ตอนที่ 219 อาจารย์

แม่ครัวยอดเซียน

“ฮ่าฮ่า ข้าได้ข่าวเรื่องลูกหลานผู้ถูกเลือกคนนั้นของข้าแล้ว ‘ตำหนักเวิ่นเทียน’ ชื่อช่างน่าเกรงขาม สมแล้วที่เป็นลูกหลานของสกุลหลง ไม่ธรรมดาจริงๆ” เมื่อหลงเฟยหยางได้ข่าวของหลิวหลี คิดไม่ถึงเลยว่าพอบรรลุเซียน พลังบำเพ็ญเพียรของนางก็อยู่ในขั้นเซียนสุขาวดีเลย แถมตอนนี้นางยังเป็นเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนแห่งวังนภาเพลิง และยังเป็นนักปรุงยา ทายาทของเขาผู้นี้เก่งกาจเสียจริงๆ

“อาเฟิง ไปดินแดนนภาเพลิงกับข้า” หลงเฟยหยางอยากจะเจอเด็กคนนี้จนอดใจไม่ไหว

ส่วนฟากหนานกงเฉินก็รู้สึกภาคภูมิใจพร้อมกับตื่นเต้นน้อยๆเมื่อ ได้รับคำตอบจากจักรพรรดินี

“อาซาน ลูกหลานของข้าคนนั้นมีช่างเก่งกาจจริงๆ ทันทีที่บรรลุเป็นเซียนก็อยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภาแถมยังเป็นเจ้าตำหนักหลิวหลีในวังนภาธาราอีกด้วย ดูก็รู้เลยว่าเด็กคนนี้เป็นทายาทสกุลหนานกง ศรัทธาในความรัก ไม่พบคนรักก็ยังตั้งชื่อตำหนักเป็นชื่อนางแถมองค์จักรพรรดินียังทรงอธิบายกับข้าด้วยว่า เจ้าหนูนี่หวังว่าจะมีจิตใจที่บริสุทธิ์ โถ คงเป็นเพราะคิดถึงภรรยาแน่ๆ” หนานกงเฉินดีใจจนทำอะไรไม่ถูก คนรุ่นหลังช่างโดดเด่นเหลือเกิน โดดเด่นเหลือเกิน

“จริงด้วย อาเฉินเจ้าคิดจะทำอะไร?” เฟิ่งซานเอ่ยถามขณะมองหนานกงเฉินที่กำลังตื่นเต้น

“ย่อมต้องไปที่วังนภาธาราอยู่แล้ว ข้าอยากจะเจอลูกหลานที่มีความสามารถของข้าคนนี้ อาซาน เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่”หนานกงเฉินออกปากเชิญเฟิ่งซาน

“ก็ดีเหมือนกัน” เขาเองก็อยากเห็นหนานกงเวิ่นเทียนที่เด็กพวกนั้นเยินยอว่าเก่งกาจนักหนา และแน่นอนว่าที่อยากเห็นมากกว่าก็คือฮูหยินของเขา จากที่เจ้าเด็กพวกนั้นพูดกัน หลงหลิวหลีเป็นคนที่มีวาสนาเหนือคนทั่วไป และยังมีจิตใจเมตตา นางมีสายสัมพันธ์อันดีกับทุกดินแดน และสุดท้ายแล้วนางยังแยกมิติของตนเองออกเป็นห้าส่วนเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ ถือเป็นการสร้างกุศลครั้งยิ่งใหญ่ แต่นางเป็นคนมีคุณธรรม ไม่เก็บความดีความชอบไว้คนเดียว แถมยังแบ่งบารมีในส่วนนี้ให้กับห้าสกุลใหญ่ด้วย ช่างเป็นเด็กที่มีจิตใจเมตตาจริงๆ

ณ ตำหนักเวิ่นเทียนในวังนภาเพลิง หลิวหลียังไม่รู้ตัวเลยว่าบรรพชนของตนกำลังจะมาพบ วันนี้นางได้รับเทียบเชิญจากเซียนหว่านฉิง นางจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ และเชื้อเชิญเจ้าตำหนักทุกคนไปร่วมงาน หลิวหลีคิดว่านางไม่ควรทำตัวแปลกแยกจึงตัดสินใจไปร่วมงานเลี้ยง และได้นำยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองปรุงขึ้นไปเป็นของขวัญ แต่ระหว่างทางอยู่ๆก็เดินมาโผล่ที่หอเมฆาคล้อย

“เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ดีๆจะเดินมาถึงที่นี่ได้โดยไร้สาเหตุ” หลิวหลีพึมพำกับตัวเอง

“นายท่านไม่ไปที่ตำหนักเฟยอวิ๋นหรือเจ้าคะ” ชิงหลิ่วกล่าว

“ไปสิ แต่รู้สึกว่าที่นี่น่าจะมีอะไรบางอย่าง เข้าไปดูหน่อย ไม่เสียเวลาหรอก” หลิวหลีต้องการเข้าไปดูคงไม่เสียเวลาเท่าไหร่นัก

“นายท่านต้องการจะเลือกทหารสวรรค์อีกหรือเจ้าคะ ตอนนี้ยังเหลือป้ายบัญชาการอีก 3 ป้ายที่ยังไม่ได้มอบให้ใคร ทั้งสามป้ายนี้เก็บไว้เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน หากนายท่านเห็นว่ามีคนที่เหมาะสม ก็นำไปมอบให้เขาก็ได้” ชิงหลิ่วกล่าว

“มันก็จริง” หลิวหลีนึกไม่ถึงว่าขุนนางเซียนทั้งสามของนางจะมีความคิดเช่นนี้ นางเข้าใจมาตลอดว่าตำหนักเวิ่นเทียนของนางมีสมาชิกครบแล้ว

เมื่อเดินไปถึงมุมหนึ่งก็เหลือบเห็นคนกำลังนั่งเงียบๆ แปลกแยกจากคนรอบข้าง

หลิวหลียังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีคนเดินเข้าไป

“เจียงหรูชวน เจ้ากำลังคิดเรื่องลูกศิษย์คนนั้นของเจ้าอยู่อีกหรือ?” มีคนเอ่ยถาม

“นั่นสิ ศิษย์คนนั้นของข้าบรรลุเป็นเซียนเร็วกว่าข้าถึง 400 ปี” เจียงหรูชวนกล่าว เขาไม่กล้าพูดต่อ จะพูดอย่างไรดีนะ หลังจากที่เขาบรรลุเป็นเซียนแล้ว เขาก็เป็นเพียงแค่เซียนธรรมดา แต่ศิษย์ของเขาไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็มีรัศมีส่องเรืองรอง แถมตอนนี้ยังเป็นเจ้าตำหนักของตำหนักเวิ่นเทียน พูดไปคงจะต้องหัวเราะเยาะแน่ อีกอย่างเมื่อมาถึงที่นี่ก็ไม่มีสถานที่ให้เขาได้แสดงฝีมือในการปรุงยาของเขา เซียนนักปรุงยาก็คงจะไม่รับเซียนธรรมดาอย่างเขาเป็นศิษย์

“ศิษย์น้อง เจ้าจะต้องเจอแน่” นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้กับเจียงหรูชวนจะมีความสัมพันธ์แบบศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน

“ศิษย์พี่พูดได้ถูกต้องยิ่งนัก” เจียงหรูชวนยิ้มอมทุกข์อยู่ในใจ ศิษย์ของเขาโดดเด่นเกินไป เขาอายที่จะต้องไปหาศิษย์ของตัวเอง

“ใช่อาจารย์เสวียนหั่วหรือไม่”

เจียงหรูชวนกับคนอีกสองคนที่เดินเข้ามา ก็เหลือบเห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้หนึ่งที่ยืนตรงนั้นไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว ข้างหลังมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงในชุดงดงามอีกคน

แต่กลับไม่อาจละสายตาได้ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงด้านหน้ามีสถานะไม่ธรรมดา ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ข้างหลังน่าจะเป็นขุนนางเซียนของนาง

“หลิวหลี นังหนู” เจียงหรูชวนก็คือเสวียนหั่ว เขานึกไม่ถึงว่าจะได้เจอศิษย์ตนเอง

“อาจารย์ทำเกินไปแล้ว บรรลุเป็นเซียนแล้วก็ไม่มาหาข้า ข้ารู้สึกว่าชื่อของข้าน่าจะไม่เดาได้ไม่ยากหรอกนะเจ้าคะ” นานๆทีหลิวหลีจะเลิกทำใบหน้าเย็นชา และเผยร่องรอยเจ้าเล่ห์บนใบหน้านาง

“ข้าคิดว่า หากข้าไปที่ตำหนักเวิ่นเทียน แล้วบอกว่าข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าตำหนักล่ะก็ ข้าคงจะถูกไม้ไล่ตีออกมาแน่” เจียงหรูชวนพูดติดตลก

ชิงหลิ่วที่อยู่ข้างๆพยักหน้า ใช่สิ คุณสมบัติของนายท่านโดดเด่นขนาดนี้ จะมีอาจารย์เป็นแค่เซียนธรรมดาได้อย่างไร ไม่ว่าจะคิดแบบไหน นางก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ซึ่งไม่แน่ว่านางอาจจะไล่ตะเพิดอีกฝ่ายจริงๆ

“อาจารย์รังเกียจตำหนักเวิ่นเทียนของข้าหรือไม่ ไปตำหนักเวิ่นเทียนของศิษย์ดีไหมเจ้าคะ?” หลิวหลีดีใจอย่างยิ่งเมื่อเจอเสวียนหั่ว

“อาจารย์เป็นเพียงแค่เซียนธรรมดา อย่าเลย จริงสิ ทั้งสองคนนี้คืออาจารย์ลุงของเจ้า จี้เผิงเฟยกับซ่งอิงซิง” เจียงหรูชวนแนะนำ

“อาจารย์ลุงจี้ อาจารย์ลุงซ่ง”

“คารวะ นายท่าน” จี้เผิงเฟยกับซ่งอิงซิงนึกไม่ถึงว่าศิษย์ของศิษย์น้องจะเป็นเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน มิน่าล่ะตั้งแต่ที่ศิษย์น้องของเขาได้ยินว่า มีเจ้าตำหนักผู้ถูกเลือกบรรลุเป็นเซียนก่อนเขา 400 ปี ก็ทั้งรู้สึกภาคภูมิใจทั้งยังชื่นชม แต่ก็เหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก ตอนศิษย์น้องอยู่โลกเบื้องล่างช่างมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก

“เรียกข้าว่าหลิวหลีก็พอ พวกท่านล้วนเป็นศิษย์พี่ของอาจารย์ข้า” หลิวหลีรู้สึกว่าการเรียกนายท่านดูห่างเหินเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นนางถือเป็นผู้น้อย เรียกแค่ชื่อนางก็เพียงพอแล้ว

“นายท่าน ได้เวลาไปร่วมงานเลี้ยงแล้วนะเจ้าคะ” ชิงหลิ่วพูดเตือนเบาๆ นายท่านกำลังจะสายแล้ว

“ชิงหลิ่ว ส่งของไปให้พวกเขา แล้วบอกหว่านฉิงว่าข้าเจอเรื่องน่ายินดี หากพวกเขาถามรายละเอียดก็ให้บอกไปตามตรงไม่เป็นอะไร อ้อจริงสิ เอาป้ายบัญชาการที่เหลือออกมา” หลิวหลีดีใจ การไปร่วมงานเลี้ยงจะเทียบกับอาจารย์ได้อย่างไร นางไม่สนิทกับคนพวกนั้นสักหน่อย หลิวหลีเปลี่ยนใจทันที

“อาจารย์ อาจารย์ลุง ไปที่ตำหนักเวิ่นเทียนของข้าดีไหม ที่นี่ไม่ค่อยเหมาะกับการพูดคุยเท่าไหร่นัก” หลิวหลีมองสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของคนรอบข้าง โดยเฉพาะตอนที่ชิงหลิ่วเรียกนายท่านสายตาของคนพวกนั้นก็ยิ่งจับจ้องมามากยิ่งขึ้น

“ก็ดีเหมือนกัน” พวกเจียงหรูชวนยังไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร การไปที่ตำหนักเวิ่นเทียนก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี

ณ ตำหนักเวิ่นเทียน อวิ๋นเฟยกับจื่อจู๋มองหลิวหลีพาคนแปลกหน้าสามคนเข้ามาอย่างงุนงง นายท่านไปร่วมงานเลี้ยงไม่ใช่หรือ ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ แล้วชิงหลิ่วล่ะ

“นายท่าน ท่านกลับมาเร็วเช่นนี้เลยหรือ” อวิ๋นเฟยกล่าว แต่กลับมองพวกเจียงหรูชวนไม่วางตา

“นั่นสิ เซียนหว่านฉิงเห็นว่าชิงหลิ่วเป็นคนเก่ง ก็เลยแลกพวกเขา 3 คนกับชิงหลิ่ว ข้าดูแล้วคุ้มดี ก็เลยแลกมา” หลิวหลีพูดติดตลก

“นายท่าน” จื่อจู๋ร้อนใจ ส่วนอวิ๋นเฟยสงสัยสถานะของคนทั้งสามคน เขามั่นใจว่านายท่านล้อเล่น แต่สามคนนี้เป็นใครกันแน่ ถึงขนาดทำให้นายท่านที่มักมีใบหน้าเย็นชากลับมีรอยยิ้มขึ้นมา

“นายท่าน ท่านยังไม่ได้แนะนำทั้งสามคนนี้เลย” อวิ๋นเฟยกล่าว

“อ้อ ตอนข้าอยู่โลกเบื้องล่างพวกเขาเป็นอาจารย์กับอาจารย์ลุงของข้า ข้าจะพาพวกเขาไปห้องปรุงยา ถ้าชิงหลิ่วกลับมาแล้วให้นางมาพบข้า” หลิวหลีพูดจบ ก็พาพวกเจียงหรูชวนเดินออกไป

“ดังนั้นแปลว่านายท่านแค่พูดล้อเล่น ไม่ได้นำชิงหลิ่วไปแลกกับพวกเขาใช่ไหม?” จื่อจู๋เพิ่งจะรู้สึกตัว

“เจ้าเนี่ยนะ แต่เพิ่งจะเคยเห็นนายท่านร่าเริงขนาดนี้เป็นครั้งแรก ข้าคิดมาตลอดว่านายท่านเป็นคนที่เคร่งขรึม มีความมั่นใจในตัวเองสูง” อวิ๋นเฟยกล่าวอย่างเก้อเขิน

“นังหนู ตอนนี้เจ้ายังปรุงยาอยู่หรือ?” เจียงหรูชวนมองห้องปรุงยาที่คุ้นเคยอย่างปวดใจ เขาไม่สามารถปรุงยาได้อีกแล้ว

“ใช่เจ้าค่ะ ปรุงยาได้ไม่เลวเลย” นางปรุงยาได้ดี แถมยังได้ฉีกหน้าใครบางคน มีอนาคตอีกยาวไกลแน่นอน

“นังหนู เพลิงเซียนสองชนิดก่อนหน้านี้ที่เขาร่ำลือกัน เป็นเพลิงอัคคีที่บรรลุขั้นสองชนิดของเจ้าใช่หรือไม่” เจียงหรูชวนกล่าว จี้เผิงเฟยกับซ่งอิงซิงที่อยู่ข้างๆ ประหลาดใจน้อยๆ เพลิงเซียนที่ทุกคนหาไม่เจอเป็นของนังหนูหรือนี่ ตอนนี้พวกเขารู้สึกราวได้ยินเรื่องอันน่าเหลือเชื่อ!

“ใช่แล้ว เฮ้อ ได้เพลิงเซียนมาน้อยเกินไป จึงไม่เพียงพอต่อการดูดซึม อาจารย์ก็รู้ ข้ายังมีเพลิงอัคคีอีกตั้ง 8 ชนิด จำเป็นต้องใช้เพลิงเซียนอีกจำนวนมาก เพื่อบรรลุขั้น” หลิวหลีบอกว่านางได้เพลิงเซียนมาน้อยเกินไปจึงไม่พอใช้

“นังหนู ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ร้อยปี เจ้าก็สามารถเปิดเส้นชีพจรเพลิงอัคคีได้ถึงสองเส้น ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว” เจียงหรูชวนกล่าว

“ก็จริง อาจารย์ ตอนนี้ท่านยังปรุงยาอยู่หรือไม่?” นี่คือคำถามที่หลิวหลีสนใจ

“ไม่แล้วล่ะ วิธีการปรุงยาของที่นี่ต่างจากโลกบำเพ็ญ ไม่มีคนชี้นำ อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมืออย่างไร” ที่สำคัญเลยคือเขาเป็นเพียงแค่เซียนธรรมดาไม่มีใครเห็นความสามารถของเขา

“อาจารย์ ข้าลองทดสอบด้วยตนเองแล้ว ก็พอจะรู้เรื่องอยู่บ้าง หากอาจารย์ไม่รังเกียจ ข้าจะสอนท่านเอง” หลิวหลีบอกว่าข้าสามารถสอนอาจารย์ได้

“ฮ่าฮ่า นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่นังหนูมาสอนข้า” เจียงหรูชวนถอนหายใจ สองคนที่อยู่ข้างๆก็เช่นกัน คิดไม่ถึงว่าศิษย์จะสอนอาจารย์ แต่ดูแล้วเจ้าตำหนักหลิวหลีกับศิษย์น้องไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน เพราะศิษย์ที่บรรลุเป็นเซียนจำนวนไม่น้อยมักจะโทษอาจารย์ว่าไม่มีอะไรให้พวกเขา แต่นังหนูคนนี้กำลังจะให้อาจารย์ของตนมากกว่าพลังที่เก่งกาจเสียอีก