ตอนที่ 220 อาจารย์เข้าร่วมตำหนักเวิ่นเทียน

แม่ครัวยอดเซียน

“อวิ๋นเฟย จื่อจู๋ นายท่านล่ะ” ชิงหลิ่วรายงานเซียนหวั่นฉิงตามที่หลิวหลีสั่ง ถึงแม้เซียนหวั่นฉินจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็ไม่เซ้าซี้อะไร

“อยู่ที่ห้องปรุงยาสั่งไว้ว่าหากเจ้ากลับมาแล้ว ให้เจ้าไปหา” จื่อจู๋กล่าว

“ทำไมรู้สึกเหมือนจื่อจู๋กำลังเร่งรัดข้า ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องที่นายท่านสั่ง ข้าจะลืมได้อย่างไร” เห็นได้ชัดว่าชิงหลิ่วยังไม่รู้เรื่องที่หลิวหลีล้อเล่น แต่ว่าจื่อจู๋ยังคงฝังใจ

“นายท่าน ชิงหลิ่วกลับมาแล้ว” ชิงหลิ่วไปที่ห้องปรุงยา แล้วกล่าวอย่างเคารพ

“เข้ามาเถอะ” เมื่อชิงหลิ่วเข้ามาก็พบว่าอาจารย์ผู้เเป็นเซียนธรรมดาของนายท่านกำลังนั่งสมาธิอยู่ ข้างๆมีขวดเปล่าหลายขวดกองอยู่ ชิงหลิ่วย่อมรู้ว่ามันคืออะไร ของพวกนั้นคือยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่นายท่านเป็นผู้ปรุงขึ้น พวกเขายังไม่ใช่คนที่นายท่านยอมรับ แต่พวกเขาจะพยายาม

“นายท่าน ข้าบอกพวกเขาตามที่ท่านสั่งแล้ว เซียนหว่านฉิงฝากข้ามาบอกว่านางรู้สึกเสียดายอย่างมากทีเดียว” ชิงหลิ่วรายงาน

“อืม รู้แล้วล่ะ ชิงหลิ่วเจ้าไปเตรียมห้องไว้ 3 ห้อง ให้อาจารย์กับอาจารย์ลุง หลังจากนี้พวกเขาเป็นคนของตำหนักเวิ่นเทียนแล้ว” หลิวหลีสั่งการ เมื่อครู่ได้พูดคุยกับอาจารย์และอาจารย์อา จึงรู้มาว่าพวกเขายังไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร หลิวหลีก็มอบป้ายบัญชาการ 3 อันให้พวกเขา และเมื่อประทับตราลงไป พวกเขาก็กลายเป็นคนของตำหนักเวิ่นเทียนโดยสมบูรณ์

จี้เผิงเฟยกับซ่งอิงซิงอึ้งไป สรุปกลายเป็นศิษย์หลานคนนี้ของพวกเขาบอกว่า อยู่ที่ไหนก็เหมือนๆกัน อีกอย่างตำหนักของนางกว้างใหญ่แต่คนน้อยนัก มีอิสระเสรีกว่า มองใบหน้าหลิวหลีที่ออกแกมบังคับ ถึงแม้ทั้งสองคนจะรู้สึกว่าศิษย์หลานเป็นคนเผด็จการ แต่พวกเขาก็เข้าใจในความหวังดีของนาง จึงตอบตกลง แต่ทั้งสองรู้ดีว่าพวกเขาได้บารมีของศิษย์น้อง เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าศิษย์หลานคนนี้มาก่อน ตอนนี้ศิษย์หลานผู้นี้ประสบความสำเร็จขนาดนี้ แต่ก็ไม่ลืมอาจารย์และอาจารย์ในสำนัก ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ

“เจ้าค่ะนายท่าน” ชิงหลิ่วเข้าใจได้ทันที แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าคนทั้งสามมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนายท่านขนาดนี้ ถึงกับให้พวกเขาอยู่ร่วมกันในเรือนหลังใหญ่ คิดว่าอีกไม่นานอาจารย์ของนายท่านคงจะกลายเป็นเสวียนเซียนแน่ เฮ้อ อิจฉาพวกเขาจริงๆ อยากมีศิษย์กตัญญูเช่นนี้บ้าง

“ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกข้าก็จะออกไปพร้อมกับขุนนางท่านนี้ รออาจารย์ของเจ้าตื่นขึ้นมา ค่อยให้เขาไปเจอพวกข้า 2 คน”  จี้เผิงเฟยกล่าว

“เจ้าค่ะ อาจารย์ลุง” หลิวหลีพยักหน้าเพื่อบอกว่านางรับรู้แล้ว

หลิวหลีมองดูอาจารย์ของตนเอง นางรู้อยู่แล้วว่าอาจารย์ของนางทำได้ อาจารย์เป็นถึงนักปรุงยา ทำไมพอบรรลุเป็นเซียนแล้วถึงกลายเป็นเซียนธรรมดาได้อย่างไร อืม สักวันหนึ่งอาจารย์ของนางจะต้องมาแทนที่เซียนนักปรุงยาอีมู่แน่

แต่ตอนนี้อาจารย์กำลังเข้าฌาน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแปลว่าตอนนี้นางยังว่างๆอยู่ หลิวหลีจึงตัดสินใจจะปรุงยา อืม ครั้งนี้ลองแก้ปัญหาเรื่องรสชาติดูแล้วกัน

เมื่อเจียงหรูชวนออกจากฌาณ ก็อดจะชื่นชมศิษย์ไม่ได้ นางช่างมีพรสวรรค์จริงๆ ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่นางปรุงขึ้น มีคุณภาพดีกว่ายาที่เขาได้รับมาก พอนึกถึงข่าวลือก่อนหน้า เจียงหรูชวนก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าเป็นเรื่องจริงแน่นอน คิดไม่ถึงจริงๆว่าจะมีคนกล้ามากระตุกหนวดเสือ เจียงหรูชวนนึกถึงคนที่เคยเป็นศัตรูนาง ไม่มีใครจบสวยสักคน

เขากำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็พบว่าหลิวหลีกำลังปรุงยาอยู่ เจียงหรูชวนจึงไม่พูดอะไร ได้แต่มองนางปรุงยาอย่างเงียบๆ เพื่อเรียนรู้การปรุงยาจากนาง

“มู่หยาง เจ้าบอกว่าอาจารย์ของหลิวหลีก็บรรลุเป็นเซียนแล้ว ตอนนี้หลิวหลีพาตัวไปที่ตำหนักเวิ่นเทียนแล้วหรือ?” เมื่อองค์จักรพรรดิทรงได้ยินคำพูดบุตรชายก็ประหลาดใจไม่น้อย

“พะย่ะค่ะ ที่หลิวหลีไม่ไปงานเลี้ยงที่หวั่นฉิงจัดก็เพราะอาจารย์ที่เป็นเซียนธรรมดาคนนี้” มู่หยางกล่าว ตอนแรกเขาก็ตั้งใจจะปรึกษาเรื่องการปรุงยากับหลิวหลี

“เซียนธรรมดา อาจารย์ของนางเป็นเพียงแค่เซียนธรรมดาหรือนี่” องค์จักรพรรดิทรงตกตะลึง ด้วยคิดมาตลอดว่าอาจารย์ของหลิวหลีอยู่ในดินแดนอื่น อีกทั้งอย่างน้อยๆพลังบำเพ็ญเพียรก็น่าจะอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแค่เซียนธรรมดา

“กระหม่อม บรรลุเป็นเซียนช้ากว่าหลิวหลี 400 ปี” ตอนแรกที่มู่หยางได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกัน

            “นี่หลิวหลีเป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจขนาดไหนกันนะถึงได้บรรลุเซียนก่อนอาจารย์นาง” องค์จักรพรรดิเองก็ทรงตกใจเช่นกัน

“ทว่าข้ากลับรู้สึกชื่นชมหลิวหลี ข้าเคยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุเป็นเซียนหลายคนโทษอาจารย์ของตัวเองที่ไม่สามารถให้สภาพแวดล้อมที่ดีกับตนเอง บางคนพอมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่าอาจารย์ก็ไม่เคารพเขาอีกต่อไป บางคนถึงขนาดแย่งทรัพยากรที่มีอยู่ของอาจารย์ น้อยนักที่จะเห็นคนผู้มีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นเซียนสุขาวดีแล้ว ยังยอมรับและดูแลอาจารย์ที่เป็นเซียนธรรมดาอย่างดี คิดว่านางคงจะถ่ายทอดวิชาให้อาจารย์ของนางอย่างตั้งใจ วังนภาเพลิงของข้าจะมีนักปรุงยาที่เก่งกาจอีกคนแล้ว” จักรพรรดิค่อนข้างพอพระทัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“จริงด้วย บ่มเพาะศิษย์ที่เก่งกาจขนาดนี้ได้ จะเป็นแค่เซียนธรรมดาแล้วอย่างไร” มู่หยางพูดพลางพยักหน้า

“เซียนธรรมดา ฮ่าฮ่า ลูกข้า เจ้าคิดว่าหลิวหลีจะปล่อยให้อาจารย์ของนางเป็นแค่เซียนธรรมดาตลอดไปหรือ คาดว่าอีกไม่นานอาจารย์ของนางคงจะกลายเป็นเซียนอธนการแน่” จักรพรรดิตรัสพลางทรงหัวเราะ

“จะเป็นไปได้อย่างไร เสด็จพ่อ แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ไม่น่าจะพัฒนาเร็วได้ถึงเพียงนั้น” มู่หยางไม่เชื่อ

“ลูกข้า เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า หลิวหลีเคยมอบยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ทีนางปรุงเองให้เป็นของขวัญ ลูกข้า เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่นางปรุงขึ้น” จักรพรรดิทรงเปลี่ยนเรื่อง

“รักษาสรรพคุณของตัวยาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แล้วจะพูดอย่างไรดีนะ ดูทรงพลังกว่ายาที่เซียนนักปรุงยาอีมู่ปรุงขึ้น ลูกหาโอกาสจะคุยเรื่องการปรุงยากับนางแต่ก็ไม่ได้เจอนางสักที” พอพูดถึงตรงนี้ ดวงตามู่หยางก็เปล่งประกาย แล้วจึงบ่นกับพระบิดาว่าเขาไม่มีโอกาสเจอหลิวหลีเลยสักครั้ง

“จะต้องมีโอกาสแน่ ลูกข้า อีกพันปีก็จะเป็นการแข่งขันการจัดอันดับตำหนักแล้ว เจ้ามีความมั่นใจบ้างหรือไม่” จักรพรรดิตรัสถาม จริงๆแล้วเขาเป็นเพียงแค่พ่อธรรมดาคนหนึ่ง ที่หวังอยากจะให้ลูกของตนเองได้อันดับที่ดี

“เสด็จพ่อ ลูกคงบอกได้เพียงว่าลูกจะพยายาม อย่างไรเสียลูกก็ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้เท่าไหร่นัก” มู่หยางยิ้มเศร้า เขาเป็นนักปรุงยา เขาไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้นักหรอก

“มันก็ใช่ แต่ครั้งนี้เจ้าจะสามารถชนะคนๆหนึ่งได้แน่” จักรพรรดิตรัสอย่างมีเลศนัย

“ใคร?” มู่หยางสงสัย

“หลิวหลี” จักรพรรดิทรงตรัสออกมาสั้นๆ

“หลิวหลีอย่างไรล่ะ นางก็เป็นนักปรุงยาเช่นกัน และเพิ่งเป็นเซียนได้ไม่นาน มีพลังบำเพ็ญเพียรพอๆกับเจ้า แต่ประสบการณ์นางยังน้อยนัก คาดว่าเจ้าคงจะเอาชนะนางได้ไม่ยาก” องค์จักรพรรดิทรงบอกข่าวนี้ให้ลูกชายตนเอง

“คิดไม่ถึงเลยว่านางก็เป็นนักปรุงยาเหมือนกัน และหากเป็นเช่นนี้ลูกคงพอจะมีโอกาสอยู่บ้าง” มู่หยางพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

หลิวหลีที่ถูกมองว่าเป็นคนอ่อนแอไร้พิษภัย ลงมือปรุงยาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นางแยกประสาทเซียนออกอีก 10 ดวง ทำให้เจียงหรูชวนที่อยู่ข้างๆตกตะลึงอย่างมาก ลูกศิษย์ของเขาปรุงยาเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ ไม่ใช่ว่าปรุงเสร็จเตาหนึ่ง แล้วพักฟื้นครู่หนึ่งก่อนหรือ เจียงหรูชวนที่ไม่เคยเห็นลูกศิษย์ปรุงยามาก่อน ในใจก็กระวนกระวาย หากปรุงยาแบบนางล่ะก็จะต้องร่ำรวยมากแน่ๆ ไม่สิ้นเปลืองอะไรแม้แต่น้อย เจียงหรูชวนจากตอนแรกตกใจก็เริ่มคุ้นเคย และมองพืชเซียนกลายเป็นยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ วังนภาเพลิงได้ลาภแล้ว ไม่สิ ตำหนักเวิ่นเทียน ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่นังหนูปรุงขึ้นไม่ได้มอบให้ทางวังนภาเพลิงสักหน่อย ขุนนางและทหารสวรรค์ในตำหนักเวิ่นเทียนช่างมีวาสนาจริงๆ เขาเองก็ได้ชิมแล้ว เพราะมีพื้นฐานการปรุงยาจากโลกเบื้องล่างจึงทำให้แยกแยะได้ว่าระดับในการปรุงยาของศิษย์ตนเองเป็นอย่างไรได้อย่างง่ายดาย

หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียพลังไปไม่น้อย จึงพาตนเองออกจากสภาวะนั้น

“อาจารย์ ท่านเสร็จแล้วหรือ” เมื่อหลิวหลีลืมตาขึ้นก็เห็นเจียงหรูชวนมองนางด้วยใบหน้าเรียบเฉย นางทำอะไรผิดไปหรือ

“นังหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าปรุงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นจำนวนเท่าไหร่?” เจียงหรูชวนถอนหายใจ แต่ละคนช่างน่าโมโหเหลือเกิน เขาพยายามสงบจิตใจนับครั้งไม่ถ้วนกว่าจะทำใจให้ไม่รู้สึกอะไรได้

“ไม่เท่าไหร่หรอก เป็นของที่ใช้ประจำ ตอนนี้ข้าปรุงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงกว่านี้ไม่ได้”  หลิวหลีบอกว่าเป็นของที่ใช้อยู่ประจำจึงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากระดับสูงกว่านี้ก็คงไม่ได้

“ศิษย์เอ๋ย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังไม่พอใจ เจ้าเพิ่งจะบรรลุเป็นเซียนมาแค่ 500 ปีก็มีผลงานเช่นนี้แล้ว เจ้าจะให้คนที่บำเพ็ญมาเป็นหมื่นปีแต่ทำได้เหมือนเจ้ารู้สึกอย่างไร” เจียงหรูชวนรู้สึกว่าศิษย์ของเขามาเพื่อกดดันคนอื่นชัดๆ

“เอาเถอะ อาจารย์ ตอนนี้ประสาทเซียนของท่านสามารถแบ่งออกมาได้กี่ดวงเจ้าคะ” หลิวหลีข้ามเรื่องนั้นไป

“เพิ่งจะแบ่งออกมาได้ 3 ดวงเท่านั้น” เจียงหรูชวนนึกไม่ถึงเลยว่าการแบ่งประสาทเซียนจะยากขนาดนี้ แต่พอทำตามคำแนะนำของนาง ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงพื้นฐานของการปรุงยาบ้างแล้ว

“อืม พอได้อยู่ อาจารย์จะมาลองดูหน่อยไหมเจ้าคะ” หลิวหลีเชื้อเชิญ

“ก็ดีเหมือนกัน” การลงมือปฏิบัติค่อนข้างสำคัญ เจียงหรูชวนไม่ได้รู้สึกว่าการเรียนกับลูกศิษย์เป็นเรื่องน่าอาย ได้ความรู้ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ

“อาจารย์ ท่านมีเพลิงเซียนหรือไม่?” อยู่ๆหลิวหลีก็นึกขึ้นได้ว่าการปรุงยาต้องใช้เพลิงเซียน

“ไม่มี” เจียงหรูชวนส่ายหัว เซียนธรรมดาที่พลังบำเพ็ญเพียรต่ำอย่างเขา ไหนเลยจะได้รับเพลิงเซียนมา

“อืม ทุกปีข้าจะได้เพลิงเซียนมา 10 ดวง ข้าจะแบ่งให้อาจารย์ไว้ใช้ฝึกฝน 2 ดวง เดี๋ยวข้าจะลองไปถามขุนนางของข้าดูว่าจะหาเพลิงเซียนสำหรับการปรุงยาได้จากที่ไหนบ้าง” หลิวหลีพูดอย่างใจกว้าง

“ถ้าเป็นเช่นนี้ข้าก็ต้องขอรบกวนแล้ว” เจียงหรูชวนไม่ปฏิเสธ แต่เขาตื้นตันใจอย่างมาก จนถึงตอนนี้ศิษย์ก็ยังไม่ลืมความสัมพันธ์เก่าๆ และยังคงปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ เขาจำเป็นต้องฝึกปรือฝีมือการปรุงยาของเขาให้กลับเป็นเหมือนเดิม เพื่อจะได้เป็นกำลังให้กับนาง