มาริลินพูดจบก็เดินออกไปอย่างเร่งรีบ ห้องโถงใหญ่เป็นสถานที่ที่นางดูดซับพลังศรัทธาแห่งแสงแม้ว่าพลังศรัทธาในโลกมนุษย์จะลดลงไปมาก แต่ก็ยังมีผู้ศรัทธาอยู่อีกไม่น้อยเลย
ชาร์ลอตต์มองแผ่นหลังของมาริลินที่เดินจากไปและถอนหายใจ
ทำไมนะ ทำไมถึงรู้สึกว่ามาริลินเปลี่ยนไป
เด็กผู้หญิงที่บริสุทธิ์และตรงไปตรงมาคนนั้นดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลออกไปจากตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ชาร์ลอตต์ขยับปีกด้านหลังทั้งสิบสองเล็กน้อย จากนั้นรอยยิ้มขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ใช่สิ เขายังตกต่ำถึงขั้นที่ดูดซับพลังของเพื่อนทูตสวรรค์เพื่อที่จะได้เป็นทูตสวรรค์สิบสองปีกเลย การที่มาริลินจะเปลี่ยนไปก็คงจะเป็นเรื่องปกติสินะ
เพียงแต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ หรือว่าเขาก็แค่ปลอบใจตัวเองกันนะ
ชาร์ลอตต์ถอนหายใจเบาๆ และเดินออกจากห้องหนังสือไปช้าๆ
เพิ่งเดินออกห้องหนังสือมาชาร์ลอตต์ก็ได้พบกับดวงตาเฉียบคมคู่หนึ่ง เจ้าของดวงตาคู่นี้กำลังมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่คล้ายยิ้มนักเมื่อมองตรงไปก็ทำให้มีความหวาดกลัวอยู่ในใจ
“คุณหนูอ้าวชวาง…เทพีไม่ได้อยู่ที่นี่ครับ ไปที่ห้องโถงใหญ่แล้ว” ชาร์ลอตต์กลืนน้ำลายเล็กน้อย เขารู้สึกหวั่นเกรงเด็กผู้หญิงที่มีผมสีดำและดวงตาสีดำตรงหน้าเขา ความรู้สึกนี้รุนแรงยิ่งกว่าที่มีต่อเด็กสาวตาแดงแห่งเผ่าปีศาจเสียอีก หลังจากได้เห็นความน่ากลัวของเปลวไฟสีดำของเด็กสาวเผ่าปีศาจ ทูตสวรรค์ทั้งสี่ของชาร์ลอตต์ก็หวาดกลัวนายน้อยไปเลย
แต่ว่าความกลัวของชาร์ลอตต์ที่มีต่อชีอ้าวชวางกลับยิ่งเพิ่มขึ้น
หากจะบอกว่านายน้อยเป็นดาบแหลมคมที่เต็มไปด้วยเลือด ทั้งโหดร้ายและกระหายเลือดจนไม่มีใครสามารถขวางได้ ชีอ้าวชวางก็คงเป็นดาบที่ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องเสียเลือดสักหยดและหลังจากถูกสังหารด้วยเพลงดาบอันงดงามของนางแล้วชีอ้าวชวางก็จะยิ้มและชื่นชมการร่ายรำที่สวยงามของนาง แม้ในลมหายใจสุดท้ายก็ไม่อาจโทษนางได้เลย
คนที่น่ากลัวเช่นนี้ชาร์ลอตต์ไม่อยากจะเผชิญหน้าด้วย นางนี่แหละที่จะเป็นคนที่หลอกล่อพวกเขาในลงไปในเหวลึกด้วยความเต็มใจ
“ข้าไม่ได้มาหานางแต่มาที่นี่เพื่อมาหาเจ้าโดยเฉพาะ” ชีอ้าวชวางยิ้มจางๆ
“มาหาข้าหรือ” ชาร์ลอตต์มองรอยยิ้มของชีอ้าวชวาง แต่หัวใจกลับรู้สึกบีบแน่น
“ใช่ ข้ามาหาเจ้า เพื่อเจ้าและคนที่เจ้ารัก ข้าว่าเรามาคุยกันดีๆเถอะ” รอยยิ้มของชีอ้าวชวางดูบริสุทธิ์ไร้พิษภัยแต่สิ่งที่พูดออกมานั้นทำให้ชาร์ลอตต์รู้สึกเป็นอันตราย
“อะไรนะ ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร” ฝ่ามือของชาร์ลอตต์เริ่มมีเหงื่อซึมออกมาแล้ว แต่เขาก็ยังคงพยายามควบคุมอารมณ์ให้คงที่อยู่
“เจ้าอยากให้ข้าพูดออกไปงั้นหรือ คู่รักคู่หนึ่งที่เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี พอเข้าสถาบันแห่งแสงด้วยกัน สุดท้ายแล้วคนหนึ่งก็ได้เป็นผู้เข้าสมัครรับเลือกเป็นเทพีแห่งแสง ส่วนอีกคนหนึ่งก็ได้เป็นทูตสวรรค์ที่คอยปกป้องเทพีแห่งแสง เดิมทีก็น่าจะเป็นการช่วยสนับสนุนกันและกันให้ได้ก้าวไปข้างหน้า ช่างน่าเสียดายที่โชคชะตาทำให้…” ชีอ้าวชวางเหลือบมองแล้วพูดคำเหล่านั้นออกมาอย่างเรียบนิ่ง
สีหน้าของชาร์ลอตต์เปลี่ยนเป็นขาวซีดไร้สีเลือด หมัดของเขาก็กำแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาวได้แต่มองชีอ้าวชวางอย่างแน่วแน่และพูดออกมาอย่างยากลำบาก “คุณหนูอ้าวชวาง เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไรกัน ขอแค่เจ้าอย่าทำร้ายนาง ข้าก็พร้อมจะตกลงไม่ว่าเรื่องอะไร ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณของข้าจะต้องตกนรกหมกไหม้ก็ตาม”
“จิตวิญญาณและร่างกายของเจ้าได้ตกลงไปในนรกด้วยความเต็มใจมาตั้งนานแล้ว”ชีอ้าวชวางยิ้มเยาะและพูดอย่างไม่เกรงใจ ไม่เข้าใจเลยที่คนเหล่านี้มักจะทำเหมือนว่าพวกเขาถูกบีบบังคับให้ทำให้สิ่งที่ไม่ดีอยู่เสมอ! “ที่ข้ามาหาเจ้าไม่ใช่ว่าจะมาทำร้ายนาง ตรงกันข้ามเลย ข้ามาเพื่อช่วยนางและช่วยพวกเจ้าต่างหาก เพื่อที่จะไม่ให้นางต้องเดินไปในทางที่ผิดจนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร” ชีอ้าวชวางพูดประโยคเหล่านี้ออกมาโดยที่ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของชาร์ลอตต์เปลี่ยนไปในที่สุดเขาก็คลายหมัดที่กำแน่นออกแล้วพูด “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับการพูดคุย เชิญคุณหนูอ้าวชวางตามข้ามา” ชาร์ลอตต์เดินนำไปข้างหน้า
ชีอ้าวชวางแย้มยิ้มเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้า จากนั้นก็เดินตามชาร์ลอตต์ไป
หลังจากทั้งสองไปแล้ว ร่างของเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ปรากฏขึ้น
“นายท่าน…” ร่างของชายชุดเทาที่อยู่ข้างๆเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน
เหลิ่งหลิงยวิ๋นเงียบ
“นายท่าน นางจะทำให้นายท่านไม่อาจฟื้นคืนได้อีกต่อไป…” ชายชุดเทามองแผ่นหลังของชีอ้าวชวางและพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ผู้หญิงคนนี้ นางไม่ใช่คนธรรมดาเลย…
“ถึงอย่างนั้นข้าก็เต็มใจ…” เสียงทุ้มต่ำของเหลิ่งหลิงยวิ๋นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่พอเขาพูดจบก็เดินไปข้างหน้าช้าๆ
ชายชุดเทาตกตะลึงอยู่ตรงนั้น มีคำมากมายที่อยากจะพูดแต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาวและเดินตามหลังไป
หลังจากคุยกับชาร์ลอตต์เสร็จแล้ว ชีอ้าวชวางก็ไปที่สวนด้านหลังอย่างอารมณ์ดี ภายในห้องที่มีเขตกั้นอยู่นั้น มีเหล่าเทพเจ้าที่กำลังโวยวายกันอยู่
“ไอ้เฒ่าบาร์เทล เจ้าทำให้ไพ่ของข้าเสียหมด” น้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวนี้ก็คือออสติน เทพเจ้าเอลฟ์นั่นเอง
“อะไรของเจ้า ข้าไม่ต้องพูดให้มากความก็จัดการได้แล้ว” น้ำลายของเทพเจ้ามังกรแทบจะกระเด็นใส่หน้าเทพเจ้าเอลฟ์แล้ว “เจ้าน่ะจบเห่แล้วยังมีหน้ามาพูดอีก”
“เหอะ!” ซิสทัลยิ้มและเตรียมเปิดไพ่
“หึ ข้าจะนำไปก่อน พวกเจ้าก็ต่อเลยนะ” คามิลล์ยิ้มเบาๆอย่างอ่อนโยนและนำไพ่ออกมา
ซิสทัลแทบกระอักเลือดและกรีดร้องออกมา
ชีอ้าวชวางยืนมองผู้คนเหล่านั้นอยู่ที่ประตูด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริงคำสัญญาของมาริลินตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ต่างอะไรกับการแสดงปาหี่หลอกเด็กเลย หลังจากที่หญิงผู้ทะเยอทะยานคนนี้ได้ลิ้มรสของอำนาจแล้ว พอนางล้มล้างศาสนจักรเพรสไบทีเรียนเสร็จ นางก็คงจะต้องรวบรวมกำลังพลเพื่อเริ่มสงครามศักดิ์สิทธิ์แน่นอน แววตาของนางมีแต่ความรุ่มร้อนอย่างปกปิดไม่มิด
จุดจบของสงครามศักดิ์สิทธิ์ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับมาริลินเท่านั้น ยังมีอีกวิธีที่แค่ลำบากครั้งเดียวก็จะสบายไปได้ตลอด
มาริลินมีอำนาจอยู่ในมือ แม้นางจะรับปากว่าจะยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่หลังจากที่ตนเองจากไปล่ะ ในวันข้างหน้าอีกพันปีหรือสองพันปีล่ะ ถึงเวลานั้นนางก็คงจะมีอำนาจมากจนทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับนาง หากนางคิดจะเริ่มสงครามศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใครที่ไหนจะขวางนางได้
แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่งนั่นก็คือการที่ทำให้ศาลแห่งแสงที่นางก่อตั้งและศาลแห่งแสงที่ศาสนจักรเพรสไบทีเรียนก่อตั้งต้องต่อสู้กันไปตลอดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากโลกเทพเจ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะยังมีความคิดที่จะริเริ่มสงครามศักดิ์สิทธิ์ได้อีกหรือ
ตอนนี้ผู้อาวุโสในศาสนจักรเพรสไบทีเรียนคงกำลังโกรธอยู่ พวกเขาเคยคิดว่ามาริลินเป็นพวกที่จัดการได้ง่ายๆ แค่ส่งคนมาจับตัวกลับไปก็ได้แล้ว แต่ผลกลับกลายเป็นอิทธิพลของมาริลินเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
แต่ความเข้มแข็งของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ยังคงมีอยู่ หากฝ่ายตรงข้ามรวบรวมกำลังพลจำนวนมากได้ ความแข็งแกร่งของมาริลินตอนนี้ก็คงสู้ไม่ได้อย่างแน่นอน
ต้องให้มาริลินได้ปรับตัวจนมั่นคงเสียก่อน จากนั้นค่อยรวมกำลังโจมตีเพื่อให้พวกเขารักษาสมดุลกันไว้ได้
สายตาของชีอ้าวชวางหยุดอยู่ที่ซิสทัลที่กำลังยิ้มอยู่พร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
ความสมดุลแบบตาชั่งนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้สิ่งที่จำเป็นคือต้องให้เป็นรูปสามเหลี่ยม
มาริลินศาสนจักรเพรสไบทีเรียนและเทพเจ้าแห่งความมืด
สมดุลแบบตาชั่งจะเสียสมดุลถ้าไม่ระวัง สมดุลแบบรูปสามเหลี่ยมเป็นรูปทรงที่มั่นคงที่สุด
“ฮัดเช้ย!” ซิสทัลจามออกมาอย่างรุนแรง หลายๆคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้นก็ต่างมองหน้ากันอย่างเจ็บใจ
ซิสทัลลูบจมูกตัวเองอย่างงุนงง เขาจามในวันที่อากาศดีขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
เวลานี้คามิลล์เงยหน้าขึ้นมองไปทางชีอ้าวชวางที่ยืนอยู่ตรงประตู รอยยิ้มอ่อนโยนตามแบบฉบับของเขาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า จากนั้นก็ยืนขึ้นและพูดกับทุกคน “พวกท่านเล่นกันไปก่อนนะ”
“ไม่ได้หรอก ขาดไปหนึ่งคนแล้วจะเล่นได้อย่างไร”
“ขาดไปหนึ่งเหลือแค่สามไปต่อไม่ได้หรอก”
“หากเจ้าไปแล้วเราจะเล่นกับใครล่ะ”
เทพเจ้าทั้งสามโห่ร้องออกมา
“ข้าจะไปเรียกนายน้อยมาแล้วกัน” คามิลล์ยิ้มจางๆ
“ตกลง ไปเรียกคนมาหนึ่งคน” พอผีพนันทั้งสามได้ยินดังนั้นจึงปล่อยให้คามิลล์ไป
คามิลล์เดินไปที่ประตูและมองชีอ้าวชวางจากนั้นก็พูดเบาๆ “ทำไม กังวลเรื่องอะไรอยู่หรือ”
ชีอ้าวชวางส่ายหัวเบาๆ “ไม่มีอะไรหลังจากสถานการณ์ระหว่างมาริลินและศาสนจักรเพรสไบทีเรียนมีความมั่นคงขึ้น ในโลกเทพเจ้าก็จะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
คามิลล์ขมวดคิ้วมองชีอ้าวชวางราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างแล้วพูด“เจ้ากำลังกังวลว่าต่อให้จัดการปัญหาในโลกเทพเจ้าได้แล้ว แต่ก็ยังยากที่จะจัดการกับโลกปีศาจใช่หรือไม่”
“อืม ข้าไม่รู้ว่าทำไมเฟิงอี้เซวียนถึงจำข้าไม่ได้”ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วแน่นแล้วพูด “แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับข้า”
“เขาจะบอกเจ้าเองเมื่อถึงเวลา ไปเถอะ ข้าจะชงชากุหลาบให้เจ้าเอง” คามิลล์เอื้อมมือไปลูบหัวชีอ้าวชวางด้วยความรัก
“ขอบคุณนะ” ชีอ้าวชวางยิ้ม ตอนนี้มือของคามิลล์อบอุ่นมาก รอยยิ้มของคามิลล์ก็อบอุ่นมากเช่นกัน นางเคยชินกับการที่มีคามิลล์อยู่ข้างกายโดยไม่รู้ตัวไปเสียแล้ว อบอุ่นเหมือนคนใกล้ชิดกัน แต่สิ่งที่คามิลล์พูดว่าเฟิงอี้เซวียนจะบอกนางเองเมื่อถึงเวลานั้น นางก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน
แต่กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นมันจะสายเกินไปน่ะสิ
ใจของชีอ้าวชวางเริ่มวิตกเพิ่มขึ้นอีก
“เหมียว?” ทันทีที่แมวล่าสมบัติได้ยินว่าชาก็นึกถึงของหวานขึ้นมาเลย
“ไม่ต้องห่วง มีของกินของเจ้าด้วย” คามิลล์บีบหูใหญ่ของแมวล่าสมบัติแล้วยิ้ม
เมื่อไปพบนายน้อย พอนายน้อยได้ยินว่าเล่นไพ่นกกระจอกก็รีบไปที่นั่นทันทีโดยไม่พูดอะไรสักคำเลย นางอยากเล่นของประหลาดที่ดูน่าสนุกนั่นมาตั้งนานแล้ว
ในห้องโถงเล็กที่เงียบสงบ ชีอ้าวชวางกำลังดื่มชาหอมของคามิลล์อยู่ ส่วนแมวล่าสมบัติก็กำลังกินขนมอบแสนอร่อยอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
“อ้าวชวาง เจ้าจะวางแผนอย่างไรต่อไป” คามิลล์นั่งลงและถามเบาๆ
“ก่อนอื่นก็ช่วยให้มาริลินยืนหยัดได้อย่างมั่นคงก่อนและจากนั้น…” ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นน่ะหรือ จากนั้นก็ไปที่โลกปีศาจ เฟิงอี้เซวียน…
“หลังจากแก้ไขในส่วนของโลกเทพเจ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ไปที่โลกปีศาจถูกหรือไม่” คามิลล์จิบชาของเขาแล้วค่อยๆพูด “โลกเทพเจ้าได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว มันมีการต่อสู้กันอยู่ภายใน แต่โลกปีศาจไม่ได้เป็นเช่นนี้ เผ่าปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่กระหายเลือด รุนแรงและแข็งแกร่ง พวกเขาจะยกย่องคนที่แข็งแกร่งเป็นราชา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้พวกเขายอมยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์” คามิลล์ช่วยชีอ้าวชวางวิเคราะห์ออกมา
“ข้ารู้…” ชีอ้าวชวางวางถ้วยชาลงแล้วถอนหายใจเบาๆ แต่เฟิงอี้เซวียนและนายน้อยกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นราชาแห่งโลกปีศาจล่ะแม้ว่าพวกเขาต้องการที่จะยุติ แต่หากราชาปีศาจไม่ยอม ทุกอย่างก็สูญเปล่า