ตอนที่ 21 สมบูรณ์แบบ!
ย่านจิ่งหูหยวน
ฟางผิงเพิ่งจะเปิดประตูเข้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงประตูนิรภัยจากชั้นบนปิดลง
ฟางผิงจับประตู มองไปยังมารดาที่ยุ่งอยู่หลังบ้าน เอ่ยอย่างแปลกใจ “แม่ครับ ป้าเฉินที่อยู่ชั้นบนย้ายกลับมาแล้วเหรอครับ?”
“เปล่านี่จ้ะ เทาเทาซื้อบ้านหลังใหญ่อยู่ที่ย่านเทียนหยวน ลูกก็เพิ่งจะคลอด ป้าเฉินนั้นเลี้ยงหลานอยู่ ไม่มีเวลากลับมาหรอก”
หลี่อวี้อิงหั่นผัก ทั้งเอ่ยไปพลาง “ปล่อยเช่าแล้ว คนเช่าใหม่เพิ่งเข้ามาวันนี้เอง”
“อ่อ”
ฟางผิงไม่ใส่ใจนัก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่ครับ รอผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ บ้านของเราก็ต้องเปลี่ยนเป็นหลังใหญ่เหมือนกัน”
หลี่อวี้อิงเผยรอยยิ้ม “ลูกสอบได้แล้ว พวกเรายังจะซื้อบ้านหลังใหญ่ไปทำไม? ลูกไม่อยู่บ้าน แม่และพ่อ ยังมีน้องอีกคน อยู่สามคนในบ้านหลังนี้ก็เพียงพอแล้ว”
“บ้านหลังนี้เล็กเกินไป”
ฟางผิงสั่นศีรษะ “อย่าคาดหวังเรื่องจะถูกไล่ที่เลย ในความเห็นของผม ผ่านมาสิบปีขนาดนี้คงไม่มีการรื้อถอนอะไรแล้ว”
ผู้อาศัยในย่านจิ่งหูหยวนพวกนี้ล้วนแต่คาดหวังให้รัฐบาลมาไล่ที่ทั้งนั้น
ยอมที่จะปล่อยเช่า แทนที่จะขายออกไป เพราะมีข่าวว่าจะรื้อถอนออกมาทุกปี
ตามหลักแล้ว บ้านที่อายุสามสิบปีขึ้นไป ทั้งพื้นที่ก็ไม่ได้แย่อะไร คงต้องถึงเวลารื้อถอนแล้ว
แต่จิ่งหูหยวนกลับไม่ถูกรื้อ สิบปีให้หลังก็ยังอยู่ เรื่องนี้ทำให้ฟางผิงหงุดหงิดใจอย่างยิ่ง
ระหว่างที่สองแม่ลูกพูดคุยกัน ด้านนอกก็มีเสียงไขกุญแจดังขึ้น
ไม่นาน ฟางหยวนก็เปิดประตูเข้ามา
เพิ่งจะเปิดประตู ฟางหยวนก็รีบก้มหัวถอดรองเท้า เบียดฟางผิงที่กำลังเปลี่ยนรองเท้าจนแทบจะทำให้เขาล้ม
ปรากฏว่าฟางผิงยังไม่ทันพูดอะไร ฟางหยวนก็เอ่ยอย่างตกใจเสียก่อน “ฟางผิง นายทำอะไร หัวใจฉันเกือบจะวาย!”
ฟางผิงหันมามองน้องสาว ละอายใจตัวเองบ้างหรือเปล่า?
เป็นเธอต่างหากที่มาเบียดฉันก่อน?
ฉันยังไม่ได้บ่นอะไร เธอกลับเป็นตัวร้ายชิงเอะอะขึ้นมาก่อน!
ฟางผิงไม่สนใจเธอ เปลี่ยนรองเท้าแล้วก็เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ฟางหยวนรีบเปลี่ยนรองเท้าเช่นกัน ก่อนจะถามอย่างสงสัย “ฟางผิง ทำไมวันนี้นายกลับมาเร็วกว่าฉันล่ะ?”
“โรงเรียนจัดงานบรรยายความรู้ก่อนสอบศิลปะการต่อสู้ ไปนั่งฟังแล้วก็กลับมา”
“ใช่หวังจินหยางคนนั้นเป็นคนไปพูดให้พวกนายฟังหรือเปล่า?”
“เธอรู้เรื่องนี้ด้วย?”
ฟางผิงตะลึงอยู่บ้าง พวกนักเรียนมัธยมต้น ยังสนใจเรื่องนี้ด้วย?
ฟางหยวนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนว่าต้องรู้ พี่สาวของเพื่อนฉันคนหนึ่งก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง เพื่อนคนนั้นของฉันยังให้พี่สาวไปขอลายเซ็นหวังจินหยางด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาหรือเปล่า”
ฟางหยวนพูดจบ ก็ถามฟางผิง “นายเห็นหวังจินหยางหรือเปล่า?”
“ไร้สาระ ไปนั่งฟังจะไม่เห็นได้ยังไง? ไม่ได้เห็นอย่างเดียวด้วย ฉันไปรับมาจากสถานีด้วยซ้ำ”
“จริงเหรอ?”
“ก็ต้องจริงนะสิ”
ฟางหยวนได้ฟัง ชั่วขณะนั้นก็อารมณ์เสียขึ้นมา “ทำไมนายไม่บอกก่อนล่ะ!”
ฟางผิงยังคิดว่าเธอเป็นพวกบ้าคนดัง เบะปากว่า “มีอะไรให้ต้องพูดกัน หน้าตาก็ธรรมดา พี่ชายเธอยังหล่อกว่าอีก”
“นายโง่หรือไง!”
ฟางหยวนดูแคลนอย่างยิ่ง พี่ชายตัวเองไม่มีสมองจริงๆ
“ถ้านายบอกฉันว่าไปรับหวังจินหยาง พกสมุดเล็กๆ ไปเล่มหนึ่ง ให้เขาเซ็น ฉันก็จะได้เอาไปขายที่โรงเรียน โรงเรียนพวกเรามีแต่คนเทิดทูนหวังจินหยางทั้งนั้น แน่นอนว่า ขอแค่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง ลายเซ็นหนึ่งก็ขายได้สิบหยวนแล้ว หากเซ็นร้อยหน้า พวกเราก็รวยเละแล้ว…”
ฟางผิงอ้าปากค้าง มีแบบนี้ด้วยเหรอ?
น้องสาวคนนี้ของตัวเอง ฉลาดคิดขนาดนี้เชียว คนอื่นอยากได้ลายเซน เธอกลับอยากเป็นคนขาย
ฟางหยวนยังคงหงุดหงิดที่ฟางผิงไม่บอกตัวเองล่วงหน้า ถามอย่างร้อนใจ “ตอนนี้เขาไปหรือยัง? ถ้ายังไม่ไป นายก็ไปขอลายเซ็นเขาสิ? ถ้าฉันขายได้ พวกเรา…พวกเราแบ่งกันสามสิบเจ็ดสิบ!”
“ฉันเจ็ดสิบ?”
“นายสิสามสิบ!”
“ฉันจะบอกให้นะฟางหยวน ถ้าเธอไม่ไปทำธุรกิจอะไรสักอย่างคงจะน่าเสียดาย กระทั่งพี่ชายเธอยังหลอกได้ แถมไม่ใช่ครั้งแรกด้วย!”
ฟางผิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ก่อนจะสั่นศีรษะ “เขาไปตั้งนานแล้ว จะให้ไปเซนที่ไหนล่ะ อีกอย่าง จะให้พี่ชายเธอขายหน้ากับคนๆ นี้ไม่ได้”
“เชอะ!” ฟางหยวนทำปากขมุบขมิบ “มีอะไรให้ขายหน้ากัน เงินหลายพันหยวนฉันใช้ได้เป็นปี เอาไปจ่ายค่าเทอมยังได้”
ฟางผิงไม่เอ่ยอะไร อย่าพูดว่าเขานึกเรื่องนี้ไม่ได้เลย ถ้านึกได้…ไม่แน่ว่า เขาอาจจะทำจริงๆ ก็ได้
เขารู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้อยู่บ้าง
แน่นอนว่า แม้จะนึกได้ ก็ใช่ว่าหวังจินหยางจะยอมเซ็นให้เสมอไป
ระหว่างที่สองพี่น้องพูดคุยกัน หลี่อวี้อิงที่อยู่ในสวนก็เอ่ยอย่างแปลกใจ “หวังจินหยาง คนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปีที่แล้วได้ใช่หรือเปล่า?”
“แม่ก็รู้เรื่องนี้ด้วย?”
ฟางผิงตกใจยิ่งกว่า นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ปีหนึ่งเท่านั้น กลับกลายเป็นดาราดังที่รู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง
หลี่อวี้อิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่เคยไปโรงเรียนพวกลูกๆ อาจารย์เคยพูดถึงชื่อนี้อยู่ จำได้คลับคล้ายคลับคลาเท่านั้น”
ยุคสมัยนี้ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้นั้นมีชื่อยิ่งกว่าสอบเข้ามหาวิทยาชิงหวาเป่ยต้าเสียอีก
โดยเฉพาะหวังจินหยางที่ประสบความสำเร็จทั้งที่มีฐานะทางบ้านธรรมดา ชื่อเสียงจึงดังกว่าคนปกติ ความจริงนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อยที่ครอบครัวของนักเรียนในโรงเรียนจะรู้จักชื่อหวังจินหยาง
พอได้ยินว่ามารดาก็รู้จักหวังจินหยาง แววตาของฟางผิงก็วูบไหวเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่ครับ ในเมื่อแม่รู้จักหวังจินหยาง เรื่องก็ง่ายขึ้นแล้ว วันนี้ผมไปรับเขามา เดิมทีผมเตรียมจะให้พ่ออู๋จื้อหาวเป็นคนซื้อยาให้ ปรากฏว่าหวังจินหยางก็มีเหมือนกัน ทั้งยังเป็นของมหาวิทยาลัยเขา! เขาบอกว่าเขาไม่ได้ใช้ ผมคิดว่าเขาเป็นนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ ยาที่มาจากมหาวิทยาลัยอาจให้ประสิทธิไม่ดีเท่าที่ควรต่อเขา ผมจึงซื้อยาบำรุงกำลังจากหวังจินหยางมา”
ในห้องพลันเงียบสงบลงทันที ฟางหยวนมองพี่ชายตัวเองอย่างจับผิด คำพูดนี้ทำไมดูเหมือนจะหลอกคนเสียอย่างนั้น?
ฟางผิงก็ไม่ใส่ใจนัก ก่อนหน้านี้อ้างชื่ออู๋จื้อหาว นั่นเป็นเพราะว่าไม่มีคนที่น่าไว้ใจกว่านี้แล้ว
แต่อู๋จื้อหาวอยู่ในโรงเรียน ไม่รู้ว่าวันใดจะบังเอิญไปพบพ่อแม่ตัวเองเข้า หากโดนถามขึ้นมา นั่นก็ซวยแล้ว
หวังจินหยางกลับไม่เหมือนกัน เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หนึ่งปีแทบจะกลับมาบ้านนับครั้งได้
แม้ว่าจะกลับมา พ่อแม่ตัวเองก็ไม่มีโอกาสพูดคุยกับอีกฝ่ายอยู่ดี เรื่องนี้พวกเขาไม่อาจไปถามจากผู้ฝึกยุทธ์ได้หรอก?
นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงก็อดยกนิ้วให้กับความฉลาดของตัวเองไม่ได้ นับวันก็ยิ่งกลับกลอกเก่งขึ้นเรื่อยๆ
อ้างว่าให้พ่ออู๋จื้อหาวซื้อ ยังมีช่องโหว่ ภายหลังจำเป็นต้องหาวิธีแก้ไข ยามนี้กลับเป็นข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบแล้ว!
ไม่รอให้มารดาไถ่ถามอะไร ฟางผิงก็เอ่ยว่า “หวังจินหยางเห็นแก่ผมที่เป็นรุ่นน้อง เลยขายให้ผมสองหมื่นหยวน ผมก็กินเข้าไปทันที ผลลัพธ์นั้นน่าทึ่งจริงๆ! ผมกินแล้ว หวังจินหยางก็บอกว่าการสอบศิลปะการต่อสู้ปีนี้คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมแล้ว”
“จริงเหรอ?”
หลี่อวี้อิงตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าลูกชายจะซื้อยาบำรุงจากนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ทั้งยังกินเข้าไปทันที
เรื่องนี้ช่างเถอะ อย่างไรก่อนหน้านี้ก็ให้เงินลูกชายเพื่อซื้อยาบำรุงอยู่แล้ว
แต่อีกฝ่ายบอกว่าลูกชายตัวเองมีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้?
นี่ไม่ใช่คำพูดจากคนธรรมดา ในสายตาของหลี่อวี้อิง คำพูดของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้นั้นน่าเชื่อถือหว่าพวกข้าราชการเสียอีก
ชั่วขณะนั้นหลี่อวี้อิงก็ไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง
ฟางหยวนที่อยู่ด้านข้างมองพินิจฟางผิง ลูบคางราวกับเป็นผู้ใหญ่ เผยสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิด
ขึ้นชื่อว่า เป็นคนที่เข้าใจฟางผิงมากที่สุดมาตั้งแต่เล็กจนโต ฟางหยวนคิดว่าตัวเองเหมือนจะพบความลับอะไรบางอย่าง!
ฟางผิงกำลังโกหกอยู่!
แม้ว่าจะเป็นเพียงสัญชาตญาณ แต่ฟางหยวนก็คิดว่าตัวเองไม่ได้เดาผิด หมอนี่กำลังโกหกอยู่จริงๆ
มีเรื่องบังเอิญถึงขนาดนี้ที่ไหนกัน ต้องการจะซื้อยา คนเขากลับมียาในมือพอดี ทั้งยังขายให้จริงๆ…
ฟางหยวนคิดว่าตัวเองต้องสวมบทเป็นเชอร์ล็อก โฮมส์ ตรวจสอบเบื้องลึกเบื้องหลังของพี่ชายสักหน่อยแล้ว
ฟางหยวนสงสัย หลี่อวี้อิงกลับไม่แคลงใจ
ได้ยินว่านักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ชมว่าลูกชายมีโอกาสสอบผ่าน หลี่อวี้อิงก็ดีใจอย่างยิ่ง มีแรงทำกับข้าวขึ้นมาทันที
รอจนหลี่อวี้อิงเข้าไปยุ่งในครัวแล้ว ฟางหยวนก็ลากฟางผิงเข้ามาในห้อง เอ่ยอย่างดุดัน “บอกมา นายโกหกใช่หรือเปล่า?”
ฟางผิงกลอกตา เอ่ยอย่างอารมณ์เสีย “ใครโกหกเธอกัน ไม่เชื่อเธอก็ไปถามหวังจินหยาง อีกอย่าง จะเป็นม้าหรือลา รอการตรวจสอบร่างกายสิ้นสุดลง ก็คงรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ปีนี้พี่ชายเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้แน่! เทอมหน้า ถ้าเธอไม่มีเงิน ฉันก็จะให้ลายเซ็นเธอไปขายเอง!”
“ยังไงก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดี” สาวน้อยยังคงพึมพำ ส่วนที่ฟางผิงให้เธอไปถาม คิดว่าเธอโง่หรือไง จะไปถามที่ไหนกัน
แม้จะคิดว่าพี่ชายโกหก ฟางหยวนก็ยังคงเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะจริงหรือโกหก ก็ไม่อนุญาตให้นายทำเรื่องไม่ดีทั้งนั้น!”
ฟางผิงหลุดขำ ยืนมือไปหยิกแก้มน้องสาวอีกครั้ง เอ่ยอย่างจนใจ “ฉันทำเรื่องไม่ดีได้งั้นเหรอ? วางใจเถอะ เชื่อมั่นในพี่ชายเธอหน่อย”
“ฉันก็อยากให้นายสอบเข้ามหาวิทยาศิลปะการต่อสู้ได้ คิดมาตลอดว่าถ้านายสอบได้ ฉันก็คงสอบเข้าได้…”
“เจ็บ!”
สาวน้อยพูดไม่ทันจบ ก็ถลึงตาใส่ฟางผิง เขาเพิ่งจะหยิกแก้มเธอเต็มแรง
ฟางผิงหยิกแก้มกลมของน้องสาวแรงขึ้น โมโหยิ่งกว่าเธอเสียอีก พี่ชายเธอไร้ประโยชน์ขนาดนั้นเชียว?
—
สองพี่น้องมองกันตาขวางอยู่ค่อนวัน จวบจนฟางหมิงหรงกลับมา ฟางผิงค่อยขยี้ตา เล่าเรื่องให้บิดาฟังอีกครั้ง
ฟางหมิงหรงก็เหมือนกับหลี่อวี้อิง ไม่สงสัยอะไรลูกชาย
ส่วนมากพ่อแม่บนโลกใบนี้ก็มักเป็นแบบนี้ คิดว่าลูกๆ ของพวกเขาไม่อาจโกหกอะไรตัวเองได้
รวมกับหลายปีมานี้ ลูกชายก็เป็นนักเรียนที่ดีมาโดยตลอด
ฟางหมิงหรงแทบไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะมีวันที่ลูกชายกล้าหลอกเอาเงินเขาไปสองหมื่นหยวน นั่นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
เมื่อรู้ว่าฟางผิงซื้อยามาจากนักศึกษามหาวิทยาศิลปะการต่อสู้ ฟางหมิงหรงกลับคิดว่าน่าไว้ใจกว่าการไหว้วานพ่อเพื่อนนักเรียนคนนั้นเสียอีก
แม้ว่าจะเสียดายที่ไม่ได้เห็นยาบำรุงนั้นอยู่บ้าง
แต่จุดประสงค์ที่ซื้อก็เพื่อให้ลูกชายกินอยู่แล้ว
ความเสียใจเล็กๆ นี้ ไม่นานก็ถูกฟางหมิงหรงลืมเลือนไป
ยามที่กินข้าวเย็น ฟางหมิงหรงก็ดื่มเหล้าขาวมากกว่าปกติอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
หวังจินหยางบอกว่าลูกชายตัวเองมีโอกาสสอบผ่าน นั่นเกรงว่าคงจะมีหวังจริงๆ แล้ว!
ช่วงเวลานั้น คนทั้งบ้านก็มีความสุขขึ้นมาอย่างยิ่ง ฟางผิงก็พอใจกับข้ออ้างของตัวเองเช่นกัน เรื่องนี้เหมาะสมแล้ว!
ขอเพียงแค่พ่อแม่ไม่พบหวังจินหยาง เรื่องนี้ก็จะไร้ช่องโหว่ เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ…
——————-