ตอนที่ 18 กินยาแล้ว?

ช่วงบ่ายไม่ต้องเข้าเรียน หลังจากบอกลาพวกอู๋จื้อหาวแล้ว

ฟางผิงเห็นว่ายังพอมีเวลา จึงไม่ได้คิดไปโรงเรียนทันที กลับสาวเท้าไปยังย่านจิ่งหูหยวน

ขณะที่เดินก็นึกถึงคำพูดของหวังจินหยาง

พวกอู๋จื้อหาวสนใจเคล็ดลับเล็กน้อยเหล่านั้น แม้ฟางผิงจะฟัง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมากกว่า

หวังจินหยางเป็นเพียงนักศึกษาปีหนึ่ง กลับดูมีประสบการณ์โชกโชนกว่านักเรียนมัธยมปลายปีสามอย่างเห็นได้ชัด

จากที่ฟังเขาพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ พอจะรู้ได้ว่า ชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด

สังคมสมัยนี้ ดูเหมือนว่าผู้ฝึกยุทธ์จะผสมกลมกลืนไปกับคนธรรมดา

ความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป พวกเขาก็มีโลกของพวกเขาเช่นกัน มีหลายเรื่องที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจได้

แม้ว่ายามนี้ข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตจะฉับไว แต่อย่าลืมว่าในประเทศนี้ แม้อินเตอร์จะเปิดกว้างแค่ไหน นั่นก็เป็นเพราะรัฐบาลเปิดกว้างให้รู้

ข่าวสารที่ไม่ต้องการให้คนธรรมดาล่วงรู้ ย่อมไม่อาจมาปรากฏบนอินเตอร์เน็ต

“ผู้ฝึกยุทธ์…”

ฟางผิงพึมพำ “ตกลงผู้ฝึกยุทธ์และคนธรรมดาแตกต่างกันมากขนาดไหน? แตกต่างแค่เรื่องพละกำลังอย่างนั้นหรือ?”

ก่อนหน้านี้ฟางผิงไม่เคยคิดตรึกตรองเรื่องพวกนี้

แต่ครั้งนี้ได้พบกับหวังจินหยางที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง ฟางผิงจึงอดคิดมากไม่ได้

“สุดท้ายยังเป็นเพราะระดับล่างเกินไป…”

ฟางผิงสั่นศีรษะ เพราะตำแหน่งในสังคมที่ต่างกัน จึงทำให้เขารู้ข้อมูลน้อยเหลือเกิน

เป็นดังที่หวังจินหยางว่า เรื่องบางอย่าง หากไม่รู้จะดีเสียกว่า

รอเขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ก็คงจะค่อยๆ เข้าใจเรื่องราวพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น

ฟางผิงเดินมาสักพักก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจนำทรัพย์สินที่เหลือหนึ่งหมื่นหยวนแลกเปลี่ยนเป็นพลังปราณ

ปีนี้เห็นได้ชัดว่าการสอบยากกว่าปีที่แล้วอย่างยิ่ง ค่าปราณของอู๋จื้อหาวอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบห้าแคล

เตรียมยาบำรุงเลือดและปราณ รู้เคล็ดลับในการระเบิดอารมณ์ แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี

จากเรื่องนี้ก็เห็นได้แล้วว่า การแข่งขันในปีนี้มีแรงกดดันสูงมาก

ยามนี้เขามีค่าปราณเพียงหนึ่งร้อยสิบแคลเท่านั้น หากไม่เพิ่มค่าปราณขึ้น ถ้าเจ้าระบบที่ไม่น่าไว้ใจนี้เกิดปัญหาอะไร ก็คงเป็นเรื่องยุ่งแล้ว

เมื่อตัดสินใจได้ ฟางผิงก็เริ่มรวบรวมสมาธิ นึกถึงการเพิ่มปราณ

ไม่นาน ตัวเลขที่ปรากฏเบื้องหน้าก็มีการเปลี่ยนแปลง

ทรัพย์สิน : 0

ปราณ : 1.2

จิตใจ : 1.1

ฟางผิงนั้นเตรียมพร้อมรับกับความสบายเหมือนยามที่ค่าปราณเพิ่มขึ้นจากครั้งแรก แต่ชั่วพริบตานั้น เขากลับครางออกมาด้วยความเจ็บ

บริเวณแขน ลำคอ ข้อมือ…ปรากฏเส้นเลือดนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ดูน่าตกใจอย่างยิ่ง

ฟางผิงกัดฟัน โน้มตัวเข้ากับกำแพงของร้านค้าริมถนน กำมือแน่น ข่มกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องเสียงดังออกมา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ใบหน้าของฟางผิงกลับปรากฏเหงื่อชุ่มเต็มไปหมด

“ฟู่ว!”

ฟางผิงคายอากาศที่ขุ่นมัวออกมา ก่อนจะก่นด่าเสียงเบา “สวรรค์แกล้งกันหรือไง?”

ครั้งแรกรู้สึกสบาย!

แต่ครั้งนี้กลับทำเขาปวดทั้งตัวจนแทบไปเกลือกกลิ้งกับพื้น

ชั่วพริบตาที่ปราณเพิ่มขึ้น เขาคิดว่าเส้นเลือดตัวเองจะแตกออกมาซะแล้ว

ดีที่ความเจ็บนี้มาเร็ว แล้วก็จากไปเร็ว หากนานกว่านี้อีกหน่อย ฟางผิงไม่แน่ใจว่าตัวเองจะนอนไปเกลือกกลิ้งบนถนนหรือเปล่า

เขายังคงหวาดผวาไม่น้อย ลูบแขนตัวเอง กล่าวทั้งขมวดคิ้ว “ร่างกายปรับตัวไม่ทันอย่างนั้นเหรอ?”

ครั้งแรกที่เพิ่มค่าปราณ เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้

แต่ครั้งนี้ ฟางผิงกลับรู้สึกอย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะเส้นเลือดของตัวเองอ่อนแอเกินไป ยามที่เพิ่มปราณ จึงเกือบจะแตกออกมา

นี่เพิ่งเป็นการเพิ่มครั้งที่สองเอง ฟางผิงสงสัยอย่างยิ่ง หากเพิ่มอีกครั้ง กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นมนุษย์น้ำพุ พ่นเลือดสีแดงออกมาแทนน้ำ

“มีเพียงร่างกายที่แข็งแกร่ง จึงจะสามารถรองรับการเพิ่มของปราณได้…”

“ดูท่า ต้องเพิ่มการออกกำลังกายเข้าไปในแผนแล้ว”

เดิมทีก็มีภารกิจมากมายอยู่แล้ว ตอนนี้มีภาระเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งเรื่อง

แต่การเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายยังคงเป็นเรื่องที่จำเป็น แม้ว่าจะไม่เพิ่มปราณ แต่ภาคปฏิบัติ ก็ต้องอาศัยสมรรถนะทางร่างกายอยู่ดี

ยามนี้ฟางผิงไม่ต่างอะไรกับ ‘พวกขี้โรค’ ที่หวังจินหยางพูดถึงเลย

นึกถึงตรงนี้ เขาก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง

คนอื่นกังวลว่าจะไม่สามารถเพิ่มค่าปราณได้ ตัวเองกลับเป็นตรงกันข้าม ร่างกายรับการเปลี่ยนแปลงของปราณไม่ไหว

มองตัวเลขเบื้องหน้าไปแวบหนึ่ง ฟางผิงครุ่นคิด ยามนี้ตัวเองคงหนึ่งร้อยยี่สิบแคลแล้วล่ะมั้ง?

ไม่ได้คิดจะไปตรวจค่าปราณที่บ้านอู๋จื้อหาวอีกครั้ง นี่เพิ่งจะผ่านมาวันเดียวเอง

หากวันนี้เขาไปตรวจใหม่ ตัวเลขออกมาสูงสุดที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้าแคล อู๋จื้อหาวคงจะกระโดดตึกแล้ว

แน่นอนว่ามีความเป็นได้สูงที่จะลากฟางผิงกระโดดลงไปด้วย

บ่ายสองโมงตรง ทุกคนก็มารวมตัวที่หน้าประตูโรงเรียนอีกครั้ง

พวกเขาขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังบ้านหวังจินหยางเพื่อรับเขามาที่โรงเรียน

หวังจินหยางอาศัยอยู่ในย่านเล็กๆ สภาพแวดล้อมธรรมดา ดีกว่าย่านจิ่งหูหยวนของฟางผิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อรถไปถึง หวังจินหยางก็ยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้าแล้ว

หวังจินหยางที่เดินตัวเปล่าเมื่อเช้า ยามนี้กลับสะพายเป้ใบหนึ่ง ทั้งยังดูพองๆ ก็ไม่รู้ว่าใส่อะไรไว้

ทุกคนไม่ได้ถามมากความ มาบ้านทั้งทีจะพกของฝากท้องถิ่นกลับไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

หวังจินหยางหิ้วกระเป๋าเตรียมจะขึ้นรถ ปรากฏว่าจู่ๆ ก็หันมามองฟางผิงที่อยู่ด้านข้าง

แววตาเผยความสงสัย ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฟางผิง ตอนบ่ายนายไปทำอะไรมา?”

“หา?”

ฟางผิงนิ่งไปเล็กน้อย พลันรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา หรือว่าผู้ฝึกยุทธ์จะสามารถรู้ได้ว่าค่าปราณของตัวเองเพิ่มขึ้น?

ผลลัพธ์ไม่ต่างจากที่คาด หวังจินหยางกล่าวทั้งขมวดคิ้ว “แม้ว่าฉันจะเข้าใจความคิดของพวกนาย เพื่อการสอบแล้ว ไม่ว่าจะวิธีการอะไรก็ยอมทั้งนั้น แต่ร่างกายถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ยาแรงๆ บางตัว ไม่อาจกินส่งเดชได้! หากไม่ระวังเข้า อาจจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา! ฉันไม่รู้ว่านายกินยาบำรุงอะไร แต่ค่าปราณของนายเพิ่มสูงขึ้นจริงๆ และจะเกิดปัญหาได้ง่าย ช่วงนี้หมั่นออกกำลังกาย ฟื้นฟูระบบเลือดและปราณ ภายในหนึ่งอาทิตย์ อย่าใช้ยาบำรุงอะไรอีก”

ฟางผิงได้ฟังก็รู้สึกโล่งใจ ละล่ำละลักเอ่ย “เข้าใจแล้ว ขอบคุณพี่หวัง ก่อนหน้านี้ผมไม่มีประสบการณ์มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้ยาบำรุง เมื่อครู่ก็รู้สึกว่าเส้นเลือดบวมปูดขึ้นมาอยู่บ้าง”

“ที่แท้ก็ครั้งแรก ไม่น่าล่ะ…”

หวังจินหยางพึมพำ ขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกยุทธ์ ความรู้สึกของเขาจึงไวอย่างยิ่ง

ตอนบ่ายเห็นได้ชัดว่าค่าปราณของฟางผิงต่ำกว่าอู๋จื้อหาวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ ในความคิดเขา ฟางผิงกลับสูงหว่าอู๋จื้อหาวเสียอีก

เขาไม่รู้ว่าฟางผิงกินยาอะไร แต่ประสิทธิภาพของยานั้นน่าตกใจจริงๆ เป็นไปได้ว่าจะเป็นยาต้องห้ามที่ออกฤทธิ์เกินขีดจำกัดของร่างกาย

แต่เมื่อนึกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายใช้ยาบำรุง ก็เข้าใจขึ้นมาบ้าง ทั้งเพิ่งมากินครั้งแรกเอายามนี้ คาดว่าสถานการณ์ทางบ้านคงจะไม่ค่อยดีนัก

นึกมาถึงจุดนี้ หวังจินหวังจึงไม่ได้เค้นถามว่าเขากินอะไร

ทำเพียงตักเตือนไปอีกครั้ง “คราวหลังซื้อยา หากไม่เข้าใจประสิทธิภาพของมัน ต้องไปซื้อในร้านยาที่เป็นทางการเท่านั้น ในสังคมนี้บางคนก็ผสมยามั่วซั่วเอง หากกินเข้าไป จะทำให้ร่างกายเกิดความเสียหายอย่างหนัก ไม่ใช่ว่าทุกครั้งจะโชคดี คนที่กินแล้วตายพิการ มีมากมายทุกปีแต่นายเพิ่งใช้ครั้งแรก ก่อนหน้านี้พื้นฐานก็ไม่แย่ จึงพอรับไหว อย่าได้มองความโชคดีเป็นเรื่องปกติเชียว คราวหลังก็ระวังด้วย”

“อื้ม ผมจะระวัง ขอบคุณพี่หวัง”

“ไม่ต้องเกรงใจ”

หวังจินหยางอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ครั้งนี้นับว่านายโชคดีจริงๆ รอปราณฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว ฝึกฝนร่างกายอีกสักหน่อย การสอบศิลปะการต่อสู้ปีนี้ก็มีหวังแล้ว”

บทสนทนาของทั้งสองคน คนอื่นนั้นฟังอยู่ตลอด

เริ่มแรกทุกคนฟังออกว่า ตอนกลางวันฟางผิงกินยาบำรุงอะไรบางอย่างเข้าไป เหมือนจะส่งผลเสียต่อร่างกายอยู่บ้าง

แต่คาดไม่ถึงว่า ฟังมาจนถึงท้ายที่สุด หวังจินหยางกลับพูดว่าฟางผิงมีหวังที่จะสอบศิลปะการต่อสู้ได้!

แม้จะเป็นอู๋จื้อหาว ก็ยังไม่ได้คำชมเช่นนี้จากปากของหวังจินหยาง

ดังนั้นเมื่อฟังมาถึงตรงนี้ อู๋จื้อหาวก็อดตกใจไม่ได้ “พี่หวัง ค่าปราณของฟางผิงเพิ่มขึ้นมากขนาดนั้นเชียว?”

หวังจินหยางหัวเราะเบาๆ “ฉันไม่ใช่เครื่องตรวจปราณเสียหน่อย มองออกเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แต่แม้จะเป็นอย่างนี้ ก็มองออกว่า ค่าปราณเจ้าหมอนี้เพิ่มขึ้นไม่น้อยจริงๆ”

ฟางผิงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอกๆ ผมรู้สึกว่าดีกว่าเมื่อก่อนนิดหน่อยเท่านั้น”

“ฮ่าๆ…”

หวังจินหยางหัวเราะร่า ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเขา เอ่ยกับอู๋จื้อหาวว่า “พวกนายไม่ต้องเลียนแบบเขาเลย เขาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ครั้งนี้นับว่าอันตรายอยู่บ้าง ยาบำรุงไม่อาจใช้มั่วซั่วได้ โดยเฉพาะพวกยาบำรุงเลือดยาบำรุงปราณที่มักขายนอกร้านยา ของพวกนี้อย่าได้ใช้ส่งเดชเชียว! ฟางผิงนับว่าโชคดี หากดวงซวยกว่านี้ คงเส้นเลือดฉีกขาดไปแล้ว ผลที่ตามมานั้นน่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการได้เสียอีก!”

หวังจินหยางส่ายศีรษะ หากเป็นนักเรียนที่มีความรู้เรื่องพวกนี้ คงไม่กล้าทำ

พอได้ยินว่า เส้นเลือดอาจฉีกขาด ชั่วพริบตานั้นพวกอู๋จื้อหาวก็หดคอทันที หวาดกลัวอยู่บ้าง

อู๋จื้อหาวเอ่ยเสียงแผ่ว “ฟางผิง นายซื้อยาอะไรมากิน?”

ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อวานไปตรวจค่าปราณในบ้านนาย กลับไปพ่อฉันเลยให้เงินไปซื้อยาบำรุงเพื่อใช้ในการสอบศิลปะการต่อสู้ วันนี้ช่วงบ่ายที่พวกเราแยกกัน ฉันกำลังจะกลับบ้าน บนถนนกลับมีคนถามฉันว่าอยากได้ยาบำรุงหรือเปล่า ขายให้ราคาถูก ฉันจึงซื้อมาหนึ่งเม็ด…”

“นาย!”

อู๋จื้อหาวอ้าปากค้าง เอ่ยอย่างยากจะเชื่อ “นายบ้าไปแล้ว? พวกต้มตุ๋นบนถนนก็ยังเชื่อ?”

“เพราะถูกไม่ใช่หรือไง เขาบอกว่าเป็นยาบำรุงปราณ ไม่กี่พันเท่านั้น เมื่อวานนายบอกว่าเม็ดหนึ่งสามหมื่นนี่?”

“นายโง่หรือเขาโง่กันแน่? ของสามหมื่นหยวน จะเอามาขายให้นายราคาไม่กี่พัน?”

อู๋จื้อหาวไร้คำจะพูดจริงๆ หยางเจี้ยนก็เกาศีรษะ เอ่ยอย่างนิ่งอึ้ง “ฉันยังไม่กล้าขนาดนี้เลย ฟางผิง นายนี่มันเสียสติไปแล้วจริงๆ”

ที่จริงพวกเขายังอยากถามว่าตกลงฟางผิงกินยาอะไรกันแน่ แต่ยามนี้กลับไม่มีความคิดนั้นแล้ว

ยาที่แทบไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร หากกินเข้าไปจริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะตายแบบไหน

ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังหลอกฟางผิงไปครั้งหนึ่ง เกรงว่ายามนี้คงไม่รู้ว่าวิ่งหนีไปที่ไหนแล้ว

การเดิมพันชีวิตกับการเพิ่มปราณเช่นนี้ เว้นเสียแต่จะไร้หนทางจริงๆ ไม่อย่างนั้นนักเรียนมัธยมปลายคงไม่มีความกล้าไปเดิมพันหรอก

“น่ากลัวชะมัด!”

นี่เป็นความคิดเดียวที่ทุกคนนึกในยามนี้ หากเป็นพวกเขา ใครจะไปซื้อยาตามถนนมากินมั่วซั่วกัน?

ฟางผิงเห็นเช่นนั้น ก็อดถอนหายใจไม่ได้ นับว่าพอจะกลบเกลื่อนไปได้

ก่อนหน้านี้เขาคาดไม่ถึงว่าหวังจินหยางจะสัมผัสถึงเรื่องพวกนี้ได้

ยามนี้ดูแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์คงน่ากลัวกว่าที่ตัวเองคิดไว้ ไม่ก็หวังจินหยางนั้นเก่งกาจกว่าที่เขาคาดไว้อยู่มาก

แต่หากถูกเปิดเผยก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ตอนที่ตรวจร่างกาย พวกอู๋จื้อหาวจะได้ไม่ต้องตกใจเกินไป

นอกจากนี้ยังมีข้อดีอีกอย่าง หวังจินหยางคิดว่าเขามีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ ระหว่างทางกลับไปโรงเรียน จึงแนะนำฟางผิงอีกหลายเรื่อง

ประเด็นสำคัญล้วนอยู่ที่การออกกำลังกาย ท้ายที่สุดยังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปีนี้เกรงว่าโรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่งอาจจะมีข่าวน่าตกใจออกมาก็ได้ หวังว่านายจะไม่ทำพลาดจุดสำคัญในตอนสอบ บางทีอีกไม่กี่เดือน เราอาจจะเป็นพี่น้องร่วมสถาบันก็ได้”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา พวกอู๋จื้อหาวก็อิจฉาตาร้อน แต่จะให้พวกเขาไปซื้อยากินตามท้องถนน ก็ไม่มีความกล้านั้นอยู่ดี

————————