจะตกอยู่ในกำมือของผู้หญิงคนนั้นเพียงผู้เดียว
แม้ฮ่องเต้จะป่วยหนัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงประทับอยู่ในวังหลวง ขอเพียงหลินเมิ้งหยาระวังตัว นางจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน
อีกอย่าง ช่วงเวลาสงบสุขมีมากเกินไปแล้ว เขารู้จักหลินเมิ้งหยาดี เด็กคนนี้ชอบชีวิตที่โลดโผนเหมือนกันกับเขา
“เอาล่ะ พวกเราอย่าเพิ่งคุยกันเรื่องนี้เลย ตอนบ่ายข้าจะออกไปข้างนอกหน่อย เสี่ยวอวี้ เจ้าไปกับข้า”
ป๋ายจีเตรียมของขวัญเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แม้จะไม่ใช่ของมีราคา แต่ถึงกระนั้นก็เป็นของขวัญแสดงความจริงใจที่เหมาะสมกับสกุลฉิน พวกเขามองของล้ำค่าและเงินทองเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย หากนางมอบของขวัญมีราคาให้ คาดว่าพวกเขาคงไม่รับอย่างแน่นอน
“ขอรับ ข้าขอไปเตรียมตัวก่อน”
หลินจงอวี้กลับออกไปด้วยความกังวล ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะกล่อมให้พี่สาวล้มเลิกความคิดเข้าวังหลวงให้ได้
หลังจากหลินเมิ้งหยาป่วยหนักคราวก่อน ไม่รู้ว่าชิงหูกับหลินจงอวี้มีสิ่งใดดลใจ พวกเขามักหาวิธีการและของขวัญมาให้นางเพื่อสร้างความประหลาดใจเสมอ
เสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวตัวใหญ่ถูกคลุมลงบนร่างของหลินเมิ้งหยา
ด้านหลังมีป๋ายจีและป๋ายซูคอยติดตาม หลินจงอวี้เองก็สวมใส่เสื้อคลุมขนสัตว์ด้วยเช่นเดียวกัน
ภายในรถม้าเตรียมเตาอุ่นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นรถม้าที่ถูกคลุมเป็นอย่างดีจึงอบอุ่นยิ่ง
ภายในประดับตกแต่งไว้ด้วยผ้าขนสัตว์ แม้หลินเมิ้งหยาจะรู้สึกสิ้นเปลือง แต่เพราะชิงหูและหลินจงอวี้เอ่ยโน้มน้าว สุดท้ายนางจึงต้องยอมอย่างช่วยไม่ได้
เหตุเพราะหลินเมิ้งหยาได้รับบาดเจ็บที่หัวใจ หมอกำชับว่านางจะต้องระมัดระวังอากาศหนาว
หากมิใช่เพราะนางมักจะซ่อนตัวอยู่ในห้องเพื่ออ่านหนังสือแล้วล่ะก็ เกรงว่าทั้งตำหนักหลิวซินจะต้องถูกชิงหูและหลินจงอวี้ตกแต่งด้วยขนสัตว์อย่างแน่นอน
“พวกเจ้านี่หนา ไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นก็ได้ ข้าเป็นหมอ ฉะนั้นข้ารู้จักร่างกายของตนเองดี”
จะว่าไปก็แปลก ร่างกายของนางมีพิษประหลาด เมื่อพิษส่วนหนึ่งถูกถอนออก ยาเหล่านั้นจะกลายเป็นยาบำรุงร่างกายชั้นดีของนางทันที
ดังนั้นอาการเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะของนางจึงหายไป
“ไม่ได้ หัวใจได้รับความเสียหายมิใช่เรื่องเล็ก ข้าสั่งให้คนหายาชั้นดีมาแล้ว อีกไม่กี่วันจะส่งไปที่ห้องเก็บของเล็กของพี่สาว พี่ป๋ายจีช่วยบังคับให้พี่สาวกินทุกวันด้วยนะ”
ขณะที่พูด หลินจงอวี้หยิบกล่องที่วางอยู่ข้างเตาอุ่นออกมาแล้วเปิดออก จากนั้นหยิบองุ่นอุณหภูมิอุ่นๆ ส่งให้หลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ ทว่ากลับรู้สึกซึ้งใจเหลือเกิน
นางมิใช่คนยากคนจน ดังนั้นนางจึงต้องใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้หรือ?
แม้แต่กล่องที่ใส่ผลไม้ยังทำขึ้นมาจากทอง หลินเมิ้งหยากลัวจะมีคนรู้เข้าแล้วขโมยมันไปเหลือเกิน
“จริงสิ หลังจากเยี่ยมเยียนท่านลุงฉินเสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปที่บ้านสกุลหลิน คราวก่อนข้าบอกกับเจ้าแล้วว่าข้าจะให้ท่านพ่อรับเจ้าเป็นลูกบุญธรรม พอมาคิดดูแล้ว เรื่องนี้อาจจะกะทันหันเกินไป เช่นนั้นข้าขอให้ท่านพ่อสอบถามพี่ป้าน้าอาที่ไม่มีลูกแล้วรับเจ้าไปเป็นบุตรบุญธรรมจะดีกว่าหรือไม่?”
ฐานะที่แท้จริงของหลินจงอวี้จะต้องถูกเปิดเผยในอีกไม่นานนี้อย่างแน่นอน
ท่านพ่อเป็นแม่ทัพแห่งเมืองจิ้น ทั้งสองประเทศล้วนเป็นศัตรูกัน หากมีคนรู้เรื่องนี้เข้าอาจจะส่งผลไม่ดีกับท่านพ่อได้
หากมีคนใส่ร้ายว่าท่านพ่อหักหลังบ้านเมืองคงไม่ดีแน่
“แล้วแต่พี่สาวเถิด”
ร่องรอยของความดีใจปรากฏขึ้นในหัวใจของหลินจงอวี้ หากเขาได้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางจริง เช่นนั้นเป้าหมายของคนกลุ่มนั้นก็ไม่มีทางสำเร็จ
แสงแดดสาดส่องเข้ามาภายใน ใบหน้าด้านข้างของหลินเมิ้งหยายิ่งอ่อนโยนงดงาม
เมื่อได้เห็นความงดงามเบื้องหน้า หลินจงอวี้ลืมเลือนเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างประเทศไปชั่วคราว
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขา…ไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีกับพี่สาว
ไม่นานก็เดินทางมาถึงจวนฉิน หลินเมิ้งหยานำบัตรเชิญไปยื่น ไม่นานพวกนางก็ได้รับเชิญมามาที่ห้องรับแขก
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาเจือจางลงเล็กน้อยเมื่ออยู่ในฤดูหนาว
ระหว่างทางเดิน การตกแต่งบ้านของสกุลฉินล้วนเป็นธรรมชาติ
แม้จะต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก แต่กลับส่งผลให้รู้สึกเพลิดเพลินใจ
ดูเหมือนสกุลฉินจะเป็นสกุลที่มีแต่ความสงบสุข เมื่อเทียบกับจวนอวี้และสกุลหลินที่มักมีพายุพัดผ่านเข้ามาไม่หยุดหย่อนแล้ว สกุลฉินเป็นเหมือนสกุลของชนชั้นสูงอย่างแท้จริง
“ด้วยสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยหิมะหนาวเหน็บเช่นนี้ เหตุใดพระชายาต้องลำบากเดินทางมาด้วยตนเองด้วยพ่ะย่ะค่ะ หากดูจากความสัมพันธ์ของพวกเราสองตระกูลแล้ว เพียงแค่ส่งคนมาแจ้งข่าวก็ได้”
อันที่จริง หลินเมิ้งหยาควรจะนั่งลงบนที่นั่ง
แต่เพราะนางเคารพเขาในฐานะผู้อาวุโส ดังนั้นนางจึงนั่งลงบนตำแหน่งที่ต่ำกว่า จึงทำให้ใต้เท้าฉินรู้สึกดีมาก
รู้จักรักษามารยาทและอ่อนน้อมถ่อมตน นี่คือสิ่งที่พระชายาควรมี
“ท่านลุงฉินอย่าเอ่ยเช่นนั้นเลย อันที่จริงข้าควรมาเยี่ยมเยียนท่านตั้งนานแล้ว แต่เพราะงานในจวนมีค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงมาช้าไปสักหน่อย บังเอิญเมื่อคืนมีหิมะตกมากมาย ข้าที่นั่งอยู่ในรถม้าได้มองเห็นเส้นทางที่มีแต่หิมะยังรู้สึกตื่นตะลึงไม่ได้
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้ม ท่าทางว่านอนสอนง่าย
นางรู้ดี ใต้เท้าฉินเป็นขุนนางเก่า แน่นอนว่าเขาย่อมมีความหยิ่งทะนงตน
ดังนั้นนางจึงมิได้มาในฐานะชายาอวี้ แต่กลับมาในฐานะลูกสาวของสหายเก่าเท่านั้น
“ท่านลุงฉิน ที่หลานมาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องขอร้องเจ้าค่ะ”
ทายาทของสกุลฉินมีมากมาย แต่ใต้เท้าฉินมีเพียงลูกชายสามคนเท่านั้น ดังนั้น เมื่อถูกคำพูดอ่อนหวานของหลินเมิ้งหยาหว่านล้อม เขาจึงรู้สึกใจอ่อน
“ชายาอวี้อย่ามากพิธีเลย รับสั่งมาเถิด”
หลินเมิ้งหยาแย้มยิ้มเล็กน้อย สีหน้าผ่อนคลาย
“อีกไม่กี่วันจะถึงวันงานเทศกาลฤดูหนาวแล้ว ท่านเองก็รู้ว่าทุกปีจะต้องไปไหว้พระขอพรที่วัด แต่เพราะปีนี้ฮ่องเต้ยังประชวร ดังนั้นไท่จื่อกับท่านอ๋องจะต้องไปแทน แม้ข้าจะแต่งงานเข้ามาอยู่ในราชวงศ์แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไร้ประสบการณ์ใดๆ หากข้าทำอะไรมิเหมาะมิควร ข้าอยากขอให้ฝ่ายพิธีการได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาด้วยความจริงใจ ยิ่งไปกว่านั้น ใต้เท้าฉินเคยได้รับคำเชิญจากหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้
“พระชายารับสั่งถูกแล้ว พวกเราต้องระมัดระวังพิธีการเหล่านั้นให้มาก พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมพระองค์ที่จวน หวังว่าพระชายาจะไม่รำคาญใจ”
อันที่จริงขุนนางเก่าอย่างใต้เท้าฉินควรจะเป็นไท่จื่อที่มาเชื้อเชิญ
แต่ไท่จื่อไม่ชอบใต้เท้าฉิน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสทองของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้ฉลาดหลักแหลมกว่าไท่จื่อมาก การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับใต้เท้าฉินจะทำให้สามารถกุมหัวใจของเหล่าขุนนางได้ไม่น้อย
เรื่องนี้ต้องขอบคุณไท่จื่อแล้วที่มีตาแต่หามีแววไม่
“ข้าต้องขอบคุณท่านลุงฉินมาก เช่นนั้นหลานขอตัวกลับก่อน ตอนนี้ท่านพ่อกลับมาแล้ว หลานเองต้องแสดงความกตัญญูรู้คุณให้มาก ท่านลุงฉินดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ”
แม้ใต้เท้าฉินจะรู้จุดประสงค์ของนาง แต่ถึงกระนั้นก็มิคิดหักหาญน้ำใจ ซ้ำยังเดินมาส่งนางถึงหน้าประตูจวน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเขาชื่นชมหลินเมิ้งหยายิ่งนัก
พวกเขาทั้งหมดพากันเดินทางไปยังจวนเจิ้นหนานโหว ยังไม่ทันจะผ่านประตูเข้าไป หลินเมิ้งหยาก็ได้เห็นประตูที่เคยปิดสนิทมีคนเดินผ่านเข้าออกเป็นจำนวนมาก
“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว…”
ผู้รักษาประตูไม่เพิกเฉยต่อนางอีกต่อไป ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปจนหมด หลินเมิ้งหยาอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
“ดูเจ้าสิ หิมะตกหนักขนาดนี้แท้ๆ แต่ยังลำบากกลับมา”
เมื่อได้ยินว่าน้องสาวกลับมาที่จวน หลินหนานเซิงรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ
แต่กลับได้เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ริมฝีปากแดงระเรื่อกำลังประคองร่างของน้องสาวตนเองลงจากรถม้า
เมื่อได้เห็นรถม้าที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ในใจอดที่จะชื่นชมน้องเขยของตนเองไม่ได้
“ก็ข้าคิดถึงท่านกับท่านพ่อนี่นา จริงสิ คนพวกนี้มาทำอะไรอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”
หลินหนานเซิงมองดูน้องสาวผู้เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจ ก่อนจะหัวเราะ
“คนพวกนี้ล้วนเป็นคนรับใช้ของสกุลอื่นที่นำของขวัญมามอบให้ เจ้าอย่าลืมสิว่าหลังจากวันเทศกาลฤดูหนาวก็เป็นวันเกิดของท่านพ่อแล้ว”
หลินเมิ้งหยาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าใกล้จะถึงวันเกิดของท่านพ่อแล้ว
จริงด้วยสิ ช่วงนี้นางแทบจะเป็นโรคความจำเสื่อมอยู่แล้ว เหตุใดจึงลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้
หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หลินเมิ้งหยาเดินตามหลินหนานเซิงไปยังห้องที่มีอุณหภูมิอุ่นๆ เมื่อก่อนหลินเมิ้งหยาชอบมาเล่นที่นี่เมื่อถึงช่วงฤดูหนาว
เมื่อเห็นสิ่งของอันคุ้นตา หลินเมิ้งหยารู้สึกอบอุ่น
หลังจากซ่างกวนฉิงเข้ามาอยู่ในจวน นางมักทำร้ายหลินเมิ้งหยาเสมอ ทุกฤดูหนาว นางมักจะมอบถ่านคุณภาพต่ำมาให้นางจุด ทั้งที่ไม่อาจแก้หนาวได้เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นนางจึงมักซ่อนตัวอยู่ในห้องแห่งนี้แล้วร้องไห้เพื่อรอท่านพ่อและท่านพี่กลับมา
ทว่าตอนนี้นางเป็นถึงชายาอวี้ผู้สูงศักดิ์แล้ว หากเล่าเรื่องเหล่านี้ออกไปจะมีใครเชื่อกัน
ทันทีที่นั่งลง เหล่าข้ารับใช้ต่างนำชาและผลไม้มาให้ รสชาติหวานหอม ทุกอย่างล้วนเป็นของโปรดของหลินเมิ้งหยา
นางหยิบขนมขึ้นชิม ก่อนที่จะพบว่าตั้งแต่นางเดินเข้าจวน กระทั่งตอนนี้ นางยังไม่เห็นซ่างกวนฉิงกับหลินเมิ้งหวู่
ปกติพวกนางมักจะเข้ามานั่งแสดงตัวเป็นเจ้าของบ้านเสมอ แต่เหตุใดวันนี้จึงหายไปได้เล่า?