พู่ห้อยหยกสีครามลอยกลับมาในมืออันหลิน แผ่ไอเย็นจางๆ

“ข้าเชื่อมพันธะกับดวงใจแห่งสมุทรได้สำเร็จ ตอนนี้เป็นของข้าแล้วนะ” อันหลินถามยิ้มๆ

เหยียนเมิ่งปิดปาก ยังตกอยู่ในภวังค์ พึมพำว่า “เป็นไปได้อย่างไร…”

เฮยมู่ หลิวหั่วและหวงสือยังคงอยู่ในความตะลึง พูดไม่ออก

ใช่แล้ว มันน่าตะลึงเกินไปแล้ว! โดยเฉพาะคนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอย่างพวกเขา รู้ดีแก่ใจว่าไม่มีเหตุการณ์ที่วัตถุบรรพกาลยอมรับเจ้าของมาร่วมร้อยปีแล้ว

บัดนี้กลับมีโบราณวัตถุยอมรับเจ้าของแล้วจริงๆ จะให้พวกเขาทำอย่างไร…

สวีเสี่ยวหลานกลับทำหน้าเรียบเฉย อยู่กับอันหลินมานาน เรื่องเหนือธรรมชาติใดบ้างที่ไม่เคยพบเจอ จึงมีหัวใจที่แข็งแกร่งตั้งนานแล้ว

“ยอมรับแล้ว ยอมรับแล้วจริงๆ…” เหล่าจงเดินไปหาอันหลินอย่างสั่นเทา มองพู่ห้อยหยกที่เปี่ยมด้วยพลังชีวิต นัยน์ตาแดงก่ำ ใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างที่เห็นได้น้อยครั้ง “รักษามันให้ดี…”

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำแน่นอน” อันหลินพยักหน้า เก็บพู่ห้อยหยกใส่แหวนมิติ

“ทำสำเร็จจริงๆ ด้วย ทำได้อย่างไร” เหยียนเมิ่งจ้องอันหลิน ใบหน้ายังเจือความตะลึง

อันหลินหัวเราะ “ทำมั่วๆ น่ะ เชื่อมพันธะสัญญากับวัตถุบรรพกาลเหมือนสัตว์เลี้ยงก็สิ้นเรื่อง”

“เจ้า…” เหยียนเมิ่งโมโหจนแน่นหน้าอก หน้าอกใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บัดนี้อึดอัดยิ่งกว่าเดิม

อันหลินไม่สนใจนางอีก จ่ายหนึ่งหินปราณให้เหล่าจงแล้วไปเลือกต่อ

“เหอะ เจ้ายังจะเอาอีกหรือ แค่ดันโชคดีครั้งเดียวเท่านั้น หลักการพอดีไม่โลภน่ะไม่เข้าใจหรือ” เหยียนเมิ่งพูดอย่างฉุนเฉียว

อันหลินไม่สนใจผู้หญิงที่ดีแต่พูดพล่ามคนนี้ เลือกม้วนกระดาษ ม้วนกระดาษนี่มองก็มีระดับมากแล้ว ผนึกด้วยกลไก ไม่แน่ว่าข้างในอาจมีของดีอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้

วิชาญาณทิพย์!

“แผนที่สุสานมังกรเหมันต์ บันทึกสุสานฝังอิงหลงเสิ่นอิง[1] หวั่นไหวต่ออารมณ์ สามารถใช้เพลงรักปลุกวิญญาณแห่งม้วนกระดาษได้…”

อันหลินชะงักอีกครั้ง ใช้เสียงเพลงงั้นเหรอ วิธีแบบนี้มีเอกลักษณ์น่าดูเลย

เขาไม่คิดอะไรอีก เริ่มขับร้องเพลงรักที่ฝึกมาจากแดนจิ่วโจว และไม่ลืมใช้อินที่แฝงด้วยอารมณ์ลึกซึ้งหลอมม้วนกระดาษในมือ

จู่ๆ อันหลินก็ร้องเพลงโดยไม่บอกไม่กล่าว ทำให้ทุกคนในที่นี้ตกใจอีกครั้ง

ทุกคนจ้องอันหลินที่กำลังขับขานเพลงรักอย่างงุนงง นี่เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก!

พวกเขายังไม่ทันพูดอะไร ก็เห็นเสียงกลไกของม้วนกระดาษทำงาน จากนั้นม้วนกระดาษก็ค่อยๆ คลี่ออกตรงหน้าอันหลิน จากนั้นก็ค่อยๆ ประกบกัน ลอยมาแนบชิดอันหลินอย่างรักใคร่…

เหยียนเมิ่งเบิกตากว้าง งงเป็นไก่ตาแตกอีกครั้ง

พวกเฮยมู่และหลิวหั่วต่างก็หายใจถี่กระชั้น รู้สึกเหมือนจะเป็นหอบหืดแล้ว

ร้องเพลงแค่เพลงเดียวก็ทำให้วัตถุบรรพกาลยอมรับได้ด้วยหรือ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน อย่าน่ากลัวขนาดนี้ได้ไหม!

“ฮ่าๆ ๆ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ” อันหลินหัวเราะร่าแล้วเก็บม้วนกระดาษใส่แหวนมิติ

เขาหยิบหนึ่งหินปราณออกมาแล้วยื่นให้เหล่าจงอย่างไม่ลังเล

อดพูดไม่ได้ว่า หนึ่งหมื่นหินวิญญาณแลกกับวัตถุบรรพกาลหนึ่งชิ้น ธุรกิจนี้นับว่าคุ้มค่ามากทีเดียว…

ยังจะเอาอีกหรือ! เฮยมู่กับหลิวหั่วหน้ามืด เกือบจะวูบไปแล้ว

ตอนแรกคิดว่าอันหลินเป็นปลาอ้วนพีที่เชือดได้ง่ายดาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน นี่มันโจรชัดๆ หนึ่งหมื่นหินวิญญาณได้วัตถุบรรพกาลชิ้นหนึ่งไม่ใช่โจรจะเป็นอะไร!

อันหลินเลือกกริชมีฝักสีสัมฤทธิ์อีกเล่มหนึ่งแล้วใช้วิชาญาณทิพย์

“โล่แห่งชัยชนะ อาวุธพิทักษ์ที่ถูกสร้างโดยนักพรตชางจวี ผสานพลังแห่งชัยชนะ ศรัทธาและคำสัตย์เป็นหนึ่งเดียว มีพลังคุ้มกันอันใหญ่หลวง ฝุ่นจับตามกาลเวลา ลืมเลือนอันตราย ติดอยู่ในความสันติภาพ…”

ที่แท้วัตถุโบราณที่มีหน้าตาคล้ายกริชไม่ได้มีไว้โจมตี แต่ใช้ป้องกันตัว

อันหลินมองข้อมูลที่ได้จากวิชาญาณทิพย์ แววตาเป็นประกายมากขึ้นทุกที

พลังขัดเกลาที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงที่ถูกปล่อยออกจากมือของเขา เพียงชั่วครู่ เขาก็โยนกริชออกไป ชักกระบี่พิชิตมารออกมา ออกแรงฟันกริชกลางอากาศอย่างไม่ลังเล

“ช้าก่อน เจ้าจะทำอะไรกันแน่!” ครั้งนี้แม้แต่เหล่าจงก็สะดุ้งตกใจ ตะโกนอย่างร้อนรน

วัตถุบรรพกาลเลอค่ายิ่งนัก จะปล่อยให้คนมาทำรุนแรงเช่นนี้ไม่ได้ เกิดพลาดท่าทำให้เสียหาย ไม่ว่าใครก็รับผิดชอบไม่ไหว

“ไป!” กระบี่ของอันหลินกระแทกกับกริชดังติ้ง เสียงเหมือนหินหยกปะทะกันดังขึ้นทันใด ก้องไปทั่วแท่นหิน

โล่แสงสีทองแผ่รอบกริช กระจายพลังทรงกลมและหนาแน่น

อันหลินเห็นดังนั้นก็ไม่หยุดยั้ง ความเร็วของกระบี่พิชิตมารเพิ่มขึ้น

ติ้งๆ ๆ… ทั้งคู่ปะทะกัน เกิดเสียงดังไม่ขาดสาย ลำแสงและประกายไฟสาดกระเซ็นอย่างต่อเนื่อง

“เจ้าจะยอมหรือไม่ หากไม่ยอมข้าจะฟันเจ้าให้ตาย!” อันหลินตวาดในขณะที่ฟันไม่หยุด

เหยี่ยนเมิ่งและพวกเฮยมู่เบิกตากว้าง คิดว่าอันหลินบ้าไปแล้วจริงๆ

เหล่าจงก้าวฉับๆ มาหาอันหลิน หมายจะห้ามปรามการกระทำอันป่าเถื่อนของเขา

ในตอนนั้นเอง กริชก็หลุดออกจากฝักโดยพลัน กลายเป็นลำแสงสีทองจะพุ่งใส่อันหลินท่ามกลางแสงทองที่สว่างไสว

“ระวัง!” สวีเสี่ยวหลานเห็นดังนั้นก็ตกใจหน้าถอดสี

แต่อันหลินกลับชูสองนิ้วราวกับคาดเดาไว้อยู่แล้ว

สองนิ้วรับคมกริชสีขาวไว้ดังกึก

“เจ้ามันต้องโดนสั่งสอน ไสหัวกลับไป!” อันหลินทำเสียงเย้ยหยันแล้วตวาด

กริชพยักหน้าอย่างว่าง่าย ลอยกลับไปที่ฝัก จากนั้นลอยมาหาอันหลินอย่างเริงร่า

เหล่าจง “…”

เฮยมู่กับหลิวหั่ว “…”

สวีเสี่ยวหลาน “…”

เหยียนเมิ่งเสียการทรงตัว ส่ายหน้ารัวๆ “ไม่จริง โกหกทั้งเพ…”

หวงสือยกมือกุมหน้า “คุณพระ ขัดเกลาอาวุธเช่นนี้ได้ด้วยหรือ ข้าทำอะไรผิดกันแน่ ทำไมต้องให้ข้ามาเห็นอะไรแบบนี้ด้วย!”

อันหลินไม่สนใจปฏิกิริยาของทุกคน เก็บกริชแล้วหยิบหนึ่งหินปราณออกมา ยื่นไปตรงหน้าเหล่าจงอีกครั้งด้วยท่าทางที่อยากรู้อยากลอง

เหล่าจงทำหน้าขมุบขมิบ ถลึงตามองหินปราณที่อยู่ตรงหน้า ความกลัวผุดขึ้นในใจ

ใช่แล้ว ชายหนุ่มตรงหน้าทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว ใช้วิธีที่มีเอกลักษณ์ขัดเกลาวัตถุบรรพกาลครั้งแล้วครั้งเล่า บุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ มันน่ากลัวเหลือเกิน!

แม้การที่ไม่ปล่อยให้วัตถุบรรพกาลจับฝุ่นเป็นเรื่องที่ดี แต่เขาคิดว่าหากให้ชายหนุ่มคนนี้ทำต่อไป เกรงว่าหอดิ้นทองคงจะล้มละลาย…

ขณะที่เหล่าจงกำลังเรียงร้อยถ้อยคำ คิดว่าจะปฏิเสธหินปราณของอันหลินอย่างไรนั้น จู่ๆ มิติก็สั่นสะเทือนขึ้นมา

จากนั้นวัตถุบรรพกาลอีกสามสิบสองชิ้นที่เหลือ ต่างก็ปล่อยริ้วคลื่นที่กระเพื่อมอย่างแรงออกมา แผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง มันเป็นพลังและเจตจำนงของยุคดึกดำบรรพ์

ไม่ต้องพูดก็เข้าใจความหมายที่พวกมันกำลังสื่อสาร

ใช่แล้ว ทุกคนในที่นี้ต่างก็เข้าใจความรู้สึกที่พวกมันต้องการสื่อสารได้อย่างชัดเจน

มีเพียงประโยคเดียวนั่นก็คือ

“เลือกข้าๆ ๆ…”

ทุกคนต่างก็งงงวย ตะลึงจนพูดไม่ออกด้วยประการละฉะนี้

ประมุขหอดิ้นทองที่รีบรุดตามมาเมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวก็ตะลึงงันเช่นกัน

เมื่อเห็นสหายอันหลินขัดเกลาตามใจตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า และสหายที่หลับใหลในกาลเวลาอันยาวนานทำราวกับพบเพื่อนรู้ใจ…

ท้ายที่สุดวัตถุบรรพกาลเหล่านี้ก็ตื่นเต้นเร้าใจ!

พันหมื่นถ้อยคำรวมกันเป็นประโยคเดียว ‘เลือกข้าๆ ๆ!’

เฮยมู่กับหลิวหั่วสั่นเทิ้ม มองอันหลินราวกับตัวประหลาด พวกเขาลากคนประเภทไหนเข้ามากันแน่ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ต้นเงินต้นทองของหอดิ้นทองจะถูกอันหลินชิงไปหมด!

หอดิ้นทองจะล้มละลายหรือไม่พวกเขาไม่รู้ แต่พวกเขาเองต้องล้มละลายแน่นอน…

……………….

[1] อิงหลง เป็นชื่อเรียกมังกรที่มีปีก จากบันทึกซู่อี้จี้มีกล่าวต่อว่า มังกรเมื่อมีอายุถึงห้าร้อยปีเปลี่ยนเป็นเจี่ยวหลงแล้ว ต่อไปอีกพันปีก็จะเป็นอิงหลง ดังนั้นอิงหลงที่มีปีกงอกจึงนับเป็นสุดยอดแห่งมังกร