ตอนที่ 72 อย่าหาเหตุผลกับคนไร้เหตุผล

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 72 อย่าหาเหตุผลกับคนไร้เหตุผล

หยุนเชวี่ยนอนอยู่บนเตียงเล็กฟังคู่สามีภรรยาที่อยู่อีกฟากของผ้าม่านกระซิบคุยกัน

“ไฉ่เหอ เจ้ายังปวดหัวอยู่หรือเปล่า?” หยุนลี่เต๋อเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

แม่นางเหลียน “ไม่ปวดแล้ว”

หยุนลี่เต๋อ “หัวฟาดพื้นหรือไม่?”

แม่นางเหลียน “ไม่…”

หยุนลี่เต๋อ “เจ้าบอกข้ามาเถิด อย่าปิดบังเลย”

แม่นางเหลียน “ไม่มีอะไรหรอก ข้าหายดีแล้ว”

หยุนลี่เต๋อ “ข้าเป็นห่วง เหตุใดเราถึงไม่เชิญหมอมาดูอาการเล่า?”

แม่นางเหลียน “ท่านจะไปตามหาหมอที่ไหน ท่านอ่อนโยนถึงเพียงนี้ได้อย่างไร…”

หยุนลี่เต๋อ “อย่ากังวลเรื่องเงินเลย ข้าเก็บเงินเหล่านั้นไว้ก็เพื่อเจ้าและลูก”

แม่นางเหลียนหัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ยปาก “ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่ข้าไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ”

หยุนลี่เต๋อ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะทำไก่ตุ๋นเพื่อเสริมสุขภาพให้เจ้า”

แม่นางเหลียน “ดูท่านสิ ลืมไปแล้วหรือว่าเราจะเลิกทำเมนูเนื้อสักพัก? เชวี่ยเอ๋อกินมันจนเบื่อแล้ว”

หยุนลี่เต๋อ “มันไม่เหมือนกัน ไก่บ้านตัวใหญ่เนื้อแน่นเหมาะแก่การนำไปตุ๋นนัก…”

แม่นางเหลียน “ชู่ว… เบา ๆ สิ ลูกหลับอยู่”

หยุนลี่เต๋อ “เจ้าก็หลับได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าอย่าตื่นมาทำอาหารเลย”

แม่นางเหลียน “แล้วใครจะทำเล่า?”

หยุนลี่เต๋อ “เยี่ยนเอ๋อและเชวี่ยเอ๋อโตแล้ว การทำอาหารคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกนาง เจ้าพักผ่อนเถิด…”

แม่นางเหลียน…

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอก็ดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่งของผ้าม่าน

หยุนเชวี่ยพลิกตัวพลางใช้นิ้วสะกิดหยุนเยี่ยน “พี่สาว หลับหรือยัง?”

หยุนเยี่ยนส่งเสียง “อืม” ในลำคอ

“พี่สาว ข้ารู้ว่าท่านยังไม่นอน…”

“ท่านแม่ช่างฉลาดจริง ๆ พี่สาวคิดว่าอย่างไร?”

“กลยุทธ์คั่นเวลา”

“หืม?”

หยุนเชวี่ยใช้ท่อนแขนแทนหมอนหนุน ดวงตาของนางเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิด

“พี่สาว หลังจากที่ตามท่านพ่อเข้าไปในบ้าน ข้าได้ยินท่านปู่ ท่านย่า และหยุนชิ่วเอ๋อบังคับให้ท่านพ่อเป็นคนจ่ายเงินยี่สิบตำลึงให้แก่ตระกูลหยู ข้ากลัวเหลือเกินว่าท่านพ่อจะยอมพวกเขา ดังนั้นข้าจึงคิดแผนนี้เพื่อเรียกให้ท่านพ่อกลับมา…”

หยุนลี่เต๋อเป็นคนซื่อสัตย์ กตัญญู และหูเบา ในเมื่อแม่เฒ่าจูกล่าวบังคับ นางจึงเกรงว่าพ่อของตนจะยอมกัดฟันและทำตามที่คนเหล่านั้นสั่ง

พวกที่อยู่ในห้องนั้นต้องเป็นคนประเภทไหนกัน?

ตราบใดที่หยุนลี่เต๋อยอมรับคำกล่าวอ้างเหล่านั้น ครอบครัวของนางต้องเสียเงินยี่สิบตำลึงไปอย่างเปล่าประโยชน์แน่นอน

“ให้ครอบครัวเราจ่าย… ยี่สิบตำลึง” หยุนเยี่ยนกล่าวอย่างประหลาดใจ “เราจะหาเงินมากเพียงนั้นมาจากไหนเล่า?”

“ท่านย่าบอกให้ท่านพ่อขายที่ดิน…”

“เรามีที่ดินแค่เก้าไร่ แล้วเราจะขายมันได้อย่างไร?”

คราที่แยกครอบครัวออกมา แม่เฒ่าจูได้แบ่งที่ดินให้พวกเขาทั้งหมดเก้าไร่ไม่มีขาดหรือเกิน

ขณะที่หวังหลี่เจิ้งพาคนไปวัดที่ดิน แม่เฒ่าจูผู้เก็บตัวได้ออกไปคุมงานด้วยตนเอง นางจ้องมองคนวัดที่ดินด้วยสายตาจับผิดจนชายตัวโตที่กำลังวัดที่ดินไม่กล้าเงยหน้ามาสบตา

หยุนเชวี่ย “ถ้าอย่างนั้นเราจะขายที่ดินไม่ได้”

หยุนเยี่ยนพยักหน้าพลางกล่าวด้วยความกังวล “ถ้าท่านย่าไม่ยอมล่ะ?”

“เราจะเรียกร้องความยุติธรรมโดยการโห่ร้องให้ชาวบ้านเป็นคนตัดสิน การยกเลิกงานแต่งไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก ดังนั้นท่านปู่ต้องยอมแพ้เราเพื่อรักษาชื่อเสียงแน่…”

คนไร้เหตุผลจะมีเหตุผลอันใดเล่า? พวกเขาต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ดังนั้นปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยวิธีหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง

“ท่าปู่จะไม่ฆ่าพวกเราหรือ…” หยุนเยี่ยนหวาดกลัวเล็กน้อย

“พี่สาวจะกลัวอะไร? พวกเราวิ่งหนีคนแก่ไม่ได้หรือ?”

หยุนเยี่ยน…

“พี่สาว ถ้าข้าไม่อยู่บ้าน ท่านช่วยสอดแนมพวกเขาให้ข้าที”

“อืม” หยุนเยี่ยนพยักหน้า

“ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้พี่สาวไปที่ประตูและตะโกนสุดเสียงเลยนะ”

“อืม เจ้าจะให้ข้าตะโกนว่าอะไร?”

“หากพี่สาวไม่รู้ว่าจะตะโกนคำไหนก็ให้ไปหาเหอยาโถว เขาจะ…”

วันถัดมา

หยุนลี่เต๋อตื่นแต่เช้าตรู่ เขานั่งยอง ๆ ข้างสวนผักเพื่อหุงข้าว

ข้าวถูกใส่ลงในหม้อเหล็กใบใหญ่ ฟืนในเตาแตกปะทุออกมา

“ท่านพ่อ ข้าทำเองเจ้าค่ะ” หยุนเยี่ยนยื่นมือเข้าไปช่วย

หยุนเชวี่ยเก็บแตงกวาในสวนผักไปล้างทำความสะอาดก่อนโรยด้วยเกลือหนึ่งหยิบมือ น้ำตาลเล็กน้อย และน้ำส้มสายชู

แตงกวากรอบและอร่อยอย่างยิ่ง คงจะดีกว่านี้หากใส่น้ำมันงาลงไป

ในสมัยโบราณ น้ำมันพืชนั้นเป็นสิ่งหายาก ทุกครัวเรือนจึงใช้น้ำมันที่กลั่นจากไขมันสัตว์แทน

แม่นางเหลียนรู้สึกกระสับกระส่ายและอึดอัดยิ่งนัก เมื่อต้องนอนอยู่เฉย ๆ บนเตียง

“เจ้าใส่น้ำในหม้อมากไป และตอนเที่ยงเราจะกินบะหมี่ไข่!”

“เหตุใดเจ้าถึงตื่นเวลานี้” หยุนลี่เต๋อเช็ดมือเข้ากับเสื้อผ้าของตนเองอย่างลวก ๆ ก่อนเข้าไปพยุงภรรยา “รีบไปพักผ่อนเถิด หากอาหารสุก ข้าจะยกไปให้เจ้าเอง”

“ข้านอนแล้วเจ็บเอว ขาชา…”

“เจ้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะหาที่นอนที่นุ่ม ๆ มาให้ เจ้าจะได้นอนสบาย”

แม่นางเหลียนเอ่ยตอบอย่างช่วยไม่ได้ “มันร้อน ท่านอย่าทำมันยุ่งยากไปกว่านี้เลย…”

“เจ้าลองนอนพลิกตัวบ่อย ๆ ดูสิ หากข้าทำสวนเสร็จแล้วจะกลับมานวดให้”

หยุนเชวี่ย…

หยุนเยี่ยน…

เสี่ยวอู่…

เด็กทั้งสามคนหันมองหน้ากันและกันอย่างเงียบ ๆ

“ท่านพ่อรักท่านแม่มากสินะ” หยุนเชวี่ยระบายยิ้ม

ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้! พวกเขามีลูกสามคนแล้ว แต่ความรักยังคงหวานชื่นปานน้ำผึ้งเดือนห้า นอกจากนี้คนสมัยโบราณมีความเชื่อว่าหากไม่รับประทานอาหารเช้าจะทำให้เจ็บคอ…

“เสี่ยวอู่ ถ้าแต่งงานกับน้องสะใภ้แล้ว เจ้าต้องปฏิบัติกับนางเช่นนี้นะ… เข้าใจหรือไม่?” หยุนเชวี่ยกล่าวหยอกล้อพลางเลิกคิ้ว

เสี่ยวอู่เผยสีหน้าไร้อารมณ์ นั่งยอง ๆ อยู่ข้างสวนผักพลางใช้กิ่งไม้เขี่ยพื้นดิน

หยุนเยี่ยนจ้องมองน้องสาว “พูดจาไร้สาระอีกแล้ว เสี่ยวอู่อายุเพียงไม่กี่ขวบ เจ้าเป็นพี่สาวประสาอะไร…”

หยุนเชวี่ยฉีกยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวเรียงตัวสวยงาม “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าหยอกเล่นกับเขาอยู่น่ะ เจ้าเด็กเมื่อวานซืนรู้เรื่องหรือไม่?”

เสี่ยวอู่ช้อนตาขึ้นมองพี่สาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนก้มลงเล่นดินอีกครั้ง

ช่างเถอะ นางเคยชินกับการเมินเฉยของน้องชายแล้ว

ประตูห้องชั้นบนถูกเปิดออกทำให้เกิดเสียงดัง “เอี๊ยด”

ชายชราสวมชุดเสื้อคลุมตัวเดียวเดินออกมาก่อนหันหน้าไปทางสวนผักทางทิศตะวันออกพลางเอ่ยถาม “เยี่ยนเอ๋อ แม่ของเจ้าดีขึ้นหรือยัง?”

“ยะ ยังเจ้าค่ะ…” หยุนเยี่ยนเอ่ยตอบพร้อมเหลือบมองไปทางชายชราอย่างรวดเร็ว ก่อนก้มลงหยิบฟืนใส่เข้าไปในเตา

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่รู้เจ้าค่ะ…”

ผู้เฒ่าหยุนยืนอยู่กลางบ้านพลางเอามือไพล่หลังราวกับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่

“ท่านปู่ ท่านแม่ของข้าอาจทำงานหนักจนป่วยก็เป็นได้” หยุนเชวี่ยกล่าวต่อ

“อืม” ผู้เฒ่าหยุนไม่แม้แต่จะชายตามองหลานสาว

“ทำงานน้อยเช่นนั้นยังป่วยอีกหรือ ข้าทำงานทั้งวันยังไม่เห็นจะป่วยเลย” แม่นางเฉินอ้าปากหาวขณะเดินออกมาจากห้องในปีกตะวันตกของบ้าน

เดิมทีครอบครัวของหยุนเชวี่ยต้องเป็นคนซักผ้า ให้อาหารหมู แม่นางเหลียนเป็นคนที่ทำงานได้คล่องแคล่วและรวดเร็ว ส่วนคนอื่น ๆ งอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลย

ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว เมื่อครอบครัวของหยุนเชวี่ยแยกตัวออกมา งานทุกอย่างภายในบ้านจึงตกเป็นหน้าที่ของแม่นางเฉิน อีกทั้งต้องรับใช้แม่นางจ้าวที่มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ของนางด้วย

ทุกวันที่แม่นางเฉินลืมตาตื่น นางจะต้องทำงานบ้านให้เสร็จอย่างรวดเร็ว หากช้าแม้แต่นิดเดียว เสียงก่นด่าของแม่เฒ่าจูจะดังขึ้นมาเตือนใจของนางเสมอ

นอกจากนี้แม่นางเฉินเป็นคนที่ทำงานบ้านไม่ประณีตและไม่เรียบร้อย ดังนั้นนางจึงโดนตำหนิไม่เว้นแต่ละวัน

แม่นางเฉินเก็บความคับแค้นไว้ในใจ นางมักบ่นว่าตนต้องทนทุกข์มาตลอดแปดปี และคิดว่าหากครอบครัวของนางแยกตัวออกไปจะมีความสุขเพียงใด แม่นางเฉินหวังว่าหยุนลี่จงจะผ่านการทดสอบ เมื่อถึงตอนนั้นนางจะได้เสวยสุขบนกองเงินกองทองเสียที…