ตอนที่ 52 ความอัปยศ!

โจวเจ๋อไม่คิดว่าหญิงไร้หน้าจะทำเรื่องโหดเหี้ยมไร้ซึ่งมนุษยธรรมได้ ข้อจำกัดของนางน่าจะมีมากกว่าตัวเองซะอีก ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องเลือก ‘แปลงกาย’ เป็นรูปลักษณ์ของหมอหลินเพื่อหาโอกาสใกล้ชิดตัวเองหรอก

เพียงแค่ว่าถูกคนประเภทนี้คร่ำครวญหา ไม่ใช่เรื่องที่รู้สึกดีอะไรเลยจริงๆ

นางสามารถแปลงเป็น ร.ป.ภ.ในห้างสรรพสินค้า แปลงเป็นคนขับรถบัส แปลงเป็นคุณยายที่รอคุณไปช่วยพยุงอยู่ข้างถนนและสามารถแปลงเป็นพี่สาวคนสนิทที่เรียกคุณเข้าบ้านเพื่อดื่มชาในตรอกซอยเล็กๆ ได้

ตราบใดที่คุณยังมีการเชื่อมความสัมพันธ์ ตราบใดที่คุณยังต้องการออกไปข้างนอก นางก็มีความสามารถในการเข้าหาคุณ และคุณต้องเตรียมพร้อมสำหรับการแอบซุ่มโจมตีจากใครก็ตามที่อยู่รอบตัวคุณ

โจวเจ๋อไม่เข้าใจว่านางต้องการอะไรจากตัวเองกันแน่ แต่จากประเภทนิยายเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่จะชอบดูดวิญญาณผู้ชายเพื่อเสริมพลังให้ตัวเอง หญิงไร้หน้าก็อาจมีจุดประสงค์พวกนี้เหมือนกันล่ะมั้ง

หรือว่านางอยากได้ร่างของตัวเองกันนะ

หรือว่านางอยากได้คุณสมบัติพนักงานชั่วคราวของตัวเองในตอนนี้ล่ะ

โจวเจ๋อไม่แน่ใจว่าสาวน้อยโลลิรู้เรื่องนี้หรือเปล่า แต่กลัวว่าต่อให้เธอรู้เรื่องนี้ ก็คงจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วย เพราะมีความเป็นไปได้มากว่า อาจจะเป็นสาวน้อยโลลิตั้งใจปล่อยหญิงไร้หน้าออกมาเป็นยมทูตช่วยจัดการเรื่องต่างๆ เสียเอง

หญิงไร้หน้าไม่ได้ลงมือกับตัวเองตรงๆ อาจเป็นเพราะมีเรื่องอื่นให้พะวงอยู่ แน่นอนว่าเมื่อมองดูไป๋อิงอิงที่ตอนนี้เชื่อฟังเป็นอย่างดีเลยละก็ เป็นไปได้ว่าหญิงไร้หน้าก็กลัวเล็บของตัวเองเช่นกัน

เมื่อตอนที่เขาลงไปในนรกครั้งแรกนั้น หญิงไร้หน้าอยากรั้งตัวเขาเอาไว้ แต่ปรากฏว่าถูกเล็บของเขาเองทำร้ายเข้าให้ ทำให้เขาต้องรีบเผ่นหนีไป บางทีครั้งนั้นคงทิ้งความทรงจำที่ลึกซึ้งไว้ให้นางจริงๆ ทำให้นางต้องวางแผนใช้ความงามจัดการตัวเขา

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย

พรายอำพัน

ที่ว่าเพิ่มแรงกระตุ้นสิบเท่าและร้อยเท่า คาดไม่ถึงว่าตัวเองสามารถควบคุมมันได้อีกด้วย

โจวเจ๋อไม่รู้สึกภูมิใจต่อความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของตัวเองเลย และมีเพียงความโศกเศร้าจางๆ ที่คาดเดาไม่ได้เท่านั้น

โจวเจ๋อนั่งพลิกดูหนังสือที่เคาน์เตอร์ไปเรื่อยเปื่อย และยังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับหญิงไร้หน้าในอินเทอร์เน็ตเผื่อจะค้นหาข้อมูลมีค่ามาได้บ้าง

ค้นหาข้อมูลอันมีค่าไม่เจอ แต่ดันค้นเจอภาพยนตร์เรื่อง ‘สายไม่ลับคังคังโป๊ย’ ของโจวซิงฉือแทน

จากนั้นโจวเจ๋อและไป๋อิงอิงใช้เวลาครึ่งบ่ายในการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ซ้ำอีกรอบ

มีบอสวายร้ายอยู่ในนั้น ไร้หน้าเช่นกันและก็สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นคนอื่นได้เหมือนกัน

หลังจากดูภาพยนตร์จบก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว โจวเจ๋อให้สัญญาณไป๋อิงอิงไปเปิดประตูร้าน

ไป๋อิงอิงลังเลเล็กน้อย “เถ้าแก่ไม่กลัวนางจะกลับมาอีกหรือ”

“กิจการไม่ทำแล้วเหรอ” โจวเจ๋อถามกลับ “หรือว่าคุณจะบริจาคข้าวของในหลุมศพ ผมจะได้ไปเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อหมุนเวียนเงินทุนของร้านสักหน่อยไหมล่ะ”

ศพผีสาวทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยังไปเปิดประตู

ศพผีสาวนางเป็นคนมีเงิน ตอนที่แม่นางไป๋ถูกฝัง ไม่ว่าดีหรือเลวอย่างไรก็เป็นถึงหญิงสาวทองพันชั่ง ข้าวของที่ฝังในหลุมศพน่าจะไม่น้อยเลยทีเดียว บวกกับที่แม่นางไป๋อยู่ในโลกมนุษย์มาสองร้อยปีแล้ว นางไม่อาจนำของพวกนั้นลงไปในนรกด้วยได้ เป็นธรรมดาที่จะต้องทิ้งเอาไว้

เมื่อเห็นไป๋อิงอิงที่มีโอกาสจำกัด สามารถออกไปได้เพียงไม่กี่ครั้ง ยังซื้อกระเป๋ากลับมาตั้งกี่ใบแล้ว โจวเจ๋อก็มีแผนในใจแล้ว

ในตอนแรกโจวเจ๋อยังสงสัยในตัวศพผีสาวตนนี้ว่า ขโมยเงินในร้านไปใช้จ่ายหรือไม่ แต่ต่อมาโจวเจ๋อก็พบว่าเงินในทั้งร้านทั้งหมดรวมกัน ยังไม่เพียงพอสำหรับกระเป๋าหลายๆ ใบของนางเลยด้วยซ้ำ จึงไม่คิดจะสงสัยอีก

ตอนแรกแม่นางไป๋ถึงกับจะนั่งเกี้ยวแปดคนหาม ไปรับสวี่ชิงหล่างที่มีห้องชุดยี่สิบกว่าห้อง และไป๋อิงอิงยังบ้าพวกถุงเครื่องหอมแบรนด์เนม สำหรับคนโสดบนโลกใบนี้แล้ว นี่ไม่ใช่ข่าวดีอะไรแน่นอน หมายความว่าแม้คุณจะตายกลายเป็นผีก็ยังยุ่งยากอยู่ดี

หลังจากเปิดร้านได้ไม่นาน และขณะที่โจวเจ๋อไปชงชานั้น มีชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในร้าน

ไป๋อิงอิงยืนอยู่ที่เดิมพลางจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง

โจวเจ๋อก็มองหน้าอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว แม้สติปัญญาบอกกับตัวเองว่า หญิงไร้หน้าไม่น่าจะใจร้อนรีบเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นอีกคนเข้ามา แต่ก็ยังต้องเตรียมป้องกันสักหน่อย

ชายวัยกลางคนสวมเสื้อแจ็กเก็ตหนังที่ถูกฟอกขาวอยู่หลายจุด สวมรองเท้าหนังที่ค่อนข้างเก่าและสวมกางเกงเป็นแบบสแล็ก ไม่หรูหราฉูดฉาดมากนัก

เขายังสวมหมวกทรงสูงบนหัวอีกด้วย ดูๆ แล้วน่าขันเล็กน้อย

ชายวัยกลางคนเดินไปที่ชั้นหนังสือและถูฝ่ามือของเขาโดยไม่รู้ตัว เตรียมจะหาหนังสืออ่าน แต่เมื่อมองซ้ายทีขวาที เขาก็ขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อยๆ และบ่นไปพร้อมๆ กัน

“เถ้าแก่ ตรงนี้ของคุณมีแต่นิยายและเรื่องเลอะเทอะประเภทนี้ ไม่มีหนังสืออย่างอื่นให้อ่านเลยเหรอ”

“มีอยู่ตรงนี้”

โจวเจ๋อส่งสัญญาณให้ไป๋อิงอิงย้ายกล่องหลังเคาน์เตอร์ออกไป

ไป๋อิงอิงก็ทำตามคำสั่ง

อีกฝ่ายนั่งยองๆ เลือกหนังสือจากในกล่องไปเรื่อยๆ และพลิกดูหนังสืออยู่หลายเล่ม เรื่องตรงหน้าปกแทบจะทนดูไม่ได้เลย

อย่างเช่นเรื่องอาปิน เหมินฝัง เฉินผีผี

ชายวัยกลางคนโกรธจนนิ้วสั่น ผลักกล่องไปข้างหน้า

“คุณเอาของพวกนี้มาให้ผมทำสากกะเบืออะไร!”

ชายวัยกลางคนโกรธมาก ยืนขึ้นและชี้ไปที่โจวเจ๋อ

“ตอนนี้ร้านหนังสือไร้ยางอายกันไปหมดแล้วหรือไง! อำพรางคนชั่ว อำพรางเรื่องชั่ว!”

โจวเจ๋อจุดบุหรี่และยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นวางบนเคาน์เตอร์โดยไม่สนใจผู้ชายคนนี้

ชายวัยกลางคนหันกลับมาอย่างโกรธเคืองและเตรียมจะจากไป แต่เมื่อเขาเดินไปถึงหน้าประตูร้าน เขาหันกลับไป เจอว่ายังพอมีหนังสือจริงๆ จังๆ อยู่บ้างบนชั้นหนังสือเล็กๆ ตรงประตู เขาหยุดก้าวเดินในทันทีและเลือกหนังสือ ‘เค้าโครงประวัติศาสตร์จีน’ เล่มหนึ่งของคุณเฉียนมู่ออกมาจากด้านใน จากนั้นนั่งลงบนม้านั่งเล็กๆ และเริ่มอ่านหนังสือ

โจวเจ๋อก็ไม่สนใจเขาเช่นกัน ยังไงซะร้านหนังสือของเขาก็เปิดตลอดอยู่แล้ว ไม่ว่าคนหรือผีต่างก็มาได้ และที่ไม่ใช่ทั้งคนและผีก็ได้เหมือนกัน ก็เป็นเพียงช่วงเวลาในตอนนี้ ที่จะกวดขันเข้มขึ้นสักหน่อย จำเป็นต้องระมัดระวังความเคลื่อนไหวของหญิงไร้หน้าให้มากขึ้นก็เท่านั้นเอง

ในเวลานี้โทรศัพท์มือถือของโจวเจ๋อพลันดังขึ้น เมื่อหยิบมือถือออกมาก็พบว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของน้องภรรยา

“ฮัลโหล” โจวเจ๋อตั้งใจฟังโทรศัพท์อย่างจริงจัง

คราวก่อนเป็นวีแชทของหมอหลิน คราวนี้เป็นเบอร์โทรศัพท์ของน้องภรรยา เป็นไปได้ว่าหญิงไร้หน้าจะมาแนวพีจีครึ่งแรกอีกครั้ง

“พี่เขย…” น้องภรรยาพูดอ้อนๆ ที่ปลายสาย

โจวเจ๋อตัดสายทิ้งในทันที

ผิดปกติ ผิดปกติมาก!

น้องภรรยาอ่อนโยนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นจังหวะของการรุกส่งพีจีในครึ่งแรก เหมือนหมอหลินบนรถมาเซริติในคืนนั้น ที่บอกว่าคราวหน้าจะใส่ถุงน่องอย่างไรอย่างนั้นเลย

โจวเจ๋อไม่คิดว่าตัวเองมี…ไม่สิ เป็นโจวเจ๋อที่ไม่คิดว่า ‘รูปร่างหน้าตาอย่างสวีเล่อ” จะมีความสามารถเพียบพร้อมในการเป็นนักฆ่าล่าหญิงได้

โทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้งและยังคงเป็นเบอร์ของเธอ

เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็รับสายโทรศัพท์

“ฮัลโหล”

“ไอ้สารเลวสวีเล่อ กล้าวางสายฉันเลยเหรอ!”

เพียงครู่เดียวคนก็ปรับโหมดเป็นปกติแล้ว

“มีอะไร” โจวเจ๋อตอบอย่างเย็นชา

“ฉันไปติวหนังสือที่เคเอฟซีกับเพื่อน แล้วถูกล้วงกระเป๋าสตางค์ไป นายมีเงินหรือเปล่า ให้ฉันสักเจ็ดแปดพันก็พอแล้วเผื่อเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินน่ะ”

โจวเจ๋อตัดสายโทรศัพท์ทิ้งไปอีกครั้ง

อืม ยังคงเป็นหญิงไร้หน้าอย่างแน่นอน

แม้ว่าจะไม่ใช่หญิงไร้หน้าก็ตาม แค่ได้ยินว่า ‘เจ็ดแปดพัน’ ก็เพียงพอที่โจวเจ๋อจะปักใจเชื่อแล้วว่าเธอคือหญิงไร้หน้าปลอมตัวมาอย่างแน่นอน

ใช่แล้ว มันต้องเป็นแบบนี้แหละ

สายเรียกเข้าอีกครั้ง โจวเจ๋อรู้สึกรำคาญเล็กน้อย ชายวัยกลางคนที่นั่งอ่านหนังสือคนนั้น ถึงกับขมวดคิ้วและมองไปที่โจวเจ๋อ เห็นได้ชัดว่าโทรศัพท์ของโจวเจ๋อดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า รบกวนการอ่านหนังสือของเขา

“ขอโทษครับ ผมจะปิดเสียง” โจวเจ่อพูดขึ้น

อีกฝ่ายก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

เพียงแต่น้องภรรยายังคงโทรหาไม่หยุด และโจวเจ๋อก็ทำได้เพียงรับสายอีกครั้งเท่านั้น

“สวีเล่อ นายอย่าเห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ยื่นมือเข้าช่วยสิ ฉันแค่จะเอาเงินจากนายก็เท่านั้น คิดเสียว่าฉันยืมนายก็ได้เอ้า แล้วฉันจะไม่บอกพ่อแม่และพี่สาวของฉันเรื่องแม่สาวมาเซราตินั่นโอเคไหม”

“เธอก็บอกไปเลยเถอะ”

น้องภรรยา ‘บ้าเอ๊ย นายอย่าอยู่ในสภาพอย่างนี้สิ นายยังมีโอกาสรอดชีวิตนะ!’

ตั้งแต่ที่เขาชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปคราวก่อน เขามีเงินเหลืออยู่ในกระเป๋าเพียงไม่กี่พันหยวน ถ้าเอาให้เธอไปหมด ตัวเองก็ไม่มีอะไรจะกินน่ะสิ

“สวีเล่อ ขอร้องล่ะ ช่วยหน่อยนะ ฉันจะบอกความจริงกับนายก็ได้ ฉันไปผับดิสโก้กับพี่สาวคนหนึ่ง แล้วกระเป๋าสตางค์ของเราทั้งสองก็ถูกขโมยไป เรื่องนี้จะให้พ่อแม่และพี่สาวฉันรู้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาเฉ่งฉันตายแน่ๆ พี่สาวฉันคนนี้ยังต้องจ่ายค่าเรียนศิลปะพรุ่งนี้อีก ค่าเรียนเธอก่อนหน้านี้ก็อยู่ในกระเป๋าสตางค์นั้นแหล่ะ จะเลื่อนก็ไม่ได้แล้วด้วย”

“ก็ให้เธอติดต่อพ่อแม่เธอไปสิ” โจวเจ๋อพูด

“ฐานะทางบ้านของเธอไม่ค่อยดีเท่าไร เงินค่าเรียนก้อนนี้ก็เป็นเงินที่หามาจากการทำงานในช่วงปิดเทอมฤดูหนาว อีกอย่างครอบครัวของเธอไม่ยอมให้เงินแน่ๆ สวีเล่อ คิดเสียว่าฉันยืมเงินนายก็แล้วกันนะ รอฉันได้ค่าขนมของเดือนหน้าแล้วฉันจะคืนให้นาย”

โจวเจ๋อยังคิดอยากปฏิเสธ และในเวลานี้เอง

ปลายสายพูดอีกว่า “ตกลงอย่างนี้ก็แล้วกันนะ รถแท็กซี่เรามาถึงที่นี่แล้ว ยังดีที่ในวีแชทฉันมีเงินเหลืออยู่นิดหน่อยยังพอเรียกรถได้ ไม่อย่างนั้นนายก็คงไม่เจอฉันแล้ว”

สายโทรศัพท์ถูกตัดไป ผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาจากข้างนอกร้านหนังสือ

ทั้งสองน่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน สวมใส่เสื้อผ้าดูปกติทั่วไป แต่ตั้งใจแต่งหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน

เด็กผู้หญิงในวัยนี้เหมือนบัวที่เพิ่งผลิบาน ที่จริงแล้วการแต่งหน้าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย แต่น่าเสียดายที่วัยพวกเธอกลับไม่เข้าใจสิ่งนี้

โจวเจ๋อลุกขึ้นยืนและเดินออกไป

“สวีเล่อ พี่เขย ช่วยหน่อยน้า” น้องภรรยาเริ่มออดอ้อนกับโจวเจ๋อ

เด็กผู้หญิงข้างๆ เธอดูกลัวๆ นิดหน่อย ยืนท่าทางดูเก้ๆ กังๆ เกรงอกเกรงใจอยู่ข้างๆ น้องภรรยา

โจวเจ๋อกำลังคิดหาเหตุผลที่จะปฏิเสธ แต่ในขณะนี้เอง ชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ก็ลุกขึ้นยืน ลมหายใจของเขารุนแรงขึ้น เส้นเลือดที่คอของเขาโผล่ออกมา เหมือนกำลังติดสัดอย่างไรอย่างนั้น!

โจวเจ๋อใช้มือข้างหนึ่งกดไหล่เขาทันทีและจับชายคนนี้เอาไว้

ในขณะเดียวกันก็พูดกับไป๋อิงอิง “หยิบเงินมา”

ไป๋อิงอิงหยิบเงินห้าพันหยวนจากด้านหลังเคาน์เตอร์ส่งให้โจวเจ๋อ

โจวเจ๋อรับเงินด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วเอาให้น้องภรรยาพลางเอ่ยกำชับ

“ต้องคืนนะ”

“รู้แล้วน่า”

น้องภรรยารับเงินไปแล้วสายตาก็มองไป๋อิงอิงแล้วพูดว่า “หล่อนเป็นใคร”

“พนักงานของร้าน พี่สาวเธอก็รู้จัก” โจวเจ๋ออธิบาย

“อ้อ โอเค”

น้องภรรยาท่าทีอ่อนลง ดึงเด็กผู้หญิงเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ข้างๆ หันหลังเดินออกจากร้านหนังสือไปทันที

ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ โจวเจ๋อมีท่าทีจะไล่ตามออกไป แต่กลับถูกโจวเจ๋อหมุนตัวกลับไปและใช้สองมือกดให้อยู่กับกระจกหน้าต่าง

ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนี้เกิดเป็นบ้าขึ้นมากระทันหันละก็ โจวเจ๋อจะให้เงินไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร

“เป็นหมาแล้วไม่กินขี้ ไม่ได้เลยใช่ไหม” โจวเจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เดิมทีฉันยังลังเลอยู่ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรต้องลังเลแล้ว ฉันจะส่งคุณกลับไปนรกก็แล้วกัน”

ชายวัยกลางคนยังคงดิ้นรน

“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาใช่ไหม” โจวเจ๋อหัวเราะอย่างโกรธจัด ชี้ไปที่กระจกหน้าต่างตรงหน้าแล้วพูดว่า “ดูหมวกที่คุณสวมอยู่บนหัวของคุณสิ มันเป็นหมวกอะไรกันแน่”

ชายวัยกลางคนมองไปที่กระจกหน้าต่างเขาเห็น ‘เงาสะท้อน’ ของตัวเอง

ในเงาสะท้อน ตัวเองสวมหมวกทรงสูงที่มีตัวอักษรสีดำตัวใหญ่สี่ตัวเขียนว่า ‘เลวเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน’ อยู่บนหมวก

ชายวัยกลางคนตกตะลึงและหยุดดิ้นรนในทันที และบ่นพึมพำอยู่ในปาก

“เป็นความอัปยศ…เป็นความอัปยศ…”

………………………………………………….