บทที่ 242 ดาวตี้ชิง

คู่ชะตาบันดาลรัก

จี้เสียวอู่ตกใจ “เขาเป็นอะไร”

หยางชูพิงเสาศาลาและพูดบั่นทอนกำลังใจ “จะเป็นอะไรได้อีก ความสามารถคงไม่ถึงเลยพยากรณ์ไม่ได้”

“พยากรณ์ไม่ได้ถึงกับต้องอาเจียนเป็นเลือดเลยหรือ”

“การล่วงรู้ความลับสวรรค์มันจะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร เจ้าไม่เคยเห็นนักพยากรณ์หลายคนมีสภาพไม่สมบูรณ์หรือ เป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นได้รับผลสะท้อนกลับ สิ่งที่พวกเขาทำนายเป็นโชคชะตาของตนเองเท่านั้น แต่การพยากรณ์โชคชะตาของแผ่นดินคือการพยากรณ์โชคชะตาของผู้คนนับหมื่นคนซึ่งยากกว่าหลายร้อยเท่า”

จี้เสียวอู่คิดตามแล้วพยักหน้า “มีเหตุผล”

หยางชูมองจวินโม่หลีด้วยความรู้สึกยินดีปรีดา “เจ้าดูเขา เห็นได้ชัดว่าความสามารถไม่ถึงจึงพยากรณ์ไม่ได้”

ทันทีที่เขาพูดจบศิษย์อีกคนก็ตัวสั่นและอาเจียนออกมาเป็นเลือด

“ฮ่าๆๆ ไปอีกคนแล้ว!”

นักพรตผู้เฒ่าเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา หยางชูจึงหยุดหัวเราะในทันทีแล้วทำท่าท่างใส่ซื่อ

นักพรตผู้เฒ่าถามจวินโม่หลีและศิษย์อีกคน “พวกเจ้าสองคนจะถอนตัวจากการแข่งคัดเลือกเจ้าสำนักหรือไม่”

เรื่องการแทรกแซงความลับสวรรค์ มองเห็นก็คือมองเห็น มองไม่เห็นก็คือหมดหนทาง พลังไม่เพียงพอแล้วหากยังฝืนทำต่อไปไม่เพียงแต่จะมองไม่เห็นความลับสวรรค์เท่านั้น แต่ตนเองจะได้รับความเสียหายด้วย

ทั้งสองคนแม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำได้แค่เพียงพยักหน้า

นักพรตผู้เฒ่าพยักหน้า “พวกเจ้าพักผ่อนเถอะ”

“ขอรับ”

แล้วในด่านสุดท้าย มีสองคนที่ถอนตัวออกไป สองคนที่แพ้การทดสอบจึงเหลือเพียงเสวียนเฟย อวี้หยาง และหมิงเวยที่ยังเข้าร่วมการทดสอบอยู่

สายตาของนักพรตผู้เฒ่ามองไปที่หมิงเวยพลางครุ่นคิด

แม่นางผู้นี้นอกเหนือจากพลังที่ด้อยกว่า แต่ในด้านอื่นๆ นับว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง

ในด่านแรก นางช่วยให้จี้เสียวอู่ผ่านการทดสอบได้อย่างสบายๆ ด้วยการใส่พลังบนผ้าเช็ดหน้าเพื่อเปลี่ยนเป็นอาวุธวิเศษชั่วคราวนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แม้แต่เสวียนเฟยและอวี้หยางยังดูไม่ออก

ในด่านที่สองยิ่งน่าทึ่งกว่าผู้เข้าร่วมแต่ละคนเมื่อเข้าสู่กระดานหมากรุก ตำแหน่งของศิษย์ทั้งเจ็ดจะแตกต่างกัน นางมองตำแหน่งของศิษย์ทั้งเจ็ดและคำนวณทิศทางของค่ายกลฉีเหมินสิบสามชุดได้ในช่วงเวลาอันสั้น จากนั้นก็บอกแก่จี้เสียวอู่ ช่างเป็นความสามารถในการคำนวณที่น่าทึ่งมาก

จำเป็นต้องรู้ว่านั่นคือค่ายกลฉีเหมินสิบสามชุด ซึ่งแต่ละค่ายกลนั้นไม่ใช่ง่ายๆ นับประสาอะไรกับค่ายกลฉีเหมินสิบสามชุด ในช่วงเวลาอันสั้นนี้สามารถคำนวณสองสามตำแหน่งได้อย่างแม่นยำถือว่าไม่เลวเลย ค่ายกลสิบสามชุดแม้เขาจะคำนวณได้ แต่เวลาเช่นนั้นก็สั้นเกินไป

เมื่อเทียบกันแล้วนางเข้าสู่สนามรบด้วยตนเอง ใช้ค่ายกลกำจัดคู่ต่อสู้ออกจากสนามไปทีละคนซึ่งไม่ได้น่าทึ่งขนาดนั้น

ในด่านที่สามแสดงให้เห็นว่านางมีความรู้หลากหลาย หลายคนคิดว่าเสวียนชื่อศึกษาแค่เคล็ดวิชาก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เสวียนชื่อต้องเรียนเคล็ดวิชาจึงจะสามารถขับไล่ภูตผีปีศาจ ปราบปรามวิญญาณชั่วร้ายได้ และยังต้องรอบรู้ทุกศาสตร์สามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมในใต้หล้าได้ด้วย

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพื้นฐานของนางอยู่ในระดับที่ดีมากนางจะต้องมาจากสำนักโดยตรงเป็นแน่

เมื่อมาถึงในด่านที่สี่ไม่เพียงแค่เปิดเผยชะตาที่พิเศษของตนเอง แต่ยังทำให้ผู้คนได้เห็นถึงการตัดสินใจชี้ขาดของนางด้วย

นางเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่าหญิงสาวนางนั้นผิดปกติจึงไม่ลังเลที่จะใช้ร่างกายที่อยู่ระหว่างหยินและหยางของตนนำวิญญาณชั่วร้ายเข้าสู่ร่างกายของตนเอง

ไม่ว่าจะเป็นเสวียนเฟยหรืออวี้หยาง คำถามในสี่ด่านแรกพวกเขาทำได้ดี แต่ในแง่ของความเชี่ยวชาญยังด้อยกว่านางเล็กน้อย นักพรตผู้เฒ่านึกย้อนความทรงจำของตนเอง แต่กลับไม่พบสำนักสืบทอดที่สอดคล้องกันเลย

เป็นสำนักแบบไหนกันแน่ถึงได้สั่งสอนศิษย์เช่นนี้ได้ ต้องไม่ใช่ลูกศิษย์คนไร้นามอย่างแน่นอน เสียงอู้อี้ของอวี้หยางดึงสติของนักพรตเฒ่ากลับมา

เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก็เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากของอวี้หยาง แต่อีกฝ่ายไม่ได้ลืมตา และยังคงพยายามที่จะพยากรณ์ต่อ

จากนั้นก็หันไปมองเสวียนเฟย เขาไม่ได้อาเจียนเป็นเลือดแต่คิ้วของเขาก็ขมวดกัน แล้วเขาก็หันไปมองแม่นางผู้ซึ่งมีที่มาที่ไปที่ไม่สามารถอธิบายได้ มีนางเพียงคนเดียวที่ยังดูสงบเหมือนครั้งตอนเริ่มต้น

เป็นเพราะนางยังไม่ได้พยากรณ์ไปถึงระดับนั้นหรือว่า…นางแข็งแกร่งมากกว่าเสวียนเฟยและอวี้หยาง

นักพรตเฒ่าไม่ชอบคำตอบหลังมาก แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าคำตอบที่ตนไม่ชอบมากที่สุดคือคำตอบที่ถูกต้อง

เสวียนตูกวันเป็นสำนักประจำแผ่นดินฉีเหนือ เป็นสำนักที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า แต่ตอนนี้พวกเขากลับพบว่าลูกศิษย์ชั้นยอดของตนไม่เก่งกาจเท่าเด็กสาวที่ไม่รู้ที่มาที่ไปนางหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกเกินไป…

คิ้วของเสวียนเฟยขมวดแน่นเขาเริ่มรู้สึกลำบากขึ้นแล้ว

การพยากรณ์โชคชะตาของแผ่นดิน พวกเขาต้องหาดาวแห่งโชคชะตาของตนเองก่อนจากนั้นจึงใช้ดาวแห่งโชคชะตาสอดแนมโชคชะตาของผู้อื่นทีละคน หากมองเห็นดาวแห่งโชคชะตามากพอ แม้ทะเลดาวจะก่อรวมกันเป็นหนึ่ง แต่ก็สามารถมองเห็นแนวโน้มของใต้หล้าได้

“อึก!” อวี้หยางมีเลือดไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเขาก็อาเจียนออกมาอย่างหนัก

ทะเลดาวในห้วงคำนึงของเขาได้เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว ส่องแสงกะพริบวิบวับ เป็นเพราะทักษะของเขาไม่เพียงพอจึงเห็นเพียงส่วนเดียว และส่วนอื่นกำลังจะหายไป

“อวี้หยาง!” นักพรตผู้เฒ่าตะโกน “ข้าจะนับถึงสิบถึงเวลานั้นเจ้าต้องหยุดซะ หนึ่ง สอง…”

นักพรตผู้เฒ่ารู้สภาพของอวี้หยางเป็นอย่างดี หากเขายังดึงดันทนต่อไป ร่างกายจะถูกทำลาย และเมื่อถึงเวลานั้นลูกศิษย์ที่ตนฝึกฝนมาอย่างยากลำบากคงทนรับต่อไม่ไหวเป็นแน่

อวี้หยางได้ยินและเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที เขามีเวลาแค่นับถึงสิบเท่านั้น หากเขามองไม่เห็นโชคชะตาแผ่นดินก็ถือว่าตนแพ้

เขาอดทนจนถึงวินาทีสุดท้าย เขากันเมฆหมอกออกไปและมองไปที่ทะเลดาว…

“อึก!” เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง

นักพรตผู้เฒ่าลงมือในทันทีเขาสกัดจุดที่หลังคออีกฝ่าย ถ่ายเทกำลังภายในเข้าไป

อวี้หยางอาเจียนออกมาเป็นเลือดติดต่อกันและหยุดลงในที่สุด

“อาจารย์อา” อวี้หยางลืมตาขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ข้าเห็นแล้วๆ!”

นักพรตผู้เฒ่าเก็บมือแล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าเห็นอะไร”

“ข้าเห็น…ดาวมารปรากฏตัวขึ้น…แผ่นดินกำลังตกต่ำ”

สิ้นเสียงของเขาสีหน้าของนักพรตผู้เฒ่าเปลี่ยนไป

“เจ้าพูดอะไรออกมา!” เขาตะคอกใส่

“ดาวมารปรากฏตัวขึ้น…มีดาวมาร” น้ำเสียงของอวี้หยางมีความสับสนปะปนกับความหวาดกลัว

คำพูดนี้ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้มองไปที่หอดูดาวด้วยแววตามืดมน

นักพรตผู้เฒ่าสงบอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วและกล่าวกับเขาว่า “ด้วยทักษะของเจ้า การพยากรณ์โชคชะตาแผ่นดินคงหนักหน่วงเกินไปเจ้าไปรักษาตัวก่อนเถอะ”

“อาจารย์อา!” อวี้หยางอยากจะพูดมากกว่านี้

“ไปรักษาตัวซะ!” นักพรตผู้เฒ่าเอ่ยเสียงต่ำ

อวี้หยางทำได้เพียงกลืนคำพูดต่อไปด้วยความไม่เต็มใจ “ขอรับ…”

นักพรตผู้เฒ่าจะไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้หรือ เพียงแต่คำพูดนี้สามารถพูดออกมาลอยๆ ได้อย่างไรกัน บางครั้งประชาชนก็ต้องการฟังคำพูดที่ไม่เป็นจริง

เขามองไปยังเสวียนเฟย และหวังว่าเสวียนเฟยจะพยากรณ์ผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผลกว่านี้…เสวียนเฟยในตอนนี้รู้สึกสับสนเมื่อต้องเผชิญกับทะเลแห่งดวงดาวขนาดใหญ่

เขามองไม่เห็นดาวมารที่อวี้หยางพูดถึง แต่กลับเห็นเมฆปกคลุมดวงดาวจื่อเว่ยซึ่งเป็นสถานที่ที่ดาวตี้ชิงสถิตอยู่ ดาวตี้ชิงมืดสลัวใต้หล้ากำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย

นอกจากนี้เขายังเห็นดาวอันโดดเดี่ยวที่มืดสลัวดวงหนึ่งซึ่งลอยอยู่ไม่ไกลจากดวงดาวจื่อเว่ย

เสวียนเฟยคิดว่าดาวดวงนี้แปลกมากหลังจากสอดแนมสักพักเขาก็พบว่ามันมีลักษณะของดาวตี้ชิง

ดาวอันมืดสลัวดวงหนึ่งเดิมทีโชคชะตาของมันไม่ควรเป็นเช่นนั้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงถูกผลักออกไปจากวิถีเดิม

ดาวตี้ชิงที่ซุ่มซ่อนอยู่เหตุใดถึงมีเรื่องแปลกเช่นนี้เกิดขึ้นได้…

………