ตอนที่ 19 กำหนดการ
ระหว่างที่ทุกคนพูดคุยกัน ไม่นานรถก็เดินทางมาเกือบถึงประตูโรงเรียน
มองออกไปก็เห็นคนจำนวนไม่น้อยยืนออกันอยู่หน้าประตูอยู่ไกลๆ
คนที่อยู่ด้านหน้าเป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการของโรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง
ผู้อำนวยการไม่อยู่ที่โรงเรียน หัวหน้าฝ่ายวิชาการจึงนำคนมายืนต้อนรับหน้าประตูด้วยตัวเอง การต้อนรับเช่นนี้ แทบไม่ต่างอะไรกับยามที่ผู้บริหารมาเยี่ยมชมโรงเรียนมาแต่น้อย
และยามนี้หวังจินหยางเป็นเพียงนักศึกษาชั้นปีหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้โรงเรียนเห็นความสำคัญกลับเป็นฐานะผู้ฝึกยุทธ์ของเขา
หากเป็นปีก่อน เกรงว่าหัวหน้าฝ่ายวิชาการคงไม่ใส่ใจหวังจินหยางเช่นนี้
ต่างกันเพียงก้าวเดียว กลับห่างราวฟ้ากับดิน
—
หวังจินหยางลงรถไปพูดคุยกับหัวหน้าฝ่ายวิชาการ พวกฟางผิงก็เดินไปอยู่ข้างๆ หลิวอันกั๋ว
หลิวอันกั๋วก็เป็นหนึ่งในคนที่มาต้อนรับเช่นกัน นอกจากอาจารย์พวกนี้แล้ว ยังมีนักเรียนอีกจำนวนหนึ่ง
ฟางผิงไม่ค่อยคุ้นหน้านักเรียนพวกนี้สักเท่าไร อู๋จื้อหาวกลับคุ้นเคยกว่า เอ่ยเสียงเบาว่า “ส่วนมากเป็นนักเรียนห้องเรียนพิเศษ บางส่วนเป็นนักเรียนหัวกะทิของห้องเรียนธรรมดา”
นักเรียนที่เขาพูดถึง ย่อมเป็นนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ไม่ใช่สายสังคมแต่อย่างใด
คนที่มาที่นี่ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นเมล็ดพันธ์ชั้นยอดของโรงเรียนในปีนี้อยู่แล้ว
หากพวกฟางผิงไม่ได้ถูกเลือกให้มารับหวังจินหยาง ยามนี้นอกจากอู๋จื้อหาวแล้ว คนอื่นๆ ก็คงไม่มีคุณสมบัตินั้น
แน่นอนว่า หมายถึงก่อนหน้านี้ เพราะยามนี้เห็นได้ชัดว่าฟางผิงมีคุณสมบัติเพียงพอ
หลิวอันกั๋วไม่ใช่หัวหน้าฝ่ายไหนของโรงเรียน ยามที่หยางจินหยางพูดคุยกับหัวหน้าพวกนั้น หลิวอันกั๋วก็ไม่ได้แทรกบทสนทนาแต่อย่างใด
เมื่อเห็นพวกฟางผิงมาถึง หลิวอันกั๋วก็กระซิบถาม “เป็นยังไงบ้าง ได้อะไรกลับมาเยอะหรือเปล่า?”
อู๋จื้อหาวเป็นฝ่ายพยักหน้าก่อน บอกเป็นนัยว่าได้รับความรู้กลับมาไม่น้อย
ต่อจากนั้นค่อยเอ่ยอย่างอิจฉาอยู่บ้าง “คนที่ได้กำไรมากที่สุดคือฟางผิง อาจารย์ ค่าปราณของฟางผิงเพิ่มขึ้นอีกแล้ว เกรงว่าจะสูงกว่าผมแล้ว…”
“เป็นไปได้ยังไง?”
หลิวอันกั๋วตกตะลึงไปเล็กน้อย ไม่กล้าจะเชื่ออยู่บ้าง
การจะเพิ่มค่าปราณนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฟางผิงที่มีฐานะทางบ้านธรรมดา ไหนเลยจะแซงหน้าอู๋จื้อหาวได้อย่างง่ายดาย
อู๋จื้อหาวย่อมเข้าใจสาเหตุที่อาจารย์ประจำชั้นตกใจ จึงรีบอธิบายเพิ่มเติม
รอจนได้รู้ว่าฟางผิงกินยามั่วซั่ว หลิวอันกั๋วก็หมดคำพูด วัยรุ่นสมัยนี้ไม่กลัวตายกันรึไง? แต่ยังไงเรื่องก็ผ่านไปแล้ว ในความโชคร้าย ฟางผิงได้โชคดีกลับมา หลิวอันกั๋วยังคงดีใจอย่างยิ่ง “เป็นเช่นนี้ ปีนี้ห้องสี่ของพวกเราอาจจะเกิดปาฏิหาริย์ก็ได้!”
อู๋จื้อหาวมีหวังจะสอบศิลปะการต่อสู้ หากมีฟางผิงเพิ่มมาอีกคน ห้องเรียนธรรมดามีนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ถึงสองคน…เพียงแค่คิด หลิวอันกั๋วก็ยิ้มดีใจจนหุบปากไม่ลงแล้ว
ปีก่อนมีหวังจินหยางและนักเรียนอีกคนที่สอบติด นักเรียนห้องเรียนธรรมดาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ พวกเขาสอบเข้าได้ นับเป็นการประสบความสำเร็จ
แต่สิ่งที่ทำให้พวกดหลิวอันกั๋วอิจฉาไม่ใช่นักเรียนพวกนี้ กลับเป็นอาจารย์ประจำชั้นห้องเรียนธรรมดาของสองคนนั้น
เพราะในห้องมีนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ ทั้งยังเป็นห้องเรียนธรรมดา ปีก่อนอาจารย์ประจำชั้นสองคนนี้จึงได้รับเงินรางวัลเป็นเงินกว่าแสนหยวน!
นี่เทียบได้กับเงินเดือนอาจารย์ประจำชั้นของพวกเขาถึงสองปีเชียว!
นอกจากเงิน เรื่องอื่นก็ไม่น้อยหน้า ยังมีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง โอกาสรับเลือกให้เป็นอาจารย์ดีเด่น…
สอบได้คนเดียวยังขนาดนี้ หากเป็นสองคนล่ะ?
หลิวอันกั๋วจินตนาการจนหน้ามืดตาลาย หรือว่าปีนี้ตัวเองจะกลายเป็นตำนานของโรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง
อาจารย์คนแรกที่ยอดเยี่ยมที่สุด สามารถอบรมสอนสั่งนักเรียนห้องเรียนธรรมดาจนสอบติดสายศิลปะการต่อสู้ได้ถึงสองคน?
ไม่เพียงเท่านี้…หยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉี ก็ใช่ว่าจะหมดหวังเสียทีเดียว…
คิดย้อนกลับไปกลับมา หลิวอันกั๋วก็เคลิบเคลิ้มไปอยู่บ้าง
อายุล่วงสู่ห้าสิบปีแล้ว ยามนี้กลับอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มราวกับคนโง่
ด้านข้างยังมีอาจารย์ประจำชั้นห้องอื่นๆ รวมถึงอาจารย์ประจำชั้นห้องเรียนพิเศษ
มีคนเห็นรอยยิ้มของหลิวอันกั๋ว จึงอดสัพยอกไม่ได้ “เหล่าหลิว สำรวมหน่อย พวกเด็กนักเรียนยังอยู่ที่นี่”
หลิวอันกั๋วเผยใบหน้าลำพองใจ เมื่อตั้งสติได้ก็เอาตัวบังพวกอู๋จื้อหาวไว้ข้างหลัง เอ่ยด้วยยิ้มตาหยี “ฉันดีใจก็ผิดรึ? เหล่าหลี่ ได้ยินว่าช่วงนี้คุณมีหน้ามีตาไม่น้อย เห็นคนพูดว่าปีนี้รางวัลอาจารย์ประจำชั้นดีเด่นคงหนีไม่พ้นคุณแล้ว?”
ผู้ที่ถูกหลิวอันกั๋วเรียกว่าเหล่าหลี่ ก็เป็นอาจารย์อายุประมาณห้าสิบคนหนึ่ง แต่อีกฝ่ายตำแหน่งดีกว่าหลิวอันกั๋วไม่น้อย เป็นอาจารย์ประจำชั้นของห้องเรียนพิเศษ
ได้ยินคำพูดของหลิวอันกั๋ว เหล่าหลี่ก็หัวเราะลั่น “ทำไมกัน? หากไม่เป็นฉัน นายคิดว่าจะเป็นเหล่าจางหรือไง? ปีนี้โจวปินของห้องเรียนพวกเราต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยการต่อสู้ได้แน่ หากโชคดีหน่อย มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่ง หรือมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ก็อาจมีหวัง…”
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้สองแห่งนี้ นับเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ทางใต้ และมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่งทางเหนือ
เทียบกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงแล้ว มหาวิทยาลัยสองแห่งนี้ สอบเข้ายากกว่าอย่างยิ่ง
แม้หลิวอันกั๋วจะคิดเยาะเย้ยในความโอ้อวดของเหล่าหลี่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
โจวปินมีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ แต่การสอบสองมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับมีหวังไม่มากนัก
แต่ยามนี้โจวปินก็อยู่ในกลุ่มคนที่มาต้อนรับ ขึ้นชื่อว่าอาจารย์ย่อมไม่อาจโจมตีอีกฝ่ายเกินไปได้
หลิวอันกั๋วเผยหน้าแย้มยิ้ม ไม่โต้แย้งอะไร
เขาเพียงหันไปมองฟางผิงและอู๋จื้อหาวแวบหนึ่งเท่านั้น ปีนี้มีนักเรียนสองคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ รางวัลอาจารย์ประจำชั้นดีเด่นก็ต้องเป็นของเขาแล้ว!
แม้ว่าคนที่อยู่ห้องเรียนพิเศษจะสอบได้เยอะ แต่เดิมทีห้องเรียนพิเศษของโรงเรียนก็เป็นห้องที่ฝึกฝนนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้อยู่แล้ว
สอบได้ไม่นับว่าปาฏิหาริย์ แต่สอบไม่ได้จะเป็นเรื่องแปลกมากกว่า
ขอเพียงแค่โจวปินสอบเข้าสองมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงไม่ได้ แม้นักเรียนคนอื่นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้มากเท่าใดก็ไร้ประโยชน์
เหล่าหลี่มองหลิวอันกั๋วยิ้มจนรู้สึกขนพองสยองเกล้าอยู่บ้าง เจ้าหมอนี่คิดอะไรอยู่กัน?
ไม่เพียงอาจารย์พวกนี้ ฟางผิงและอู๋จื้อหาวก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ในใจเช่นกัน
ยามนี้แววตาที่เหล่าหลิวมองพวกเขา ดูเหมือนแววตาที่มองนักเรียนที่ไหนกัน นี่มันมองราวกับลูกชายในไส้ตัวเองชัดๆ
ฟางผิงพอรับรู้ความคิดของหลิวอันกั๋วได้คร่าวๆ ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง
ยามที่คนอื่นกระซิบกระซาบพูดคุยกัน หวังจินหยางและพวกหัวหน้าฝ่ายต่างๆ ของโรงเรียนก็ทักทายกันเป็นมารยาทเสร็จแล้ว
ไม่นาน หวังจินหยางก็เดินมาเบื้องหน้านักเรียนที่รอต้อนรับเขา
มองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง หวังจินหยางก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นักเรียนเก่งขึ้นปีแล้วปีแล้ว ปีนี้พวกรุ่นน้องคงทำได้ดีกว่าพวกเราในปีก่อนแน่ๆ คะแนนของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่งก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นพวกอาจารย์ที่สั่งสอนด้วยความยากลำบาก”
แม้ว่าจะเป็นเพียงนักศึกษาปีหนึ่ง แต่คำเยินยอของหวังจินหยางกลับดูทรงเกียรติอย่างยิ่ง พาให้พวกอาจารย์หัวหน้าฝ่ายต่างก็ใบหน้าขึ้นสี
นี่เป็นคำชมที่มาจากผู้ฝึกยุทธ์อย่างเป็นทางการเชียว!
ที่จริงหัวหน้าฝ่ายของโรงเรียนก็ให้ความสนใจศิษย์เก่าที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้พวกนี้มาโดยตลอด
สาเหตุหลักๆ ก็เพราะว่าข่าวสารไม่กว้างขวางพอเท่าพวกเขา
แต่ทางโรงเรียนล้วนรู้ว่า ปีก่อนห้าคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ ผู้ที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงมีเพียงสองคนเท่านั้น
และในสองคนนี้ หวังจินหยางเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด!
รวมทั้งศิษย์เก่ารุ่นก่อนๆ ที่ยังติดต่อกับโรงเรียน เมื่อร่วมวงสนทนา พอเอ่ยถึงหวังจินหยาง ต่างก็มีสีหน้าซับซ้อน พากันกระอึกกระอัก
จากปากของพวกศิษย์เก่ารุ่นก่อนๆ บางคน หัวหน้าฝ่ายของโรงเรียนจึงรู้ว่า ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง หวังจินหยางมีคะแนนที่โดดเด่น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ปีนี้เชิญตัวหวังจินหยางกลับมาที่โรงเรียน
ดีที่หวังจินหยางกลับมาเมืองหยางเฉิงพอดี หลังจากได้รับคำเชิญ ไม่ได้ลังเลมากก็ตกปากรับคำ
ไม่อย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องยากที่จะเชิญเขามา
หวังจินหยางพูดเป็นมารยาทไม่กี่คำ ก็อดมองฟางผิงไปแวบหนึ่งไม่ได้
จากความรู้สึกของเขา ในหมู่นักเรียนพวกนี้ คนที่มีค่าปราณสูงมีเพียงไม่กี่คน และฟางผิงก็อยู่ในนี้ด้วย
ถึงกระทั่งค่าปราณของฟางผิงยังเป็นรองเพียงโจวปิน คนที่อาจารย์ทั้งหมดให้ความสำคัญด้วยซ้ำ
นึกถึงเมื่อเช้าที่ค่าปราณของหมอนี่ยังเป็นปกติ ตกบ่ายกลับพรวดพราดอย่างกะทันหัน หวังจินหยางยังคงรู้สึกว่าชะตากรรมมนุษย์ช่างไม่แน่นอน
เห็นยามนี้พวกนักเรียนอาจารย์แทบไม่มีใครสนใจฟางผิง หวังจินหยางก็ลอบยิ้มในใจ
ปีก่อนเรื่องของตัวเองนั้นเหนือความคาดหมาย ปีนี้เกรงว่าต้องทำให้อาจารย์พวกนี้ประหลาดใจอีกครั้งแล้ว
ก็ไม่รู้ว่า ถึงเวลานั้นจะทำให้พวกอาจารย์เหล่านี้ตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาหรือเปล่า
หวังจินหยางก็คร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ จึงไม่คิดจะเตือนใคร ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับเขา
เอ่ยปากชมนักเรียนหัวกะทิพวกนี้ไม่กี่คำ ก่อนจะเดินตามพวกหัวหน้าฝ่ายไปยังโถงอเนกประสงค์
—
พวกฟางผิงก็ตามกลุ่มนักเรียนพวกนั้นเดินไปยังโถงอเนกประสงค์ด้วยเช่นกัน
ยามที่ถึงโถงอเนกประสงค์ ภายในก็มีนักเรียนจับจองที่นั่งไม่น้อยแล้ว มองดูคร่าวๆ เกรงว่าคงไม่ต่ำกว่าสองร้อยคน
นี่คงเป็นนักเรียนทั้งหมดในโรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่งที่สอบสายศิลปะการต่อสู้ รวมพวกฟางผิงแล้ว ก็ไม่เกินสามร้อยคน
พวกฟางผิงเพิ่งเข้ามา ก็เห็นจางเฮ่าโบกมือเรียก พวกเขาจึงรีบเดินไปทางจางเฮ่า เพื่อนนักเรียนห้องสี่คนอื่นที่สอบศิลปะการต่อสู้ล้วนอยู่ทางนั้นหมด
เพิ่งจะนั่งลง จางเฮ่าก็เอ่ยทันที “พวกนายไปรับรุ่นพี่หวัง ได้อะไรมาบ้าง? รุ่นพี่หวังแข็งแกร่งหรือเปล่า?”
ฟางผิงยังไม่ทันตอบกลับ อู๋จื้อหาวก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มขึ้นมาก่อน “พวกเราจะไปรู้ได้ไงว่าแข็งแกร่งหรือเปล่า รุ่นพี่หวังไม่ได้ต่อสู้กับใครสักหน่อย ส่วนเรื่องอื่น อีกเดี๋ยวรุ่นพี่หวังคงพูดเอง”
เขาไม่ได้พูดเรื่องการปะทุของอารมณ์ออกมา หยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉีก็ไม่เอ่ยถึงเช่นกัน
พวกเขาไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวหวังจินหยางจะพูดหรือเปล่า หากพูด เขาจะบอกไม่บอกย่อมเหมือนกัน แต่หากไม่พูด นั่นก็ยิ่งดี นับว่าพวกเขาได้เปรียบ
บอกจางเฮ่านั้นไม่เป็นไรหรอก แต่เจ้าหมอนี่ปากมาก ไม่แน่ว่าจะเอาไปโพทะนาไปทั่ว ความได้เปรียบเล็กน้อยนี้ก็จะหายไปทันที
มนุษย์มีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว ฟางผิงเห็นเขาไม่เอ่ยถึง ย่อมไม่เป็นฝ่ายพูดก่อนเช่นกัน
—
ขณะที่ทุกคนพูดคุยกัน ยามนี้หวังจินหยางก็ได้เข้ามาในโถงอเนกประสงค์พร้อมกลุ่มอาจารย์แล้ว
เมื่อคนเข้ามา เสียงปรบมือกึกก้องก็ดังขึ้นมาทันที
นักเรียนหญิงบางคนยังส่งเสียงกรี๊ดอย่างตื่นเต้น
เมื่อเห็นฉากนี้ ในสายตาพวกอู๋จื้อหาว รวมถึงนักเรียนทั้งหมดต่างก็เผยความอิจฉาและนับถืออกมา
มีนักเรียนจำนวนไม่น้อย เกิดความรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา อยากเป็นที่ยอมรับแบบนี้เช่นกัน!
นี่ถึงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่นักเรียนอิจฉาและเคารพนับถือ
แค่ก้าวเดียวก็สามารถปีนถึงจุดสูงสุด
ทว่ายามนี้ฟางผิงกลับไม่ได้ตื่นเต้นมากมาย คนอื่นกำลังมองหวังจินหยาง เขาเอาแต่มองกำหนดการการสอบศิลปะการต่อสู้ที่โรงเรียนแจกมา
หลังจากวันที่ 10 เมษายน จะเริ่มการตรวจสอบประวัติ สิ้นสุดการตรวจสอบในปลายเดือนเมษายน ผู้ที่ผ่านจะต้องส่งหมายเลขจากใบเข้าห้องสอบ
วันที่ 1 เดือนพฤษภาคม นักเรียนที่สอบศิลปะการต่อสู้ไปรวมตัวที่เมืองรุ่ยหยางเพื่อดำเนินการตรวจร่างกาย
วันที่ 3 เดือนพฤษภาคม สรุปผลการตรวจร่างกาย มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แต่ละแห่งและกระทรวงศึกษานำผลคะแนนตรวจร่างกายที่ได้รับ ตัดสินเกณฑ์สอบผ่านในวันเดียวกัน
วันที่ 7 เดือนพฤษภาคม เริ่มสอบภาคปฏิบัติ
วันที่ 10 เดือนพฤษภาคม เข้าร่วมการสอบวิชาเฉพาะของศิลปะการต่อสู้พร้อมกันทั้งประเทศ…
ต่อจากนั้นยังเป็นกำหนดการของนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ สอบวิชาเฉพาะเสร็จแล้ว ก็รอสอบวิชาวัฒนธรรมของเกาเข่า
เวลากระชั้นชิดอย่างยิ่ง เหตุที่สอบเวลาใกล้กัน เป็นเพราะอยากให้นักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ได้เติบโตเรียนรู้ในเวลาที่จำกัด พวกนักเรียนที่อายุน้อยจะได้ไม่ถูกถ่วงเวลาไปด้วย
ในช่วงอายุประมาณสิบแปดปี นักเรียนบางคนอาจจะเติบโตขึ้นทุกวัน
ฟางผิงมองกำหนดการ ก็รู้สึกเตรียมใจไม่ทันอยู่บ้าง
ระยะห่างจากวันตรวจร่างกายมีเพียงยี่สิบวันเท่านั้น ในยี่สิบวันนี้ ตัวเองจะสามารถรับมือกับทุกอย่างได้จริงๆ หรือ?
ค่าปราณยังพอว่า สำหรับคนอื่นวิชาเฉพาะอาจไม่ยาก แต่ในความคิดของเขา นั่นเป็นปัญหาใหญ่ คงต้องหาวิธีเพิ่มค่าจิตใจสักหน่อยเสียแล้ว
——————–