ตอนที่ 20 ผู้เช่า
โถงอเนกประสงค์ โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง
ฟางผิงกำลังคิดวิธีหาเงินเพื่อเพิ่มค่าจิตใจ ด้านหวังจินหยางก็ตั้งใจอธิบายเรื่องที่สำคัญเกี่ยวกับการสอบศิลปะการต่อสู้ให้พวกนักเรียนฟังเช่นกัน
—
ในเวลาเดียวกัน
ย่านจิ่งหูหยวน
ตึกแถวที่ 6 ห้อง 201
ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง เอ่ยด้วยใบหน้าซื่อๆ “วางใจเถอะครับ รับรองว่าไม่ทำเครื่องเรือนในบ้านเสียหายแน่นอน หากอันไหนพังจริงๆ ก็หักจากเงินมัดจำผมแล้วกัน!”
ผู้ที่ยืนตรงข้ามชายคนนี้เป็นหญิงอายุค่อนข้างมากคนหนึ่ง เมื่อได้ยินเช่นนี้ ค่อยเผยรอยยิ้มออกมา “อย่างนั้นก็ดี ห้องนี้ฉันเพิ่งแต่งเติมมาไม่กี่ปี อย่าได้ดูถูกที่จิ่งหูหยวนเป็นย่านเก่าๆ เชียว สภาพแวดล้อมนั้นไม่ต้องพูดถึง! ร้านอาหาร ตลาดใกล้ๆ นี้อะไรก็มีทั้งนั้น รถโดยสารก็อยู่ที่ปากทางเข้า…หกร้อยหยวนต่อเดือน นับว่าคุ้มสำหรับคุณแล้ว ทั้งฉันก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินอะไรมากมาย ไม่อย่างนั้นเงินหกร้อย จะไปเช่าที่ไหนได้?”
“ใช่แล้วๆ ขอบคุณพี่เฉินที่เป็นธุระให้” ชายวัยกลางคนตอบกลับด้วยยิ้มใสซื่อ
พี่เฉินนั้นครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเตือน “คุณพูดว่าอยู่ที่นี่คนเดียว ผู้ชายคนเดียวก็ต้องรักษาความสะอาดหน่อย หากไม่ใช่ว่าฉันเห็นแก่คุณเป็นคนสะอาด ก็คงไม่ปล่อยให้คุณเช่าหรอก…”
“ลืมบอกไปเลย ย่านเล็กๆ แห่งนี้พวกเราอยู่กันอย่างคุ้นเคยแล้ว อย่าได้พาคนนอกเข้ามามั่วซั่วเชียว”
“อีกอย่าง ตอนอาบน้ำก็ใช้ถังตวงน้ำไว้ด้วย ย่านเก่าๆ มักจะมีน้ำรั่วซึมอยู่บ้าง”
“ชั้นล่างยังมีเด็กต้องสอบเกาเข่า อย่าทำเสียงดังในบ้านล่ะ ห้องเก่านี้ไม่ค่อยกันเสียงเท่าไรนัก…”
“นอกจากนี้ หากพวกเรากลับมาอยู่ คุณก็ต้องย้ายออกไป…”
หญิงมีอายุพูดพร่ำอยู่พักใหญ่ ชายผู้นั้นกลับไม่มีทีท่ารำคาญแต่อย่างใด เอาแต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
หญิงคนนั้นเห็นเขาพูดง่าย ก็รู้สึกสบายใจไม่น้อย ท้ายที่สุดจึงส่งกุญแจให้อีกฝ่าย “ในห้องไม่ได้สกปรกมากมาย บางครั้งฉันก็กลับมาเก็บกวาด เครื่องอำนวยความสะดวกหลักๆ ล้วนมีพร้อม คุณซื้อของที่จำเป็นต้องใช้เพิ่มอีกหน่อยก็พอแล้ว”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณพี่เฉินจริงๆ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อน”
พี่เฉินก็ไม่รั้งตัวนาน รอเธอออกจากประตูแล้ว ชายวัยกลางคนก็รีบปิดประตูลง
ครู่ต่อมาก็ถอนหายใจเล็กน้อย พึมพำว่า “ย่านเก่าๆ แบบนี้ คงไม่มีผู้ดูแลสินะ?”
พูดจบ เขาก็เดินไปที่ระเบียง มองไปยังด้านนอก ยืนขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเบา “ก็ไม่รู้ว่าคนของหยางเฉิงจะเจอเบาะแสที่ฉันทิ้งไว้หรือเปล่า…”
เขาจงใจหลอกล่อคนของหยางเฉิงให้ไปทางเขาชางซาน เพื่อจะได้เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองหนีไปทางนั้น คาดว่าพอไม่อยู่ในเขตของอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็คงไม่ใส่ใจเท่าใด
คิดเรื่องพวกนี้ในใจ ก่อนชายคนนั้นจะนวดขมับ เขาไม่ได้สนใจเมืองเล็กๆ อย่างหยางเฉิงเท่าไรหรอก
แม้จะถูกเจอตัว ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
กลัวก็แต่ว่าจะเคลื่อนไหวใหญ่โตเกินไป ดึงความสนใจของเบื้องบน
อาศัยความสามารถของเขา หลบตัวในเมืองเล็กๆ นี้ยังพอว่า หากไปเมืองใหญ่ ก็คงไม่รู้จะตายยังไง
นึกมาถึงตรงนี้ เขาก็จนใจอยู่บ้าง จำเป็นต้องหาวิธีออกจากประเทศ ไปประเทศที่วุ่นวายเล็กๆ ดีกว่าต้องอยู่อย่างวิตกกังวลที่ประเทศจีน
แม้ว่าประเทศจีนจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่บางครั้งจะว่าเล็กก็เล็กเช่นกัน
ยามนี้มีการเฝ้าสังเกตอย่างหนาแน่น เว้นเสียแต่ว่าจะหลบในที่ทุรกันดาร ไม่อย่างนั้นคนอย่างเขาก็คงถูกพบไปนานแล้ว
แต่หากจะใช้ชีวิตในที่ทุรกันดารจริงๆ การกินอิ่มนอนหลับล้วนเป็นปัญหาทั้งนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่เทพเซียนที่อิ่มทิพย์
อีกอย่างพื้นที่ชนบทเหล่านั้น อยู่กันราวกับครอบครัว หากมีคนนอกเพิ่มเข้ามา ยิ่งจะน่าสงสัยกว่า
เมื่อขับอารมณ์ขุ่นมัวออกมา ก็ไม่คิดอะไรมากอีกแล้ว เมืองหยางเฉิงไม่มีคนที่น่าเกรงกลัว หลบอยู่ที่นี่สักพักแล้วค่อยว่ากันเถอะ
รอฝึกฝนจนสามารถทะลวงขั้น ติดต่อลู่ทางลักลอบข้ามแดนได้ ก็หาทางออกจากประเทศจีน
ย่านเก่าๆ เช่นนี้ กระทั่งผู้ดูแลยังไม่มี คาดว่าคงไม่มีใครสนใจตัวเอง
บริเวณโดยรอบยังมีร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อเล็กๆ นับว่าสะดวกสบาย ไม่อาจหลงเหลือเบาะแสอะไรมากมายนัก
ขบคิดเรื่องพวกนี้อย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าไม่มีช่วงโหว่ตรงไหนแล้ว เขาค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง
ทว่าในใจกลับรู้สึกเสียใจอยู่เลือนราง หากรู้ตั้งแต่ต้นคงไม่ทำเรื่องผิดเช่นนี้หรอก
หากไม่ใช่เพราะความวู่วามเพียงชั่วครู่ รออีกไม่กี่ปี ตัวเองก็คงสามารถรอทรัพยากรที่ต้องการได้
แต่อย่างไรผู้ฝึกยุทธ์ก็ต้องแข่งขันกันตลอดเวลา ตัวเองล่วงเลยเข้าวัยสี่สิบแล้ว หากรอต่อไปอีก ไม่รู้จะมีโอกาสเดินในเส้นทางนี้อีกหรือเปล่า
อายุมากแล้ว พลังปราณจึงลดลง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รีบอย่างนี้
ยังไงก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้อยู่ดี!
—
โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง
การแนะแนวก่อนสอบศิลปะการต่อสู้ที่กินเวลามาเกือบสองชั่วโมงได้สิ้นสุดลงพร้อมเสียงปรบมือเกรียวกราว
เดิมฟางผิงยังคิดจะส่งเสียงให้หวังจินหยางเสียหน่อย ปรากฏว่าเห็นอีกฝ่ายถูกโอบล้อมด้วยพวกนักเรียนจำนวนมาก เขาจึงสลัดความคิดทิ้งในทันที
การแนะแนวก่อนสอบจบลงแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลับห้องเรียน สามารถกลับบ้านได้เลย
ฟางผิงล่ำลากับพวกอู๋จื้อหาว ขณะที่กำลังจะแยกตัวออกไป อู๋จื้อหาวกลับเอ่ยด้วยสีหน้าคาดหวัง “ฟางผิง ตอนเย็นไปบ้านฉันไหม?”
ฟางผิงเผยสีหน้าทะมึน ไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร
อู๋จื้อหาวไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องพวกนี้ เอ่ยด้วยยิ้มกว้าง “นายไม่สงสัยเหรอว่าค่าปราณของนายเท่าไรกันแน่? พี่หวังบอกว่านายมีโอกาสสอบศิลปะการต่อสู้ได้ ค่าปราณต้องเพิ่มขึ้นไม่น้อยแน่ ไปลองตรวจที่บ้านฉันสักหน่อยไหม?”
ฟางผิงถอนหายใจ นายก็ไม่พูดให้มันจบๆ ล่ะ!
คนไม่รู้ ฟังครึ่งเดียวยังคิดว่าจะวางแผนร้ายอะไรซะอีก
“ช่างเถอะ รบกวนนายเปล่าๆ”
“ไม่รบกวนๆ ไปเถอะฟางผิง”
“ไม่อยากรบกวนจริงๆ ตอนเย็นฉันยังมีธุระ วันหลังไว้มีโอกาสจะเข้าไปละกัน”
ฟางผิงไม่อยากไปกระตุ้นเพื่อนคนนี้ ความอิจฉาทำให้คนบ้าคลั่งได้ ยามนี้อู๋จื้อหาวไม่รู้แน่ชัดว่าค่าปราณของเขามีเท่าใด จึงได้สงบใจเย็นเช่นนี้
หากรู้ว่าค่าปราณเขาหนึ่งร้อยยี่สิบแคล เกรงว่าจะสงบใจไม่อยู่แล้ว
อู๋จื้อหาวก็เป็นคนดีไม่น้อย หากถูกตัวเองดับความหวังจนหมดสิ้น นั่นก็เป็นความผิดบาปแล้ว
เห็นฟางผิงมีท่าทีหนักแน่น แม้อู๋จื้อจะอยากรู้ค่าปราณของอีกฝ่าย แต่ยามนี้ก็ทำได้เพียงปล่อยไป
ฟางผิงบอกลาคนอื่นๆ ในห้อง ก่อนจะเดินออกจากโรงเรียน กลับไปบ้านของตน
—
ฟางผิงออกไปได้ไม่นาน หวังจินหยางก็ปฏิเสธคำเชิญของโรงเรียนอย่างอ้อมค้อม ไม่ได้ตอบรับกินข้าวเย็น
สำหรับหวังจินหยาง การมาโรงเรียนเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น
มอบน้ำใจครั้งหนึ่ง ทั้งถือโอกาสหาเงินเล็กน้อย นับว่าไม่เสียหายอะไร
แต่เรื่องใหญ่ยังเป็นทางหน่วยสืบสวนของหยางเฉิง แม้ว่าเงินห้าแสนจะไม่มากนัก แต่สำหรับเมืองเล็กๆ อย่างหยางเฉิง นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ทั้งภารกิจในเมืองเล็กก็ทำสำเร็จได้ง่าย ความเสี่ยงมีน้อย หากราบรื่นก็จะสำเร็จในเวลาอันสั้น
เขาสะพายกระเป๋าออกจากโรงเรียน ไม่นานนักก็มีรถสีดำคันหนึ่งจอดลงเบื้องหน้าหวังจินหยาง
หวังจินหยางขึ้นรถทันที นั่งลงก็เอ่ยถาม “ข้อมูลบอกว่าคนเข้าไปในเขาชางซานแล้ว แต่เขาชางซานตอนกลางวันก็มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมในเวลาว่าง อีกฝ่ายคงไม่เคลื่อนไหวในตอนกลางวัน ซึ่งก็หมายความว่า อีกฝ่ายยังอยู่ในเขตเขาชางซานของหยางเฉิง?”
คนขับรถฟังจบก็เอ่ยทันที “คุณหวังพูดไม่ผิด อีกฝ่ายย่อมอยู่ในอาณาเขตของเมืองหยางเฉิง หากออกจากหยางเฉิง พวกเราคงจะได้รับข้อมูลแล้ว ผู้อำนวยการบอกว่า หากอีกฝ่ายทะลุผ่านเขาชางซานออกไปแล้ว จะรายงานคุณทันที ถึงเวลานั้นคุณไม่จำเป็นต้องตามต่อไปแล้ว”
หวังจินหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย คนหนีออกจากหยางเฉิง เช่นนั้นแม้ทางหยางเฉิงจะคิดสร้างผลงาน ก็ไม่อาจก้าวก่ายอำนาจในเขตอื่นได้
ไม่ให้ตาม ไม่ได้หมายความว่าภารกิจสำเร็จ ท้ายที่สุดทำได้เพียงรายงานผลล้มเหลวเท่านั้น
จากนิสัยของพวกหน่วยสืบสวนแล้ว จับคนไม่ได้ ย่อมไม่มีเงินให้ ให้เงินค่าเดินทางก็นับว่าดีแล้ว
หวังจินหยางครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “อีกฝ่ายอยู่ในเมืองหยางเฉิงมาช่วงหนึ่งแล้ว ทางพวกนายไม่เคยติดตามเขาเลยสักครั้ง?”
คนขับรถยิ้มแห้ง “อีกฝ่ายระวังตัวมาก…”
“ผู้อำนวยการของพวกนาย กระทั่งหยั่งเชิงก็ไม่เคยไป?”
“คือว่า…”
หวังจินหยางเบะปาก จิ้งจอกเฒ่าพวกนี้ รักชีวิตอย่างกับอะไรดี ไหนเลยจะกล้าไปหยั่งเชิงส่งเดช
“อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองจริงๆ งั้นเหรอ?”
“เรื่องนี้…”
คนขับรถลำบากใจอยู่บ้าง มองจากกระจกหลังเห็นสีหน้าของหวังจินหยางบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ก็ละล่ำละลักเอ่ย “เป็นขั้นสองไม่ผิดแน่! ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ก่อคดีในพื้นที่อื่นหลายครั้ง ล้วนเพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับการทะลวงด่าน แต่ดูจากยามนี้ คงยังรวบรวมทรัพยากรไม่เพียงพอ หรือแม้ว่าทรัพยากรจะพอแล้ว เขาก็คงหาเวลาที่เหมาะสมมาทะลวงขั้นไม่ได้ หลายวันมานี้ในหยางเฉิง พวกเราจับตาดูโดยตลอด ทุกอย่างปกติดี หากทะลวงขั้นได้ พวกเราคงทราบแล้ว”
คำพูดนี้กลับไม่ผิด ผู้ฝึกยุทธ์ทะลวงขั้น ไม่ใช้เรื่องที่สามารถทำสำเร็จในชั่วพริบตา
หวังจินหยางพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก
รอภารกิจครั้งนี้สำเร็จ ได้เงินห้าแสนหยวน รวมกับเงินหกหมื่นของโรงเรียน ในมือของตัวเองก็มีเงินประมาณสองล้านหยวนแล้ว
ทั้งเงินที่มหาวิทยาลัยหยิบยื่นให้อีกส่วนหนึ่ง ก็คงเพียงพอกับสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว
นึกถึงปีก่อน กระทั่งยาบำรุงเลือดไม่กี่พัน เขายังซื้อไม่ได้
ยามนี้ ในมือมีเงินเก็บเป็นล้าน กลับไม่พอใช้
เกรงว่าคนทั่วไปคงยากจะจินตนาการว่า แค่ปีเดียวตัวเองหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ยังไง
หวังจินหยางคิดแล้วก็หัวเราะกับตัวเอง หาเงินมากเท่าใด ก็ไม่พอใช้อยู่ดี
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงที่มีกิจการกำไรมหาศาล ไม่อย่างนั้นแม้ว่าจะเป็นคนของทางการ ทรัพยากรที่จัดหาให้ก็มีอย่างจำกัดอยู่ดี
เขาหาเงินได้เร็วขนาดนี้ ก็นับเป็นเรื่องยากยิ่งแล้ว
ผู้ฝึกยุทธ์บางคนไม่มีช่องทาง ไม่มีเส้นสาย จบจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ยังพอว่า แต่ถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่จบจากคลาสฝึกพวกนั้น นับว่าน่าอนาถอย่างยิ่ง
หลายคนมักจะติดอยู่ในขั้นหนึ่งทั้งชั่วชีวิต
เหมือนกับคดีครั้งนี้ หากเป็นนักศึกษาหรือศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำความผิดเพื่อทรัพยากรที่ต้องใช้ฝึกฝนเพียงเงินไม่กี่ล้าน
แต่อีกฝ่ายยังอดไม่ได้ที่จะทำผิดกฎหมาย เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธ์บางคน ก็ใช่ว่าจะขาวบริสุทธิ์อย่างที่คนนอกคิดเสมอไป
หวังว่าหลังจากการทะลวงขั้นครั้งนี้จะสามารถหาเงินจากการทำคดีได้มากขึ้นหน่อย
บางที ไปหาบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อก็พอเข้าท่าอยู่ล่ะมั้ง?
แต่เมื่อหวังจินหยางครุ่นคิดแล้ว กลับสลัดความคิดนี้ออกไป ไปสมัครบริษัทเล็กๆ กลับไม่ได้มีอะไรมากมายนัก
แต่เขาจำเป็นต้องออกหน้าจัดการปัญหายิบย่อยอยู่บ้าง
หากต้องทำบ่อยขนาดนั้น ยังไม่สู้เขารับงานอิสระด้วยตัวเองดีกว่า
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนน้อยยินดีที่จะสมัครเป็นฝ่ายกฎหมายของบริษัทเล็กๆ ปัญหาเยอะ ไม่คุ้มค่า
ผู้ที่ยินดีสมัครเป็นตัวแทนบริษัท จึงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีเวลาว่างเสียส่วนมาก
แต่ใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้ทั้งนั้น บริษัทมักต้องการหานักศึกษาสายศิลปะการต่อสู้ที่มีฐานะทางบ้านขาดสะอาดมารับผิดชอบหน้าที่นี้
เพราะตามกฎหมาย กิจการนั้นเป็นของตัวแทนฝ่ายกฎหมาย
หากรับผู้ฝึกยุทธ์มาสะเปะสะปะ ภายหลังเข้ามายึดบริษัทคุณ คุณก็คงทำอะไรไม่ได้
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย เว้นเสียแต่ว่าจะสร้างบริษัทขึ้นมาเอง ไม่อย่างนั้น บริษัทเล็กๆ คงไม่กล้าเชิญตัวคุณมาทำงาน
ระหว่างที่หวังจินหยางจมดิ่งในความคิด รถก็มุ่งหน้าไปยังเขาชางซานอย่างรวดเร็ว
—————–