บทที่ 241 ดูดาว

คู่ชะตาบันดาลรัก

เหรียญทองแดงถูกส่งให้พวกเขาคนละเหรียญ จี้เสียวอู่ดีใจมาก

สองด่านแรกเขาไม่ได้ผ่านมาได้ด้วยความสามารถของตนเอง ด่านที่สามถึงแม้เขาจะพึ่งพาตนเอง แต่สำหรับคนที่สนใจหนังสืออ่านเล่นอย่างเขาแล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ด่านนี้เขามีส่วนร่วมในการใช้พลังของตนเองจริงๆ

ในขณะที่กำลังมีความสุข จู่ๆ นักพรตซีเฉิงก็ถามขึ้นว่า “ท่านอยากไหว้ข้าเป็นอาจารย์หรือไม่”

จี้เสียวอู่กำลังเพลิดเพลินกับความสุขของตนเอง จู่ๆ ข้อศอกเขาก็ถูกกระแทก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าทุกคนมองมาที่ตน เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย

นักพรตซีเฉิงมองเขาแล้วถามอีกครั้งว่า “ท่านอยากไหว้ข้าเป็นอาจารย์หรือไม่”

จี้เสียวอู่ชี้ตนเอง “ข้างั้นหรือ”

นักพรตซีเฉิงพยักหน้า “ใช่”

จี้เสียวอู่ยิ่งรู้สึกสับสน สถานการณ์ในตอนนี้คืออะไรกัน ตอนแรกเขาทำตามที่หนังสือเขียนไว้ คุกเข่าหน้าเสวียนตูกวันเป็นเวลาหลายวันจนเข่าแทบแตกก็ไม่มีใครสนใจเขา เหตุใดจู่ๆ ถึงมีนักพรตจากเสวียนตูกวันท่านหนึ่งต้องการรับเขาเป็นศิษย์

ในโอกาสสำคัญเช่นนี้ตัวแทนที่ทำการทดสอบเพื่อคัดเลือกเจ้าสำนักจะต้องเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงในสำนักแห่งนี้ คนเช่นนี้ต้องการรับเขาเป็นศิษย์จริงหรือ

“ทำไม ท่านไม่ต้องการหรือ”

จี้เสียวอู่โพล่งออกมาว่า “ไม่ใช่นะขอรับ”

“หมายความว่าเจ้ายินดีงั้นหรือ”

จี้เสียวอู่สับสน

หมิงเวยพูดว่า “พี่ห้า ท่านนักพรตต้องการรับท่านเป็นศิษย์เป็นเพราะเขายอมรับในตัวท่าน ท่านมีความเห็นอย่างไรก็บอกอย่างตรงไปตรงมาได้เลยเจ้าค่ะ”

จี้เสียวอู่รับฟังคำแนะนำของนางเขาเรียบเรียงคำพูดของตนเองและตอบกลับไปด้วยความจริงใจ “ก่อนหน้านี้ข้าอยากเข้าเสวียนตูกวันมาโดยตลอด แต่ไม่มีวาสนา จนตอนนี้ท่านนักพรตต้องการรับข้าเป็นศิษย์ ข้าน้อมรับด้วยความยินดีอย่างที่สุด แต่ข้าน้อยมีครอบครัว และตำแหน่งหน้าที่จึงยังไม่สามารถตอบรับตามอำเภอใจได้ ต้องถามความเห็นจากพวกเขาเสียก่อน ท่านนักพรตไม่ทราบว่า…”

นักพรตซีเฉิงพยักหน้า “เจ้ามีจิตใจดีเป็นที่รักของครอบครัว ถ้าอย่างนั้นกลับไปถามครอบครัวก่อนแล้วค่อยมาให้คำตอบก็ได้”

จี้เสียวอู่ดีใจมาก “ขอบคุณมากขอรับ!”

เขาอยากถามนักพรตซีเฉิงมากว่าเห็นอะไรในตัวเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเพราะยังมีด่านที่ห้ารอพวกเขาอยู่ เขาจึงต้องเก็บงำเอาไว้

ทั้งเจ็ดได้กล่าวลานักพรตซีเฉิง และมุ่งหน้าไปยังประตูสุดท้าย

เหลือเพียงคำถามสุดท้ายการแข่งคัดเลือกเจ้าสำนักก็สามารถตัดสินผู้ชนะได้แล้ว ภายในศาลาหอดูดาวมีนักพรตเฒ่าผู้เก่งกาจนั่งรออยู่

เมื่อเห็นทั้งเจ็ดคนเดินมาถึงจุดหมายปลายทางเขาก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีคนมากมายถึงเพียงนี้ที่ผ่านมาถึงด่านสุดท้ายได้ คำถามนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก”

เขาทอดมองไปยังสถานที่ที่ฮ่องเต้ประทับอยู่และยกมือประกบกัน “พวกเราเสวียนตูกวันแตกต่างจากสำนักอื่นๆ เพราะเราเป็นผู้พิทักษ์แคว้นต้าฉีที่ยิ่งใหญ่ ในสมัยฮ่องเต้ไท่จู่ทรงขอให้ศิษย์พี่ซูสิงสร้างมิตรภาพระหว่างฮ่องเต้กับประชาชน

ตอนนี้แผ่นดินนี้ได้รับการก่อตั้งมาเป็นเวลาสี่สิบหกปีแล้ว เสวียนตูกวันได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้สองรัชสมัย แผ่นดินมีแต่ความรุ่งโรจน์ หากได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ก็ควรตอบแทนด้วยความรัก นอกเหนือจากการสังเกตการณ์ การสั่งสอนลูกศิษย์ยังมีหนึ่งภารกิจที่สำคัญกว่า” เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดคำสองคำออกไปว่า

“ปกป้องแผ่นดิน”

“เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ว่าต้องมีเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งเท่านั้น แต่ยังต้องมองเห็นความลับสวรรค์และปกป้องแผ่นดินได้ คำถามในบททดสอบสุดท้ายคือให้พวกท่านใช้พลังที่มีพยากรณ์โชคชะตาของแผ่นดินต้าฉี”

นักพรตผู้เฒ่ายื่นมือออกมา “การทดสอบเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ ภายในครึ่งชั่วยามให้บอกผลการทำนายกับข้า และบททดสอบนี้ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้ามาแทรกแซงโดยเด็ดขาด”

ยามที่เอ่ยประโยคนี้เขาส่งสายตาเตือนไปทางหมิงเวย การกระทำของนางในสองด่านแรกไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ใดเห็นแค่ไม่สนใจมันต่างหาก

จี้เสียวอู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกไปว่า “ท่านนักพรต คำถามนี้ข้าไม่สามารถ…”

นักพรตผู้เฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านต้องการถอนตัวหรือ”

จี้เสียวอู่พูด “ขอรับ ข้าไม่อาจพูดจาเหลวไหลได้”

นักพรตผู้เฒ่าพยักหน้าท่าทีของเขาดูผ่อนคลายลง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านเฝ้ามองอยู่ด้านข้างเถิดมาถึงหอดูดาวไม่ใช่เรื่องง่ายอาจไม่มีครั้งต่อไปแล้ว”

จี้เสียวอู่ดีใจ “ขอบคุณท่านนักพรตขอรับ”

นักพรตจากเสวียนตูกวันไม่ได้ไม่เห็นใจผู้อื่นขนาดนั้นเสียหน่อย

หยางชูมองเขาแล้วมองนักพรตผู้เฒ่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง!

นักพรตผู้เฒ่าจึงถามออกไป “คุณชายคิดจะใช้วรยุทธ์ผ่านบททดสอบนี้หรือ”

หยางชูมองใบหน้าอันเปล่งปลั่งของอีกฝ่ายแล้วยิ้ม “ข้าพยากรณ์ไม่เป็น นับประสาอะไรกับโชคชะตาของแผ่นดิน ในเรื่องใช้กำลังบังคับให้ผ่านด่านข้าเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน ท่านนักพรตอนุญาตให้ข้าเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ได้หรือไม่”

นักพรตผู้เฒ่าพยักหน้า “ในเมื่อข้าอนุญาตเขาไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่ท่านออกไป”

หยางชูยิ้มแล้วคารวะอีกฝ่าย “ขอบคุณท่านนักพรต”

นักพรตผู้เฒ่าโบกมือ “หากไม่รู้ไปอยู่ด้านข้างซะแล้วอย่ารบกวนพวกเขา”

“ขอรับ” หยางชูเดินไปด้านข้างอย่างเชื่อฟัง และนั่งลงข้างกายจี้เสียวอู่

ใช้กำลังผ่านด่านไปอะไรกัน ขนาดนักพรตซีเฉิงเขายังไม่สามารถรับมือได้ นับประสาอะไรกับนักพรตผู้เฒ่า พูดตามตรงหากให้เวลาเขาสักสิบปีแปดปีก็อาจจะประมือกับนักพรตผู้เฒ่าได้แต่ตอนนี้…อย่าทำให้ตนเองลำบากเลยดีกว่า

จวินโม่หลีเห็นภาพนั้นก็ยกมุมปาก

คุณชายสามตระกูลหยางปล่อยให้เขาสับสนไปหลายด่านตอนนี้ไปต่อไม่ได้แล้วหรือ ด่านนี้ชัดเจนมากมีเฉพาะผู้ที่เข้าใจเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมได้ ผู้ที่ไม่เข้าใจอย่าคิดฝันไปเลย! แต่เมื่อคิดถึงคำถามบททดสอบนี้สีหน้าของเขาดูจริงจังมากขึ้น

ทำนายโชคชะตาของแผ่นดินไม่เหมือนทำนายโชคชะตาในด่านแรก โชคชะตาของแผ่นดินถูกแทรกแซงได้ง่าย หากไม่ระวังก็จะหวนกลับมาทำร้ายตนเอง คำถามนี้สามารถตอบได้หรือไม่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ…

“เริ่มกันเลย” นักพรตผู้เฒ่าพูดจบเขาก็หลับตาลง

อวี้หยางนั่งลงเป็นคนแรกเขานั่งขัดสมาธิและหลับตาลง ศิษย์น้องของเขาก็เช่นกัน

เสวียนเฟยจัดเสื้อผ้าแล้วนั่งลงตามเช่นกัน ก่อนที่จวินโม่หลีจะนั่งลง เขาหันไปมองหมิงเวย

สองคนนั้น หนึ่งคนเป็นแค่มือใหม่ แน่นอนว่าทำนายโชคชะตาแผ่นดินไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นแค่คนนอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นการทำลายค่ายกลในด่านที่สองหรือพบวิญญาณชั่วร้ายในด่านที่สี่บ่งบอกได้ว่านางไม่ใช่แค่คนในแวดวงแต่มีความสามารถจริงๆ แต่การแทรกแซงโชคชะตาแผ่นดินนางยังกล้าที่จะทำด้วยหรือ

จวินโม่หลีคิดแล้วก็เห็นว่านางนั่งลงตามด้วย

นางกล้าจริงๆ หรือ

จวินโม่หลีรู้สึกประหลาดใจแล้วเขาก็หัวเราะในใจ

ช่างไม่ดูตนเองจริงๆ ช่างเถอะปล่อยให้นางดูไปละกัน อย่าพยากรณ์แผ่นดินไม่ได้ล่ะ เดี๋ยวจะเจ็บจนกระอักเลือดออกมา…

เขาหลับตาลงปล่อยความคิดฟุ้งซ่านออกไปให้หมด ตั้งสมาธิและรวบรวมพลังของตนเอง

เพราะนั่งนิมิตอยู่ทุกวัน จวินโม่หลีเข้าสู่ขอบเขตอันลึกลับได้อย่างง่ายดาย

สติสัมปชัญญะของเขาอยู่ในความว่างเปล่ามีความมืดมากมายอยู่ตรงหน้า เขามองไม่เห็นแสงสว่าง แต่กลับรู้สึกคล่องตัวมากขึ้น

เบื้องหน้าเขาเป็นท้องฟ้าที่มีดวงดาวประดับมากมายมีดาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในจิตสำนึกของเขา หลังจากค้นหาอะไรบางอย่าง เขาก็พบดาวแห่งโชคชะตาของตนเอง

นั่นคือดาวจรัสแสง

เริ่มจากชะตากรรมของเขา เขาแอบดูดวงดาวทีละดวง ทะเลดาวเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งอย่างช้าๆ

เมื่อจำนวนดวงดาวเพิ่มขึ้นเขายิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเหมือนจะถูกกดทับด้วยวัตถุหนักๆ ซึ่งของสิ่งนั้นใหญ่ขึ้นและหนักขึ้นด้วย

เขาถูกผลสะท้อนกลับแล้ว

จวินโม่หลีกัดฟัน เขายังอดทนต่อไป อีกสักครู่ รออีกสักครู่

รอให้เขาได้พบดวงดาวอีกจำนวนหนึ่งเชื่อมต่อกับทะเลดาว แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและได้อาเจียนออกมาเป็นเลือด

……………