ตอนที่ 228 คุณหนูฉินเป็นคนสอน ไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เนื่องจากผู้ชมที่มามุงดูล้วนเป็นคนที่มีความสามารถ ดังนั้นทุกคนจึงดูออกว่าเจอร์รี่ได้ออกแรงเต็มที่แล้ว

 

 

โดยเฉพาะเฉิงมู่ เหมือนเขาเปลี่ยนเป็นคนละคน รูปร่างปราดเปรียว ฝีมือดุดัน ดูความเร็วหมัดของเขาแทบจะไม่ทัน

 

 

“นี่ นี่มันอะไรเนี่ย ชนะแล้วเหรอ?” หลังจากนั้นไม่นาน หนึ่งในนั้นก็พึมพำเหมือนวิญญาณออกจากร่าง 

 

 

ด้วยเสียงนี้ ทุกคนต่างก็กลับมามีสติอีกครั้งและหันมองไปทางเฉิงมู่โดยไม่รู้ตัว

 

 

บนใบหน้าของเฉิงมู่ไม่ได้แสดงออกถึงความยินดีหรือได้ใจเลย คล้ายกับไม่ได้รู้สึกว่าการที่ตัวเองชนะจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เขาเพียงเหลือบมองผู้ตัดสินแล้วพูดเสียงดังๆ ว่า “ฉันชนะหรือยัง?”

 

 

แน่นอนว่าเฉิงมู่ไม่ได้ดีใจอะไรขนาดนั้น เพราะเขายังไม่สามารถเอาชนะฉินหร่านได้ ในช่วงหลายวันมานี้ยิ่งเขาฝึกซ้อมมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าฉินหร่านเก่งกาจจนคาดเดาไม่ได้

 

 

เขาชนะเจอร์รี่ได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฉินหร่านอย่างจริงจัง ก็ยังต้องพ่ายแพ้

 

 

เมื่อผู้ตัดสินที่เคยเกลี้ยกล่อมเฉิงมู่เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ยินเสียงเฉิงมู่ เขาก็หันกลับมา “การ… การประลอง เฉิงมู่ชนะ!”

 

 

เฉิงมู่พยักหน้า จากนั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องพักรับรอง พอเขาออกมาหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ท่าทีของผู้ชมที่มารายล้อมอยู่ที่นี่ก็เปลี่ยนไป

 

 

ทว่าเฉิงมู่กลับไม่ใส่ใจคนเหล่านี้ เขาเดินไปหาฉินหร่านด้วยความคิดที่ยากจะคาดเดา

 

 

“คุณหนูฉิน ผมสู้เป็นยังไงบ้าง?” เขาเกาหัวพลางเอ่ยถาม

 

 

ฉินหร่านยังนั่งอยู่บนคานอย่างเอื่อยเฉื่อย เมื่อเห็นเขามาแล้วก็ยื่นมือยันแล้วกระโดดลงมา “ก็…เฉยๆ”

 

 

เฉิงมู่พยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว ผมจะพยายามให้มากขึ้น”

 

 

ขณะที่เดินไปทางปราสาท ทั้งสองก็พูดคุยกันไปด้วย

 

 

ซือลี่หมิงเองก็ดึงหมวกลงแล้วเดินตามไป

 

 

ทั้งสามเดินมาอย่างกะทันหัน ไปก็ยิ่งกะทันหัน ไม่มีสัญญาณบอกกล่าว

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเจอร์รี่ยังนอนอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนา ตอนนี้ทุกคนคงคิดว่าเป็นภาพลวงตา

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ตัดสินของฝ่ายยุติธรรมก็กลับมาได้สติอีกครั้ง เขาหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาหมอประจำคฤหาสน์มาที่นี่ จากนั้นก็ย่อตัวดูอาการบาดเจ็บของเจอร์รี่ “นายไหวไหม?”

 

 

ในที่สุดเจอร์รี่ก็ไม่ไหวแล้ว เขาส่ายหน้าอย่างช้าๆ

 

 

“มะ…แม่งเอ๊ย น่ากลัวชะมัด…” กลุ่มคนทยอยกันส่งเสียงออกมา ทุกคนต่างสบตากันอย่างไม่อยากจะยอมรับ บางคนถึงกับกลืนน้ำลาย “ครึ่งเดือนก่อนเขายังโดนพวกเราต่อยจนเละไม่ใช่เหรอ ไม่เหมือนคนที่ซ่อนความสามารถไว้เลย แต่เมื่อกี้…เมื่อกี้…”

 

 

“ผู้กองลั่ว” ผู้ตัดสินคนนั้นมองไปทางผู้กองลั่ว พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าคุณสู้กับเจอร์รี่ คุณจะสามารถต่อยเขาจนมีสภาพแบบนี้ภายในไม่กี่กระบวนท่าได้ไหม?”

 

 

ผู้กองลั่วเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในฝ่ายยุติธรรมนอกจากหัวหน้าตู้

 

 

ในคฤหาสน์แห่งนี้มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะผู้กองลั่วได้

 

 

ด้วยเหตุนี้เอง หัวหน้าตู้จึงให้ผู้กองลั่วไปคุ้มครองฉินหร่านที่หน่วยจัดซื้อ

 

 

“ไม่แน่ใจ” ผู้กองลั่วหันกลับไปมองกลุ่มของฉินหร่าน “แต่ก็ไม่ได้เร็วเท่าเฉิงมู่ขนาดนั้น ทักษะการเคลื่อนไหวทางร่างกายของเขาดูต่างออกไป ฉันเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าสู้กับเขาก็มีเปอร์เซ็นต์แพ้ชนะครึ่งต่อครึ่งเท่านั้น”

 

 

ทันทีที่ประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็เงียบอีกครั้ง

 

 

ครึ่งเดือนก่อนไม่ว่าใครก็สามารถรังแกเฉิงมู่ได้ พอเวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ฝีมือเฉิงมู่ก็สามารถสู้กับยอดฝีมือสิบอันดับแรกของคฤหาสน์ได้โดยอัตราแพ้ชนะเป็นครึ่งต่อครึ่ง?

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? หรือเฉิงเจวี้ยนกำลังหนุนหลังเขา?

 

 

“ซือลี่หมิงบอกว่าคุณหนูฉินเป็นคนฝึกให้เฉิงมู่มาตลอดไม่ใช่เหรอ?” ใครบางคนพูดออกมา

 

 

ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ พลางนึกได้ว่าตอนที่เฉิงมู่ต่อยเสร็จก็เดินไปหาฉินหร่านและยังถามเธอว่าตัวเองต่อยเป็นยังไงบ้าง

 

 

ทว่าฉินหร่านกับซือลี่หมิงต่างก็ไม่ได้ประหลาดใจกับผลการท้าดวลของเฉิงมู่แม้แต่น้อย

 

 

“แต่…คุณหนูฉิน ไม่น่าเป็นไปได้มั้ง…”

 

 

มีคนพูดยังไม่ทันจบ ผู้กองลั่วก็ส่ายหน้า ดวงตาดูล้ำลึก “ทักษะการเคลื่อนไหวของเขาเป็นแนวเดียวกับคุณหนูฉิน ตอนที่ไปลานจอดเครื่องบินคราวที่แล้วฉันเคยเห็นฝืมือคุณหนูฉินมาแล้ว เมื่อกี้ที่ซือลี่หมิงพันผ้าซะขนาดนั้น ฉันว่าน่าจะได้รับการฝึกซ้อมมาเหมือนกัน ทุกคนก็สู้ๆ แล้วกันนะ ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน ปีนี้ทุกคนจะได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งถึงสองคน”

 

 

ผู้กองลั่วพูดจบก็หันกลับไปที่ฝ่ายยุติธรรม

 

 

คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังเหม่อลอยเป็นเวลานาน

 

 

อย่าว่าแต่ผู้ตัดสินของฝ่ายยุติธรรมคนนั้นเลย เพราะแม้แต่เจอร์รี่ก็ลืมความเจ็บปวดไปแล้ว

 

 

“งั้นคุณหนูฉินคงเก่งมากใช่ไหม?”

 

 

ทุกคนตอบคำถามนี้ไม่ได้

 

 

เพราะมองฉินหร่านไม่ออก อย่างไรก็ตาม ตามที่ผู้กองลั่วพูดไว้ กลัวว่าจะมีความเป็นไปได้ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์

 

 

ไม่ว่าความสามารถของฉินหร่านจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เธอเป็นคนสร้างเฉิงมู่มากับมือ…

 

 

ตอนแรกพวกเขาต่างก็มองว่าการที่ฉินหร่านสอนเฉิงมู่นั้นเป็นเรื่องขำขัน พอหลังจากที่ได้ยินผู้กองลั่ววิเคราะห์แล้ว นอกจากฉินหร่านก็ไม่มีใครอีกแล้ว

 

 

นี่แค่ครึ่งเดือนเท่านั้น เธอถึงขนาดสอนไก่อ่อนตัวหนึ่งมาถึงจุดนี้ได้?

 

 

ถ้าผ่านไปอีกครึ่งเดือนล่ะ เฉิงมู่จะสู้กับเฉิงสุ่ยได้หรือไม่?

 

 

เฉิงมู่เก่งขึ้นมาขนาดนี้ ถ้า…มาสอนให้ตัวเองบ้างล่ะ?

 

 

ผู้กองลั่วบอกว่าซือลี่หมิงก็ดูเหมือนจะได้รับการฝึกเช่นกัน…

 

 

ตอนนี้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ขยันฝึกซ้อมกันอย่างหนัก ยังมีบางคนที่คิดจะไปขึ้นสังเวียนเถื่อน จะเห็นได้ว่าทุกคนล้วนกระหายความแข็งแกร่ง เพราะขนาดเฉิงมู่ก็ยังเก่งขึ้นมาได้ ถ้าฉินหร่านมาสอนตัวเองบ้าง…

 

 

เลือดของทุกคนเดือดพล่านเมื่อคิดถึงมัน

 

 

เมื่อนึกถึงตอนที่เฉิงสุ่ยให้พวกเขาติดตามฉินหร่านก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างก็ปฏิเสธ…ทันใดนั้นเลือดที่เดือดพล่านขึ้นมาก็เย็นลงทันที

 

 

**

 

 

นับจากการดวลกันวันนี้ ลูกน้องในคฤหาสน์เหล่านี้ต่างก็เคารพยำเกรงฉินหร่านด้วยใจจริง

 

 

และไม่ได้ต่อต้านการบีบบังคับของเฉิงสุ่ย เฉิงหั่ว และคนเหล่านี้อีก

 

 

หน่วยข่าวกรอง

 

 

เฉิงหั่วยังคงค้นคว้าโค้ดพวกนี้อยู่

 

 

โดยมีถังชิงเปิดคอมพิวเตอร์อยู่อีกด้านหนึ่ง รูปร่างเธอสูงกว่าผู้หญิงทั่วไปในประเทศจีน หนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ผมสีบลอนด์ หน้าคม เหมือนนางแบบตามหน้าปกนิตยสารต่างชาติ

 

 

หลายคนในหน่วยข่าวกรองต่างก็แบ่งโค้ดไปตามคอมพิวเตอร์ของตัวเอง

 

 

ในขณะนี้ก็มีคนคอยยืนอยู่ข้างหลังเฉิงหั่วและถังชิงเพื่อเฝ้าดูการดำเนินงานของพวกเขา

 

 

“ไม่รู้ว่าคราวนี้จะสำเร็จไหม?” มีคนพูดขึ้นมาเบาๆ

 

 

อีกคนพยักหน้า “น่าจะได้นะ คุณถังเก่งขนาดนี้และคุณลุงของเธอยังเสนอแนวคิดใหม่ๆ ให้คุณเฉิงหั่วอีกด้วย”

 

 

ในคำพูดแฝงไปด้วยความเคารพถังชิงอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ระหว่างที่หลายคนกำลังพูดคุยกัน

 

 

เฉิงหั่วก็ส่งซอฟต์แวร์จำลองให้ถังชิง “เธอลองใช้ประโยชน์จากพอร์ตรันดูซิ”

 

 

ที่ด้านล่างขวาของคอมพิวเตอร์ของเขามีแถบแสดงความคืบหน้าที่ดำเนินผลช้าอยู่อันหนึ่ง ตอนนี้คืบหน้าไปกว่าเจ็ดสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์แล้ว และยังจะเพิ่มขึ้นอีก แต่เพิ่มอย่างช้าๆ ตัวเลขนับถอยหลังด้านบนแสดงให้เห็นว่าใช้เวลาอีกห้าวัน 

 

 

ถังชิงกดรับโค้ดที่เฉิงหั่วส่งให้

 

 

เธอกับเฉิงหั่วค้นคว้ามากว่าครึ่งเดือน จนในที่สุดก็คืบหน้ามามากแล้ว มือที่กดแป้นพิมพ์กำลังสั่น

 

 

“คุณถัง คราวนี้มีโอกาสกี่เปอร์เซ็นต์?” คนของหน่วยข่าวกรองคนหนึ่งกระซิบถาม

 

 

“เก้าสิบเปอร์เซ็นต์” ถังชิงเปิดโปรแกรมจำลองและพิมพ์โค้ดลงไป

 

 

บนหน้าจอโผล่ขึ้นมาเพียงสามคำว่า “กำลังโหลด” อย่างรวดเร็ว แถบแสดงความคืบหน้าก็หมุนอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

 

ในไม่ช้าก็ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์แล้ว แม้กระทั่งเฉิงหั่วก็ลากเก้าอี้เข้ามา เขาจ้องคอมพิวเตอร์ของถังชิงโดยไม่ละสายตา

 

 

“คุณถัง คุณทำสำเร็จแล้ว สุดยอดไปเลย!” มีคนข่มเสียงพูดขึ้นมา

 

 

ในที่สุดใบหน้าเย็นชาของถังชิงก็เผยรอยยิ้ม เธอวางมือบนแป้นพิมพ์และเอียงศีรษะเล็กน้อย ย่ามใจพูด “คุณลุงของฉันก็เคยบอกไว้ว่าโปรแกรมจัดการนี่มันไม่ยาก ทุกคนต่างก็มีส่วนช่วย…”

 

 

เธอยังไม่ทันพูดจบประโยค

 

 

แถบความคืบหน้าติดอยู่ที่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ยังไปไม่ถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์สักที จากนั้นก็เด้งออกภายในเวลาสั้นๆ

 

 

เด้งออกจากโปรแกรมจำลองอีกครั้ง

 

 

ใบหน้าได้ใจของถังชิงตกตะลึงไปชั่วขณะ เธอลุกพรวด “เป็นไปได้ยังไง ? !”

 

 

เธอลองอีกหลายครั้งติดต่อกัน ผลก็ยังเหมือนเดิม มือที่วางบนเมาส์แข็งค้าง

 

 

เฉิงหั่วไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก เขาเอนหลังพิงเก้าอี้พลางมองมาทางถังชิง “คุณลุงของเธอพอมีเวลามาพบพวกเราไหม?”

 

 

ถังชิงส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน ตอนเย็นฉันจะลองถามเขาดู”

 

 

“หวังว่าจะมีโอกาส” เฉิงหั่วเม้มริมฝีปาก เขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพูด “แต่เราคุยเรื่องนี้กับนายท่านก่อนดีกว่า”

 

 

**

 

 

ตอนบ่าย ฉินหร่านไม่ได้ซ้อมพิเศษให้เฉิงมู่อีก เธอให้เฉิงมู่สู้กับซือลี่หมิง

 

 

แน่นอนว่าย่อมกำหนดกติกา โดยที่เฉิงมู่จะตอบโต้ไม่ได้

 

 

เธอไม่ได้ฝึกคัดลายมือ แต่ไปหาหนังสืออ่านที่ห้องหนังสือ

 

 

ห้องหนังสือของเฉิงเจวี้ยนมีหนังสือครบครัน มีแถวหนึ่งที่เต็มไปด้วยหนังสือเก่าสภาพไม่สมบูรณ์ แต่เธอไม่ได้แตะต้องมัน แค่มองหาบทความต้นฉบับที่อยู่แถวหลัง

 

 

เธอหาบทความต้นฉบับที่เลิกพิมพ์ไปแล้วมาได้หลายเล่ม

 

 

เฉิงสุ่ยเข้ามารายงานเป็นครั้งคราว

 

 

ในช่วงบ่ายเฉิงหั่วก็พาถังชิงเข้ามายังห้องหนังสือด้วย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ถังชิงเข้ามาในปราสาทเก่าแก่แห่งนี้

 

 

เธอพักอยู่ในคฤหาสน์มานานมากแล้ว ทุกคนต่างก็เคยบอกเธอว่าเธอจะไปที่ไหนก็ได้ แต่อย่าเข้าไปใกล้ปราสาทแห่งนี้ มีเพียงพวกเฉิงสุ่ยเท่านั้นที่สามารถเข้านอกออกในได้

 

 

ตอนที่ทั้งสองเข้าไป เฉิงเจวี้ยนก็กำลังช่วยฉินหร่านหยิบหนังสือที่อยู่ชั้นบนสุด

 

 

ถังชิงผงะ

 

 

“นายศึกษาเสี่ยวเฮยเป็นยังไงบ้าง?” เฉิงเจวี้ยนยื่นหนังสือให้ฉินหร่าน จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะทำงาน

 

 

ฉินหร่านถือหนังสือพลางเอนตัวอยู่ข้างโซฟาที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา เธอเลิกคิ้วตอบแทนเฉิงหั่ว “ไม่คืบหน้าอยู่แล้ว”

 

 

ถังชิงขมวดคิ้วอย่างเงียบๆ และแอบหงุดหงิดใจ คนที่เธอเกลียดที่สุดคือคนประเภทที่ว่าไม่รู้อะไรแต่กลับพูดแทรกขึ้นมาเหมือนรู้ดีเพื่อทำให้ตัวเองมีตัวตน