เล่มที่ 10 บทที่ 277 นำสบู่ไปเก็บเป็นอย่างดี

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

ฮวาเหนียงเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อเซียนจวีโหลวอย่างฉับพลัน ตัวอักษรสีทองสามตัวดูงามสง่าประหนึ่งมังกรทะยานหงส์ร่ายรำ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผ่านพายุฝนโหมกระหน่ำ หิมะน้ำค้างแข็งกัดเซาะ สีซีดไปไม่น้อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเป็นร้านอันดับต้นๆ ของเมืองโยวหลัน

ซ่งฉางชิงเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง เข้มงวดในทุกเรื่อง ไม่สนใจสิ่งอื่นใด มิเช่นนั้นคงไม่ครองตัวเป็นโสดมาจนถึงอายุสิบแปดปี

ด้วยคุณสมบัติของซ่งฉางชิง สตรีที่ยังไม่ออกเรือนทั่วทั้งเมืองโยวหลัน ขอเพียงซ่งฉางชิงยินยอม เขาจะเลือกผู้ใดก็ได้

แต่ยิ่งเป็นบุคคลเช่นนี้ หากเขามีความรัก…

ฮวาเหนียงรู้สึกตกใจ หรือว่าซ่งฉางชิงจะคิดเป็นอื่นกับเซี่ยยวี่หลัว?

บุรุษมีความสามารถ สตรีรูปโฉมงดงาม ไม่มีผู้ใดทัดเทียม หากเป็นยามปกติ ฮวาเหนียงรู้ว่านี่ต้องเป็นคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าประทานแน่นอน แต่มาบัดนี้ เซี่ยยวี่หลัวออกเรือนไปแล้ว

ท่านซ่งเป็นบุคคลเช่นไร ซ่งฉางชิงผู้นี้เคยพบเจอสตรีทุกประเภท จะถูกตาต้องใจสตรีที่มีสามีแล้วได้อย่างไร?

ต่อให้สตรีผู้นี้จะมีรูปโฉมงดงามประหนึ่งเทพธิดา ท่านซ่งก็ไม่มีทางทำอะไรซี้ซั้ว!

ไม่นานฮวาเหนียงก็รู้สึกโล่งใจ นางต้องคิดมากไปเอง คิดไกลเกินไปเป็นแน่

ถงเต๋อ “ฮวาเหนียง นี่เป็นผ้าที่คุณหนูกู้เลือกไว้ ถึงเวลาหากตัดเสื้อผ้าที่ต่างกันออกมา นางจะไม่พอใจหรือไม่ขอรับ? ”

ฮวาเหนียงส่ายหน้า “พวกเราตัดเสื้อให้ท่านซ่ง เสื้อนี่ท่านซ่งก็เป็นคนสวมใส่ หากตัดเสื้อสองตัวที่ท่านซ่งไม่ชอบ เช่นนั้นท่านซ่งถึงจะไม่พอใจพวกเรา! ”

ถงเต๋อเห็นว่าฮวาเหนียงกล่าวได้มีเหตุผล จึงนำผ้าสองพับนั้นไปเก็บบนชั้นวางสินค้า

ส่วนซ่งฉางชิงก็กำลังหรี่ตามองดูสบู่สองก้อนที่อยู่บนโต๊ะ

ก่อนหน้านี้เขาทิ้งไปในถังทิ้งกระดาษ เห็นเป็นสิ่งสกปรก ไม่รู้จักทะนุถนอม บัดนี้ ซ่งฉางชิงลูบสบู่สองก้อน มองดูราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า

ไม่รู้จริงๆ ว่าในหัวของนางมีอะไรบ้าง ทำสบู่เป็นเสียด้วย

ซ่งฉางชิงรู้สึกอยากขำ แต่กลับทำหน้าบึ้งตึง หยิบขึ้นมาก้อนหนึ่ง นำมาสูดดมเบาๆ ฮวาเหนียงบอกว่า นางผสมดอกจินหยินในนี้ มีกลิ่นหอมของดอกไม้เบาบางจริงด้วย หอมยิ่งนัก

สบู่นี่เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนทำเอง ไม่มีแม่พิมพ์อะไร สบู่ที่ทำออกมาดูหยาบๆ แต่ซ่งฉางชิงไม่สนใจแม้แต่น้อย

อย่างไรเสียในความคิดของซ่งฉางชิง จะให้ใช้ของดีถึงเพียงนี้เพื่ออาบน้ำ เขาไม่มีทางทำเป็นอันขาด

เขาอยากนำสบู่สองก้อนนี้ไปเก็บอย่างดี

ซ่งฉางชิงลุกขึ้นเสียงดังตึง หยิบกล่องไม้เคลือบเงาหนึ่งกล่องมาจากชั้นวางของ ในกล่องเคลือบเงามีจานฝนหมึกหนึ่งอัน เขานำออกมา วางไว้บนชั้นวางของ ก่อนจะใส่สบู่สองก้อนลงไปในกล่องไม้เคลือบเงา

สบู่นี่ช่างหอมนัก หากเก็บรักษาเป็นอย่างดี น่าจะเก็บได้ชั่วชีวิต

ซ่งฉางชิงมองกล่องไม้เคลือบเงาพลางเผยรอยยิ้ม จากนั้นจึงจัดเสื้อผ้าและปรับอารมณ์ หันเดินออกจากห้องไป

ตอนนี้เป็นเวลาเปิดร้านของเซียนจวีโหลว เขาต้องลงไปแล้ว

เซียนจวีโหลวที่เงียบสงบ หลังจากเปิดประตูก็ครึกครื้นขึ้นมา

ลูกค้าเข้าประตูใหญ่ของเซียนจวีโหลวอย่างต่อเนื่อง ตอนซ่งฉางชิงลงไป ในโถงใหญ่มีคนนั่งอยู่กว่ากึ่งหนึ่งแล้ว แต่ละคนกินดื่มอย่างรื่นเริง ส่งเสียงโหวกเหวกวุ่นวาย

ซ่งฉางชิงไม่ชอบความวุ่นวายเช่นนี้ เพียงกล่าวทักทายลูกค้าอย่างเรียบสงบ จากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังด้านหลังโต๊ะคิดเงิน จมดิ่งอยู่ในงานของตัวเองโดยสมบูรณ์

ไม่ได้ยินเลยว่าลูกค้าจำนวนไม่น้อยต่างก็กำลังพูดคุยถึงจอมยุทธหญิงผู้หนึ่งอยู่

“เหยาหลี่ซวีหาคนมากว่าหนึ่งวันแล้ว ยังหาจอมยุทธหญิงที่ทำความดีไม่ทิ้งชื่อไม่พบเลย ในเมืองโยวหลันของเรา หญิงครองเรือนที่งดงามมีจำนวนไม่น้อย หากหาไปทีละบ้านเช่นนี้ คงได้หาไปจนถึงปีหน้าน่ะสิ! ” มีคนทอดถอนใจ

“ข้าได้ยินมาว่า หลี่เจิ้งขอรางวัลให้ฮูหยินผู้นี้จากอำเภอกว่างชางแล้ว หากหาคนไม่พบ แล้วจะส่งของขวัญไปที่ไหนเล่า? ”

“นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนทำความดีแล้วไม่ทิ้งชื่อไว้ ฮูหยินท่านนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”

ระหว่างที่ดื่มสุรากัน เมื่อทุกคนกล่าวถึงเรื่องที่ฮูหยินผู้งดงามกระโดดเตะทีเดียว ก็สามารถจับกุมหัวขโมยที่สองอาหลานเหยาหลี่ซวีตามจับมาหลายเดือนไว้ได้ ต่างก็พูดคุยกันอย่างออกรส

ซ่งฝูเดินผ่านแต่ละโต๊ะ ได้ยินทุกคนยังสนทนากันเรื่องเซี่ยยวี่หลัว เห็นท่าทางลูกค้าแต่ละคนเคารพเลื่อมใสเซี่ยยวี่หลัว ซ่งฝูก็แอบเบ้ปากทีหนึ่ง

กลับถึงด้านหลังโต๊ะคิดเงิน ซ่งฝูยังคงทำสีหน้าไม่พอใจ

เขารู้สึกไม่พอใจอยู่เต็มอก เมื่อครู่คนในห้องครัวต่อว่าเขาอีกแล้ว บอกว่าอยู่ดีๆ จะนำแป้งไปเก็บไกลถึงเพียงนั้นทำไม ตอนจะใช้ยุ่งยากแทบตาย

เขารู้สึกอัดอั้นอยู่เต็มอกพอดี เมื่อกลับถึงโถงใหญ่ได้ยินทุกคนกำลังพูดคุยถึงเรื่องคนดีที่ทำความดีแล้วไม่ทิ้งชื่อไว้ ยิ่งฟังก็ยิ่งโมโห ดีตรงไหนกัน ดีตรงไหนกัน?

เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนที่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

ทำให้ตอนนี้เขาถูกคนในครัวบ่น ทำอะไรก็ผิดไปเสียหมด

ซ่งฉางชิงนึกว่าเป็นเพราะเมื่อครู่ตนเองตำหนิรุนแรงเกินไป จึงคิดจะปลอบใจ “เรื่องเมื่อครู่…”

“คุณชาย แป้งเหล่านั้นพวกเราเปลี่ยนสถานที่เก็บดีหรือไม่ขอรับ ระยะนี้ทางห้องครัวบอกกล่าวมาหลายหนแล้ว บอกว่ายุ่งยากเกินไป” ซ่งฝูกล่าวอย่างไม่พอใจ “ภัตตาคารเปิดมานานขนาดนี้ ไม่เคยได้ยินเรื่องแป้งระเบิดมาก่อน ท่านว่าฮูหยินเซียวหลอกพวกเราหรือไม่ขอรับ! ”

จงใจกลั่นแกล้งกัน!

ซ่งฉางชิงมองซ่งฝูแวบหนึ่ง ซ่งฝูก้มหน้าลง กัดริมฝีปาก ทำท่าทางบ่งบอกว่าไม่เข้าใจ

“ฮูหยินเซียวนั่นก็แค่พูดไปอย่างนั้น ที่นางกล่าวว่าแป้งระเบิดได้ ใครเคยเห็นว่าแป้งระเบิดกัน? ไม่รู้ว่านางไปฟังมาจากที่ใด คิดว่าตัวเองมีประสบการณ์อยู่บ้างก็โอ้อวดไปทั่ว…” ซ่งฝูยังจะกล่าวต่ออีก

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียนจวีโหลว เขารู้ว่าต่อให้ตัวเองกล่าววาจาไม่พอใจบ้าง คุณชายก็จะไม่โมโห

“ทางห้องครัวรู้สึกขุ่นเคืองกับเรื่องนี้มาก หากท่านไม่เชื่อ ท่านสามารถไปถามที่ห้องครัวได้ ดูว่าทุกคนกล่าวอย่างไรกันบ้าง” ซ่งฝูกล่าวต่ออย่างไม่สบอารมณ์ “คนในห้องครัวต่างก็มีประสบการณ์ทำอาหารมาหลายสิบปี ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน และไม่เคยเห็นแป้งระเบิดมาก่อนด้วย”

ซ่งฉางชิงมองซ่งฝู สีหน้าเย็นเยียบ เม้มริมฝีปากบางเบาๆ ไม่ได้กล่าวอะไร

ซ่งฝูกล่าวจบแล้ว ไม่มีอะไรให้กล่าวอีก จึงก้มหน้ารอคุณชายตำหนิเขา

ซ่งฉางชิงไม่ได้กล่าวอะไร นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ

เขาเชื่อวาจาของเซี่ยยวี่หลัว ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่เขาเชื่อ จวบจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงเชื่อ เพียงแต่ เขาเชื่อ แต่คนอื่นไม่เชื่อ

บางที เซี่ยยวี่หลัวอาจจะแค่ฟังมาจริงก็เป็นได้

แต่เขาก็ยังเชื่อ!

“บอกห้องครัวว่าหากจะใช้แป้งก็ไปหยิบที่ห้องเก็บของล่วงหน้า เช่นนี้ก็จะไม่วุ่นวาย” ซ่งฉางชิงขยับตัวไปด้านหน้า พิงบนโต๊ะเพื่อคิดบัญชี

ซ่งฝูทำหน้าเจื่อน รู้ว่าคุณชายไม่คิดเปลี่ยนใจ ได้แต่บอกต่อวาจาของคุณชายให้กับทางห้องครัว

พอทางห้องครัวได้ฟังดังนั้น ก็ยังคงทอดถอนใจ

“ข้าทำอาหารมาสามสิบสี่สิบปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นแป้งระเบิดมาก่อน ใครกันที่เสนอความคิดไม่ได้ความเช่นนี้ หากให้ข้าเจอข้าจะเคาะหัวสักที” แม่ครัวคนหนึ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ

“เถ้าแก่ก็เหลือเกิน คำพูดดีๆ ไม่รู้จักเชื่อ กลับมาเชื่อคำพูดพวกนี้ เถ้าแก่เป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงเชื่อคำพูดเพ้อเจ้อเช่นนี้ได้” มีคนบ่นถึงซ่งฉางชิง

ซ่งฝูแบมือ กล่าวอย่างจนใจ “ข้าก็อับจนหนทางเหมือนกัน”

คุณชายให้ทำอย่างไร ก็ทำตามนั้น

คนในห้องครัวต่างรู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนความไม่พอใจไว้ ช่วยไม่ได้ ใครให้คุณชายเชื่อคำพูดเหลวไหลนี้เล่า!

ไม่รู้ว่าคนไร้สาระที่ไหนกล่าววาจาเพ้อเจ้อเช่นนี้ออกมา

แป้งน่ะหรือจะระเบิดได้?

พ่อครัวเหอเดินไปทางห้องครัวพลางหันกลับมากล่าว “หากแป้งระเบิดได้ ข้าจะหักคอตัวเองลงมาเลย”

ซ่งฝูพยักหน้า “จริงด้วย ข้าก็จะหักคอลงมาให้นาง”

ต้องถามว่าเซี่ยยวี่หลัวกล้ารับหรือไม่

เหลวไหลทั้งเพ!

เพิ่งสิ้นเสียง จู่ๆ ก็เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมดัง “ปั้ง” เสียงดังสั่นหวั่นไหว

ห้องครัวสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง คนในห้องครัวต่างรู้สึกอกสั่นขวัญหาย ทยอยวิ่งไปยังลานกลาง เหลียวซ้ายแลขวาด้วยอาการตื่นตระหนก “เกิดอะไรขึ้น? ”