เล่ม 1 ตอนที่ 220 พบซือหม่าโยวหยางอีกครั้ง

สลับชะตา ชายามือสังหาร

พักอยู่ในโรงเตี๊ยมหนึ่งคืน พวกเขาก็เปลี่ยนไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากตระกูลซือหม่าออกไปไม่ไกล ที่มองเห็นจวนตระกูลซือหม่าจากห้องที่พวกเขาเลือกได้โดยตรง

ห้องพักของซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ที่ชั้นสี่ ขณะนี้เธอยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองไกลออกไป ดูภาพรวมของตระกูลซือหม่า

เมื่อเทียบกันระหว่างจวนแม่ทัพแห่งอาณาจักรตงเฉินกับจวนซือหม่า ยังมีขนาดสู้ลานบ้านลานหนึ่งของพวกเขามิได้เลย

กำแพงสูงทอดตัวยาวออกไป เธออยู่ชั้นบนยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของกำแพงเลย เห็นได้ว่าขอบเขตนั้นกว้างใหญ่ยิ่งนัก มิน่าเล่าพวกเป่ยกงถังถึงได้บอกว่ามีขนาดพอๆ กับเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งเลยทีเดียว

และความกว้างนี้ก็มิใช่สิ่งที่จวนทั่วไปจะเปรียบเทียบได้ ที่เธอใช้สายตากะคร่าวๆ น่าจะกว้างหลายพันเมตร ทอดตัวยาวตลอดไปจนถึงตีนเขา ส่วนทิวเขาด้านหลังก็นับว่าเป็นอาณาเขตของตระกูลเช่นเดียวกัน

ว่ากันว่ายามปกติผู้แข็งแกร่งของตระกูลซือหม่าจะไม่อยู่ที่จวนด้านล่าง หากแต่ฝึกยุทธ์กันอยู่บนเขา ปกติแล้วหากไม่มีเรื่องอันใดก็จะไม่ออกมา

“ไม่รู้ว่าพวกท่านปู่อยู่ที่ไหน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเรือนอันกว้างใหญ่พลางเอ่ยพึมพำ

เป่ยกงถังเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มองจวนตระกูลซือหม่าจนสติล่องลอย จึงเดินเข้ามาเอ่ยปลอบว่า “เจ้าวางใจเถิด พวกท่านปู่ของเจ้าจะต้องไม่เป็นไรแน่”

“อื้ม”

ระยะเวลาสองเดือนให้หลัง พวกซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปเที่ยวเล่นบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนเวลาอื่นก็ต่างคนต่างฝึกยุทธ์กันอยู่ในห้อง

มีเจดีย์วิญญาณคอยดูดซับปราณวิญญาณให้ตลอดเวลา ทั้งยังมีคุณสมบัติหนึ่งวันเท่ากับสามวัน สองเดือนต่อมา เธอจึงบรรลุอีกหนึ่งขั้น ยกระดับเป็นบรรพวิญญาณขั้นสามได้สำเร็จ

ยามปกติเธอแบ่งเวลาและพลังจิตไม่น้อยไปให้กับการหลอมยาและการฝึกวิญญาณ รวมทั้งการศึกษาค่ายกล ไม่อย่างนั้นพลังยุทธ์ของเธอในตอนนี้ก็คงจะร้ายกาจยิ่งกว่านี้เสียอีก!

หลังจากการเลื่อนระดับเสร็จสิ้น เธอรู้สึกว่าพละกำลังในร่างกายแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ไม่เสียแรงที่เธอพยายามฝึกฝนมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้

“ปลีกวิเวกมาเนิ่นนานขนาดนี้ ควรจะออกไปดูสักหน่อยได้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลงจากเตียงแล้วเปิดประตูออกไป

“ไม่เลวเลย เลื่อนระดับอีกแล้ว” พวกเว่ยจือฉีต่างรอคอยเธออยู่ที่หน้าประตู คุ้มกันให้กับเธอเพื่อมิให้ถูกคนรบกวน

“ร้ายกาจ!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“พวกเจ้าก็มิได้เลื่อนระดับแล้วเหมือนกันหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขาแวบหนึ่ง ทุกคนต่างก็เลื่อนระดับเมื่อไม่กี่วันมานี้เช่นเดียวกัน “ข้าปลีกวิเวกไปนานเท่าใดหรือ”

“หนึ่งเดือนกว่า ตอนนี้เหลืออีกเพียงสิบวันก็จะถึงกำหนดระยะเวลาสามปีแล้วนะ” เว่ยจือฉีเอ่ยตอบ

“สิบวัน…” ซือหม่าโยวเย่ว์พึมพำ

คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงเมืองอันหยางได้สองเดือนแล้ว ฝึกยุทธ์จนลืมวันลืมคืนไปเลย!

“ใช่แล้ว วันนั้นตอนพวกเราออกไป ได้พบแม่นางเมื่อคราวก่อนด้วยล่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ซือหม่าโยวฉิงหรือ”

“ไม่ใช่ เป็นซือหม่าโยวหลานต่างหากเล่า” เป่ยกงถังพูด “เมื่อสามปีก่อนตอนพวกเราอยู่ในวิทยาลัย ได้พบกับนางเข้า ตอนที่พวกเราออกไปเมื่อสองวันก่อนก็เห็นรถเทียมสัตว์อสูรของนางอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ตระกูลซือหม่า ทหารรับใช้เรียกนางว่าคุณหนูโยวหลาน”

ซือหม่าโยวเย่ว์มีความประทับใจต่อหญิงสาวที่อายุอานามไล่เลี่ยกับเธอผู้นี้อยู่ไม่น้อย การผ่านเทือกเขาสั่วเฟยย่านั้นเป็นเรื่องอันตราย ตอนนั้นนอกจากซือหม่าข่ายที่มีพลังยุทธ์ระดับบรรพวิญญาณแล้ว มีนางที่เป็นราชาวิญญาณอยู่คนหนึ่ง ส่วนอีกสามคนที่เหลือเป็นระดับราชันวิญญาณ พวกเขายอมพานางไป ต้องไม่ใช่เพื่อพานางมาจับตัวคนหรือเพื่อเปิดวิสัยทัศน์อย่างแน่นอน

นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนนั้นซือหม่าหลินเชื่อฟังคำพูดของนาง พอบอกว่ามิอาจสัมผัสถึงที่อยู่อันแน่ชัดของผลอสรพิษทองคำได้ จึงยอมล้มเลิกการเสาะหา หรือว่านางจะสัมผัสถึงสิ่งล้ำค่าได้หรือ

“ในเมื่อโยวเย่ว์ออกจากการปลีกวิเวกแล้ว พวกเราออกไปหาหอสุราสักแห่งฉลองกันดีกว่านะ” เจ้าอ้วนชวีเสนอ

“ก็ดีเหมือนกันนะ” เว่ยจือฉีพูด “ระยะนี้พวกเราทยอยเลื่อนระดับอย่างต่อเนื่องกันเลย ก็เป็นเรื่องที่น่าฉลองจริงๆ นั่นแหละ”

“สุราอาหารของหอจันทราเมามายที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนั้นใช้ได้ทีเดียว พวกเราไปกินที่นั่นกันดีกว่า!” เจ้าอ้วนชวีไปดื่มกินที่หอสุราในละแวกนี้มาจนทั่วแล้ว ย่อมต้องรู้ดีว่าสุราอาหารที่ไหนอร่อย

“ได้ เรียกเจ้าไก่ฟ้าไปพร้อมกันกับพวกเราด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้าไก่ฟ้าจากไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว บอกว่าจะจากไปหลายวันหน่อย แต่จะกลับมาภายในสิบวันให้หลังอย่างแน่นอน” เว่ยจือฉีพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งคราหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเจ้าไก่ฟ้าจะจากไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเขามีธุระอันใดให้ไปทำ

“เช่นนั้นพวกเราไปกันเองก็ได้” เธอพูด

“วันนี้เป็นวันเลื่อนระดับของโยวเย่ว์ พวกเราจะต้องจัดการนางให้เต็มที่เลย” เจ้าอ้วนชวีตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

“ได้เลย วันนี้ข้าจะเลี้ยงพวกเจ้ามื้อใหญ่เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ

“ยอดเยี่ยม วันนี้พี่ชายจะเลี้ยงมื้อใหญ่!” เสี่ยวถูร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

พวกเขาตามกันออกมาจากโรงเตี๊ยม เพราะตอนนี้เวลายังค่อนข้างเช้า พวกเขาจึงเดินมุ่งหน้าไปยังหอสุราอย่างช้าๆ เดินทอดน่องกันตามสบาย

ในขณะที่พวกเขาเดินผ่านถนนสายเล็กสายหนึ่งนั้นเอง ก็พบว่ามีผู้คนไม่น้อยเดินเข้าไปในนั้น

“ตรอกแห่งนี้ช่างคึกคักเสียจริง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“แน่นอนอยู่แล้ว ที่สุดถนนแห่งนี้ก็คือหอเซวียนหยวนอย่างไรเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด

“หอเซวียนหยวนแห่งโรงอัปลักษณ์อย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว แม้แต่ป้ายร้านก็ยังเหมือนกันเลย” เจ้าอ้วนชวีพูด “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ พวกเขายังไม่เปิดร้าน พอพวกเรากินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปดูกันก็ได้นะ”

“ดี ไปดูกันสักหน่อยว่าของเมืองผิงคังจะมีอะไรแตกต่างกันบ้าง”

ยามเที่ยงวัน พวกเขาก็มาถึงหอจันทราเมามาย ถึงแม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์จะมิได้มีความต้องการอาหาร แต่หอจันทราเมามายแห่งนี้ก็ยังอัดแน่นไปด้วยผู้คน

“เหตุใดจึงมีคนมากมายเช่นนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูแขกที่มารับประทานอาหารเต็มร้านพลางเอ่ยถาม

“เพราะของกินที่นี่อร่อยน่ะสิ!”

เจ้าอ้วนชวีพูดพลางเดินเข้าไปข้างใน ซึ่งมีเสี่ยวเอ้อร์เข้ามาต้อนรับ

“เสี่ยวเอ้อร์ ยังมีห้องส่วนตัวอยู่หรือไม่”

“โอ้… ทางร้านต้องขออภัยด้วย เที่ยงนี้ห้องส่วนตัวของพวกเราเต็มหมดแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูดอย่างขอโทษขอโพย

“ไม่มีห้องส่วนตัวแล้วหรือ”

“ใช่แล้วขอรับ ห้องส่วนตัวถูกคนจองเอาไว้หมดแล้ว ห้องโถงใหญ่ก็เหลือที่ว่างเพียงแค่โต๊ะสองโต๊ะเท่านั้นเองขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูดพลางชี้ไปยังโต๊ะว่างสองตัวที่ริมห้อง

“สองครั้งก่อนล้วนมาตอนกลางคืนทั้งสิ้น คิดไม่ถึงว่าตอนเที่ยงจะมีคนมากมายเช่นนี้ หากรู้ก่อนพวกเราก็คงรีบเดินกันมาแล้วล่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ห้องโถงใหญ่ก็ห้องโถงใหญ่แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ในเมื่อมากันแล้วก็ลุยกันเลย ถึงอย่างไรก็แค่ข้าวมือเดียวเท่านั้นเอง”

“ก็ได้”

“เชิญด้านนี้เลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ผายมือให้ทุกคน

“ในเมื่อไม่มีห้องส่วนตัวแล้ว ก็มานั่งกับพวกเราไม่ดีกว่าหรือ” เสียงของซือหม่าโยวหยางดังมาจากทางประตู

พวกซือหม่าโยวเย่ว์มองไปด้านหลังก็เห็นซือหม่าโยวหยางและซือหม่าโยวฉิง รวมทั้งคนอื่นๆ อีกสี่ห้าคนเดินเข้ามาพร้อมกัน

“พี่โยวหยาง พี่โยวฉิง” เสี่ยวถูเห็นซือหม่าโยวหยาง จึงเรียกพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

“พวกเจ้าก็มากินข้าวเหมือนกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางของเสี่ยวถูแล้วดูจะสนิทสนมกับทั้งสองคนไม่น้อยเลย

ดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะเคยพบกันมาหลายครั้งแล้ว

“ถูกต้อง พวกเรามีสหายมาพบหลายคน จึงเชิญพวกเขามากินข้าวที่นี่น่ะ” ซือหม่าโยวหยางพูด “สองครั้งก่อนไม่พบน้องซีเหมินเลย พวกเขาบอกว่าเจ้ากำลังปลีกวิเวกอยู่น่ะ”

“อื้ม เพิ่งออกจากการปลีกวิเวกวันนี้เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ในเมื่อไม่มีห้องส่วนตัวแล้วก็ไปกินข้าวกับพวกเราสิ พี่จือเหยียนคงไม่รังเกียจกระมัง” ซือหม่าโยวหยางพูด

หั่วจือเหยียนถือพัดอันหนึ่งเอาไว้ในมือ เขาเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นสหายของพวกเจ้า ย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะ”

ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่อยากเข้าใกล้คนของตระกูลซือหม่ามากจนเกินไปนัก กำลังคิดจะปฏิเสธ แต่เจ้าอ้วนชวีกลับรับปากแทนเธอไปเรียบร้อยแล้ว

“เช่นนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก โยวหยาง”

ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้ว เรียกชื่อกันตรงๆ เสียแล้ว พวกเขาสนิทชิดเชื้อกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

………………………………………