ตอนที่ 53 มติมหาชนย่อมสามารถละลายทองได้[1]

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 53 มติมหาชนย่อมสามารถละลายทองได้[1]

“โอ้ เลวเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานงั้นเหรอ”

เมื่อครู่สวี่ชิงหล่างที่กำลังจะปิดประตูร้านแล้วบังเอิญไปเห็น ‘ลูกค้า’ ในร้านของโจวเจ๋อเข้าจึงเข้ามาหยอกล้อ

“พี่ชาย ชุดของคุณทันสมัยพอตัวเลยนะ”

โจวเจ๋อชี้ไปที่หมวกทรงสูงบนศีรษะของชายวัยกลางคนและพูดว่า “นี่มันหมายความว่าอย่างไร”

“จะดูว่าดีหรือเลวก็ตอนตอกตะปูปิดฝาโลงน่ะสิ”

สวี่ชิงหล่างบิดขี้เกียจ

“เช่นเดียวกับจักรพรรดิโบราณ ราชินีและรัฐมนตรีที่มีตำแหน่งสูงกว่าจะมีตำแหน่งมรณกรรมหลังความตาย และก็เหมือนกับประกาศนียบัตรเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีผลการเรียนดีเยี่ยม ดี ผ่านและปานกลางอย่างไรล่ะ”

“ดังนั้น หมวกใบนี้เป็นการประเมินจากกระแสสังคมรอบตัว หลังจากเขาตายไปแล้วงั้นเหรอ”

“ประมาณนั้นล่ะมั้ง มันก็ขึ้นอยู่กับโชคด้วย คนธรรมดาหลังตายไปแล้วก็ไม่ใช่จะมีชื่อเสียง และก็ใช่ว่าจะสามารถได้รับสิ่งนี้ด้วย หรือต่อให้เป็นคนมีชื่อเสียงก็ไม่ค่อยมีกัน สรุปสั้นๆ ก็คือขึ้นอยู่กับโชคด้วย มันเหมือนกับที่คุณปีนออกจากนรกได้ แต่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของผีตนอื่นต้องไปเกิดใหม่ตามวัฏจักรอย่างสงบ อ้อ ผมจำได้ เหมือนมันถูกบันทึกไว้ในหนังสือว่า หลังจากฉินกุ้ย[2]เสียชีวิตก็มีหมวกทรงสูงอยู่บนหัวของเขาด้วยเช่นกัน บนนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘ให้ร้ายผู้จงรักภักดี’”

“งั้นหมวกบนหัวเยวี่ยอู่มู่[3]ก็เป็น ‘รับใช้ชาติด้วยความจงรักภักดี’ น่ะสิ”

“บ้า ตำแหน่งมรณกรรมใครใช้หมวกทรงสูงไปเดินขบวนพาเหรด กันล่ะ”

โจวเจ๋อปล่อยมือ มองฝ่ามือขวาของตัวเอง เตรียมเปิดประตูนรกและโยนเจ้านี่เข้าไป เมื่อครู่นี้เจ้านี่เกิดเห็นเด็กวัยรุ่นราวกับว่าเป็นวัวกระทิงมีความรัก เจ้านี่สมกับเป็นคนที่เลวเดรัจฉานจริงๆ มองดูภายนอกแล้วมีความสุภาพมีมารยาทและดูบุคคลิกปัญญาชนนิดหน่อย

“จะส่งผมลงไปเหรอ” ในเวลานี้ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะสงบลงแล้ว

“ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ” โจวเจ๋อถามกลับ

“ขอผมอ่านตอนสุดท้ายของเล่มนี้ให้จบได้ไหม” ชายวัยกลางคนหยิบเงินกระดาษออกมาจากกระเป๋าของเขา

“หึ คุณจะขอทานซื้อเวลาหรือ” ศพผีสาวที่อยู่ข้างๆ อดหัวเราะเยาะไม่ได้ “ดูเหมือนว่าชาติก่อนชีวิตคุณจะล้มเหลวจริงๆ แม้แต่ญาติของคุณก็ไม่บูชาของเซ่นไหว้ให้เลย”

เงินกระดาษที่คนตายมอบให้ด้วยตัวเอง จะแตกต่างจากเงินกระดาษที่คนเป็นเผาให้ แน่นอนว่าเงินกระดาษของคนตายโดยทั่วไป จะมากจะน้อยนั้นเกี่ยวข้องกับการบูชาเซ่นไหว้ของญาติแน่นอน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นคงทุ่มสุดตัวเผาอยู่นั่น จนเป็นมหาเศรษฐีในขุมนรกแล้วล่ะ

ชายวัยกลางคนเม้มริมฝีปากและมองไปที่โจวเจ๋อด้วยสายตาสัตย์ซื่อ “ได้โปรด”

สวี่ชิงหล่างจุดบุหรี่อยู่ข้างๆ เขา และไม่ได้พูดอะไร นี่เป็นเรื่องของโจวเจ๋อ เขาไม่เหมาะที่จะพูดแทรก

โจวเจ๋อเหลือบมองหนังสือ ‘เค้าโครงประวัติศาสตร์จีน’ ในมือของชายวัยกลางคนและพูดว่า “ผมเคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน ในความคิดของผม หนังสือเล่มนี้มีข้อผิดพลาดที่เห็นได้ชัดหลายประการ”

“หนังสือทุกเล่มที่มีคุณค่าทางวิชาการ ย่อมมีข้อผิดพลาดในตัวเองอยู่แล้ว ความผิดพลาดก็มาจากการสะสมของรุ่นก่อน” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“แต่ถ้าหนังสือทุกเล่มมีแต่คำพูดยกยอปอปั้นทั้งหมด จะมีความหมายอะไร” โจวเจ๋อถามกลับ

“ในจดหมายจากเจิงกั๋วฟานถึงเจิงจี้เจ๋อมีประโยคหนึ่งว่า ‘อย่าวิจารณ์ดูถูกคนโบราณ’ เถ้าแก่แม้ว่าคุณจะเปิดร้านหนังสือ แต่คุณไม่ใช่นักวิชาการ เบื้องหลังที่คุณเฉียนมู่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ตอนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ คุณเฉียนมู่ได้เตรียมแผนการที่เลวร้ายที่สุด ของการสูญสิ้นเอกราชของชาติไว้แล้ว เขาเขียนหนังสือเล่มนี้โดยคิดว่า ถ้าประเทศในอนาคตสูญสิ้นเอกราชจริงๆ ก็ยังมีคนที่สามารถแอบอ่านหนังสือเล่มนี้ ในช่วงกลางดึกค่อนคืนเพื่อรำลึกถึงอารยธรรมและมรดกของบรรพบุรุษเรา หนังสือประเภทการวิจารณ์และการเสียดสี ยิ่งเพิ่มความน่าอ่านมากขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ถ้าในอนาคตสูญสิ้นเอกราชขึ้นมาจริงๆ เมื่อมีคนเห็นหนังสือเล่มนี้ ท่ามกลางการเยาะเย้ยและวิพากษ์วิจารณ์ ใครเล่าจะมีใจนึกถึงประวัติศาสตร์อันเก่าแก่หรือยุคใหม่กันล่ะ”

ชายวัยกลางคนพูดจาฉะฉาน ถือหนังสือในมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างหนึ่งก็ปัดป่ายไม่หยุด

เหมือนกับครูกำลังสาธยายเหตุผลของตัวเองให้นักเรียนฟังอยู่บนโพเดียม ทั้งตื่นเต้นและอินกับมันมาก

“คุณเป็นครูใช่ไหม” สวี่ชิงหล่างยิ้มถาม “อ้อ ผมหมายถึงชาติก่อนน่ะ”

“ผมเป็นครูสอนภาษาจีนระดับมัธยมต้น” ชายวัยกลางคนตอบ

“เลวเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานจริงๆ ด้วย” สวี่ชิงหล่างแค่นเสียง “ผมไปนอนแล้ว ฝันดีนะเถ้าแก่โจว”

สวี่ชิงหล่างโบกมือหยอยๆ และออกจากร้านหนังสือไป ร่างที่สั่นไหวนั้นช่างอรชรอ้อนแอ้น

โจวเจ๋อหันไปมองไป๋อิงอิง “แผ่นหลังของเขาเมื่อสักครู่นี้ เหมือนกับแม่เล้าในหอนางโลมยุคสมัยนั้นของคุณหรือเปล่า”

“ยุคสมัยของข้าเหรอ” ไป๋อิงอิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นก็ส่ายหน้า “คณิกาชั้นสูงยังสวยไม่เท่าเขาเลยด้วยซ้ำ”

โจวเจ๋อหน้ามุ่ยและไม่แปลกใจกับคำตอบของไป๋อิงอิงเท่าไหร่

ชายวัยกลางคนนั่งลงอ่านหนังสืออีกครั้ง ดูเหมือนไม่มีอารมณ์ที่จะไปเดาว่าโจวเจ๋อจะยินยอมหรือไม่ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือการอ่านอีกสักหน่อย เผื่อบางทีอ่านแล้วจะเพลิดเพลินไปกับเส้นทางสู่นรกมากขึ้นอีกนิดหนึ่งก็ได้

เมื่อคิดๆ ดูแล้ว ก่อนหน้านี้ชายคนนี้ ดูร้อนรนชอบกลเมื่อได้เจอเด็กสาว โจวเจ๋อก็รู้สึกร้อนรนจนดูลนลานแทนเขา

“เถ้าแก่ ข้าว่าเขาดูค่อนข้างมีความรู้นะ” ศพผีสาวกระซิบกระซาบ

“เมื่อก่อนคุณหนูของคุณเคยคบหากับนักปราชญ์ยากจน มีความรู้มากโขเหมือนกันใช่ไหมล่ะ” โจวเจ๋อถาม

ไป๋อิงอิงพยักหน้า

“ตรงนี้ก็บอกไม่ได้เหมือนกันนะ” โจวเจ๋อก็ยากที่จะหาเชิงปริมาณ พูดได้แค่ว่า “ในบันทึกคุณจี้เซี่ยนหลิน บันทึกเอาไว้ว่า ‘ฉันไม่มีความปรารถนาอื่นในชีวิตนี้ ฉันปรารถนาเพียงแค่บันทึกไว้ว่า ได้สัมผัสใกล้ชิดหญิงสาวหลายๆ คนในหลายๆ วันจากทั่วทุกแห่ง’”

“ปัญญาชนตัณหามากจริงๆ ด้วยสินะ” ไป๋อิงอิงบ่นอุบอิบ

“ผู้ชายต่างก็ตัณหามากทั้งนั้น” โจวเจ๋อแก้คำพูด

ไป๋อิงอิงมองโจวเจ๋อและพูดอย่างสุภาพ “เถ้าแก่ คุณมีใจที่แน่วแน่มาก”

“ปะ ไปขัดห้องน้ำใหม่อีกรอบ”

“…” ไป๋อิงอิง

ไม่รู้ทำไม โจวเจ๋อถึงไม่รีบเปิดประตูนรก แล้วส่งชายวัยกลางคนเข้าไป แต่กลับนั่งลงตรงข้ามชายวัยกลางคนและหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูหน้าเว็บสบายๆ

“คุณชื่ออะไร” โจวเจ๋อถาม

อีกฝ่ายไม่ตอบ และดูเหมือนกำลังอยู่ในภวังค์บรรยากาศการอ่านหนังสือ

“ถ้าไม่ตอบ หนังสือก็ไม่ต้องอ่าน”

“เริ่นซินตู่”

โจวเจ๋อพยักหน้า เมื่อเขากำลังจะลองค้นหาชื่อเพื่อดูข่าวซุบซิบสมัยก่อนของชายคนนี้ ประตูร้านหนังสือก็ถูกผลักเปิดอีกครั้ง

น้องภรรยา ไปแล้วกลับมาอีกรอบ

“กลับมาทำไมอีกล่ะ” โจวเจ๋อยืนขึ้นและเอื้อมมือไปกดไหล่ของชายวัยกลางคนไว้โดยไม่รู้ตัว เขากลัวว่าชายคนนี้จะออกอาการขึ้นมาอีก

แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อประหลาดใจก็คือ ชายวัยกลางคนยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ โดยไม่มีท่าทีส่อแววกระวนกระวายเลยสักนิด

เอ๋ ครั้งนี้ว่านอนสอนง่ายแล้วเหรอ

น้องภรรยาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ถ่ายร้านหนังสือและถ่ายรูปของโจวเจ๋อ จากนั้นก็ส่งออกไป แล้วกดคลิกอัดเสียงและพูดว่า

“พี่ หนูก็บอกแล้วว่าบ่ายวันนี้ อ่านหนังสืออยู่ในร้านหนังสือของสวีเล่อ พี่ก็ไม่เชื่อ เอาน่าๆ หนูจะกลับไปอยู่นี่ไงกลับไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ จริงๆ เลยน้า อยากอ่านหนังสือเงียบๆ สักครู่หนึ่ง ก็ดันถูกรบกวนอีกจนได้”

หลังจากอัดเสียงส่งไปแล้ว น้องภรรยาก็แลบลิ้นและถอนหายใจโล่งอก

“เกือบไปแล้ว ดีที่ฉันยังไม่ทันจะได้เรียกรถ ไม่อย่างนั้นโป๊ะแตกแน่ๆ”

“เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าริไปสถานที่อโคจรพวกนั้นเลย จะเสียหายเอาได้ง่ายๆ”

โจวเจ๋อยังคงย้ำเตือน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่น้องภรรยาของตัวเองจริงๆ ก็ตาม แต่นี่เป็นการโน้มน้าวใจของคุณลุงวัยกลางคนที่มีต่อคนรุ่นหลังก็เท่านั้น

“โอเคๆ สวีเล่อทำไมนายถึงกลายเป็นเหมือนพี่สาวฉันอย่างนี้ไปได้ละเนี่ย” เห็นได้ชัดว่าน้องภรรยาฟังหูซ้ายทะลุหูขวา

“เด็กสาวคนนั้นล่ะ” โจวเจ๋อถาม

“เธอกลับบ้านไปแล้ว ฉันเพิ่งเห็นเธอเรียกรถไป บ้านที่เธอพักอยู่ไกลนิดหน่อยน่ะ เดิมทีฉันก็ตั้งใจจะเรียกรถกลับเหมือนกัน บังเอิญว่าพี่สาวฉันวีแชทมาหาเพื่อเช็คว่าฉันทำอะไรอยู่”

“เงินล่ะ”

“แน่นอนว่าเอาเงินให้เธอกลับไปด้วยน่ะสิ” น้องภรรยาพูดอย่างไม่ยี่หระ “วางใจได้ ไม่ใช่แค่ห้าพันหยวนหรือไง รอฉันได้เงินค่าขนมแล้วฉันจะคืนให้นายเอง”

“เธอเป็นคนให้คืนเหรอ” โจวเจ๋อถาม

“ใช่น่ะสิ ฉันไม่คืนจะให้เธอคืนหรือไงล่ะ พ่อของเธอเป็นอัมพาตอยู่ที่บ้าน ส่วนแม่ของเธอตั้งแผงขายอาหารเช้า ชีวิตมันไม่ง่ายเลย ฉันก็ไม่อยากเห็นเธอต้องลำบากไปทำงานหนักอีกแล้ว ยังมีอีกนะ ตอนช่วงมัธยมต้นเธอเคยถูกรังแกมาก่อน ดังนั้นตอนนี้ถึงได้เงียบเป็นเป่าสากอย่างนี้ ฉันมองว่าเธอเป็นพี่สาวที่แสนดี ก็ต้องดูแลเธอให้มากหน่อยใช่ไหมล่ะ เอาล่ะ สวีเล่อ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ฉันกลับก่อนนะ”

น้องภรรยาโบกมือและผลักประตูร้านหนังสือเดินออกไป

โจวเจ๋อนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง ดูโทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง และมองชายวัยกลางคนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้าเขาอย่างจริงจังอีกพักหนึ่ง

จากนั้นพึมพำกับตัวเอง “ทำเรื่องผิดมาจนถูกจับได้ แถมยังกระโดดตึกฆ่าตัวตายอีก”

ชายวัยกลางคนยังคงอ่านหนังสือต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรเลย แต่หมวกทรงสูงของเขานั้นชัดเจนและดูขัดหูขัดตาออกขนาดนั้น

นักโทษในสมัยโบราณต้องสลักชื่อไว้บนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตน แสดงถึงสถานะอันต่ำต้อย มีความคล้ายคลึงกันกับหมวกทรงสูงตรงหน้าใบนี้ แม้วิธีการจะแตกต่างกัน แต่ก็ได้ผลเหมือนกัน

ความเร็วในการทำงานของไป๋อิงอิงนั้นรวดเร็วมาก ทำอย่างไรได้ล่ะ เดิมทีนางถือว่าเป็นสตรีทองพันชั่ง เป็นลูกคุณหนูครอบครัวมั่งมีมาก่อน แต่ทำยังไงได้ ตอนนี้ต้องก้มหัวอยู่ใต้ชายคา บวกกับโจวเจ๋อที่รักความสะอาดเล็กน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาระงานของนางเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

“เถ้าแก่ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”

ไป๋อิงอิงถอดเสื้อคลุมออก นางไม่กลัวความหนาวเย็นเช่นกัน สวมแค่เพียงเสื้อแขนสั้นและเดินออกมาพร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ

ดูเหมือนจะอายุน้อย แต่เจริญเติบโตได้ดีมากทีเดียว

“เถ้าแก่ ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกอะไรกับข้าเลยล่ะ” ไป๋อิงอิงถามด้วยความสงสัย

“คุณเป็นคนตาย”

“แต่ว่าข้างดงามมากเลยนะเจ้าคะ” ไป๋อิงอิงทำท่าทางโปรยเสน่ห์

“ลืมมันไปเถอะ คุณ…”

“ไม่มีเถ้าแก่คนไหนยอดแย่เหมือนท่านอีกแล้ว” ไป๋อิงอิงกลอกตาใส่โจวเจ๋อ “จริงด้วย เถ้าแก่เมื่อครู่นี้ น้องภรรยาคนนั้นกลับมาอีกแล้วหรือเจ้าคะ ข้าได้ยินเสียงของนางไปถึงในห้องน้ำ”

“อืม กลับมาแล้วก็ออกไปแล้ว”

ทันใดนั้นโจวเจ๋อก็นึกอะไรออก

ไม่ถูกต้องสิ

ถ้าชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่รู้สึกอะไรกับไป๋อิงอิง เป็นเพราะไป๋อิงอิงเป็นผีดิบละก็ ถ้าอย่างนั้นทำไมเมื่อสักครู่ถึงไม่รู้สึกอะไรกับน้องภรรยาตัวเองเหมือนกันล่ะ

ตัดความเป็นได้ออกไป ก็จะได้คำตอบมาอย่างง่ายๆ

นั่นคือชายคนนี้มีความรู้สึกเฉพาะกับเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ น้องสาวภรรยาน่ะสิ

รายงานข่าวที่ค้นหาบนอินเทอร์เน็ตไม่มีรูปภาพ เพราะต้องการปกป้องความเป็นส่วนตัวของเด็กสาวที่ถูกล่วงละเมิด

เรื่องบางเรื่องก็อดที่จะคิดและไตร่ตรองไม่ได้ โจวเจ๋อได้พินิจพิเคราะห์หลายตลบก็ค่อยๆ ได้กลิ่นอะไรบางอย่างขึ้นมา

ดูเหมือนว่าน้องภรรยาจะหยาบคายมาก แต่ความจริงแล้วกับมีน้ำใจหาที่เปรียบไม่ได้ เหมือนกับเด็กสาวผู้โง่เขลาเสียจริงๆ

“เฮ้ เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นนักเรียนคนนั้นของคุณใช่ไหม” โจวเจ๋อปริปากถาม

ชายวัยกลางคนอ่านหนังสือต่อและไม่ตอบอะไร

โจวเจ๋อยื่นมือออกไปแล้วคว้าหนังสือในมือของอีกฝ่ายขึ้นมา “ผมถามคุณอยู่นะ”

ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองโจวเจ๋อ จากนั้นพยักหน้า

“สรุปแล้วคุณได้ล่วงละเมิดเธอหรือเปล่า” โจวเจ๋อถามอีกครั้ง

ชายวัยกลางคนก็ยังไม่ตอบอะไร

“ถ้ายังไม่ตอบดีๆ ผมจะส่งคุณไปนรกตอนนี้เลย” โจวเจ๋อขู่

“อ่านหนังสือจบแล้ว ออกเดินทางได้” ชายวัยกลางคนยืนขึ้นดูเหมือนจะรู้สึกสบายมาก

“คุณเลียนแบบเหวินเทียนเสียงใช่ไหม” โจวเจ๋อแขวะ

“ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไร ในเมื่อเธอเป็นนักเรียนของผม การที่ไม่ได้อบรมสั่งสอนเธอให้ดีมันเป็นความรับผิดชอบของผม” ชายวัยกลางคนตอบมาอย่างนี้

“หมายความว่ารายงานข่าวที่ผมเพิ่งอ่านนั้นเป็นข่าวปลอม คุณไม่ได้ล่วงละเมิดเธอ และเธอจงใจสาดโคลนใส่คุณและขอให้โรงเรียนชดใช้” โจวเจ๋อเม้มปาก

ถ้าอย่างนั้นก็คิดได้ง่ายๆ เด็กสาวคนนั้นก็น่าจะขโมยกระเป๋าสตางค์ของน้องภรรยาด้วย พร้อมหาเหตุผลแก้ตัวเสร็จสรรพ แล้วค่อยขอให้น้องภรรยาเอาเงินให้เธออีกห้าพันหยวน

เด็กสาวจากครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น ทำงานในช่วงปิดเทอมฤดูหนาว จะถ่อเอาเงินค่าเทอมห้าพันหยวนติดตัวไปสนุกที่ดิสโก้ด้วยอย่างนั้นเหรอ

น้องภรรยาตกหลุมพรางคนอื่นเข้าให้แล้ว

“บอกผมมา สรุปแล้วคุณได้ล่วงละเมิดเธอหรือเปล่า” โจวเจ๋อเอื้อมมือไปจับไหล่ชายวัยกลางคนแล้วถามอย่างจริงจัง

ชายวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องของผมไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”

“แม่งเอ๊ย นั่นมันเงินห้าพันหยวนของข้านะโว้ย”

โจวเจ๋ออยากตบเขาสักป้าบมาก แต่ยั้งมือไว้และยกมือขึ้นสะบัดลงบนหมวกอีกฝ่าย แต่เมื่อสัมผัสโดนหมวกของอีกฝ่ายนั้น โจวเจ๋อรู้สึกว่าฝ่ามือของเขาร้อนและเจ็บปวดเล็กน้อย

หมวกใบนี้ แข็งมาก ทำให้ตำแหน่งเล็บของตัวเองเกิดความรู้สึกปวดแสบเล็กน้อยได้

ดูอีกทีถึงแม้ว่าคนจะถูกสะบัดกระเด็นออกไป แต่หมวกใบนั้นก็ยังคงหยั่งรากลึกอยู่บนหัวของชายวัยกลางคนอยู่ดี

โจวเจ๋อนึกถึงคำพูดของสวี่ชิงหล่างก่อนหน้านี้ ‘มติมหาชนย่อมสามารถละลายทองได้’

ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ก็ไม่สามารถถอดหมวกใบนี้ออกได้อีกแล้ว

……………………………………………………….

[1] มติมหาชนย่อมสามารถละลายทองได้ หมายถึงเสียงคนข้างมากย่อมเปลี่ยนผิดให้กลายเป็นถูกและถูกกลายเป็นผิดได้

[2] ฉินกุ้ย อัครมหาเสนาบดีในรัชสมัยจักรพรรดิซ่งเกาจง เป็นผู้ที่โลภมากในทรัพย์และมีความเหี้ยมโหด

[3] เยวี่ยอู่มู่ นักรบกู้ชาติคนสำคัญในยุคราชวงศ์ซ่งใต้ เป็นแม่ทัพผู้ต่อต้านการรุกรานของชนเผ่าจิน