บทที่ 15 จิตวิญญาณอันน่ามหัศจรรย์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 15 จิตวิญญาณอันน่ามหัศจรรย์
บทที่ 15 จิตวิญญาณอันน่ามหัศจรรย์

หลังจากผ่านมาห้าปี ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก การเขียนยันต์อักขระในตอนเช้าได้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเฉินซี และวันนี้ก็ไม่มีการยกเว้น

หลังจากที่เฉินซีล้างร่างกายแล้ว เขาก็นั่งลงที่หน้าโต๊ะไม้และเริ่มเขียนยันต์อักขระ

ทว่าวันนี้มันแปลกไป เนื่องจากเนื้อหนังทั่วร่างกายของเขามีอาการเจ็บปวด เส้นสายการวาดผ่านข้อมือของเขานั้นสะดุดลงอย่างเห็นได้ชัด และความเร็วก็ช้าลงอย่างมาก มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเขียนยันให้เสร็จสามสิบแผ่นภายในสองชั่วยามครึ่ง

อย่างไรก็ตามเฉินซีไม่เก็บเอามาใส่ใจและจ้องมองไปยังแผ่นกระดาษยันต์ด้วยความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถัน

ยันต์พื้นฐานระดับแรกที่เขาต้องเขียนภายในวันนี้คือยันต์เกราะดินตามที่ร้านค้าของตระกูลจางร้องขอมา

ยันต์เกราะดินเป็นยันต์พื้นฐานธาตุดิน มีจุดเด่นด้านการป้องกัน โดยควบแน่นมวลดินให้แข็งเป็นโล่ สกัดกั้นการโจมตีเบื้องหน้าผู้ใช้งาน โครงสร้างของอักขระยันต์นั้นไม่ซับซ้อน แต่ความยากในการสร้างขึ้นมานั้นคล้ายกับยันต์เมฆาอัคคี ส่วนจุดเด่นของทั้งสองต่างกันโดยสิ้นเชิง

เนื่องจากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะถูกเยาะเย้ยว่าเป็นเศษสวะที่เพียงเขียนได้แต่ยันต์พื้นฐานเท่านั้น แต่ถ้าพูดถึงเพียงแต่ในระดับผู้เชี่ยวชาญการสร้างยันต์พื้นฐานก็ไม่อาจมีผู้ใดเทียบเคียงเขา

เพื่อที่จะให้มีรายได้เข้ามา เขาจึงไร้ทางเลือกและต้องเรียนรู้วิธีสร้างยันต์พื้นฐานของธาตุต่าง ๆ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเขาจึงได้รับศิลาวิญญาณจากร้านค้าของตระกูลจาง

จวบจนถึงวันนี้ จำนวนยันต์พื้นฐานที่เฉินซีสร้างขึ้นมานั้นน่าจะเกินหลักพันแล้ว และหากตัวเลขนี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะมันย่อมทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงและไม่อาจเชื่ออย่างแน่นอน

โดยปกติแล้ว ผู้เชี่ยวชาญยันต์อักขระส่วนใหญ่จะเลือกเส้นทางของการสร้างยันต์ที่เหมาะสมกับพวกเขาจากหนึ่งในธาตุทั้งห้า จากนั้นมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างรวดเร็วในวิถีเต๋าแห่งยันต์

ในขณะที่เฉินซียินดีที่จะฝึกยันต์พื้นฐานครบทั้งห้าธาตุ แม้ว่าจะเชี่ยวชาญดั่งใจนึกแล้วก็ตาม แต่เขาก็ใช้เวลากับมันมากกว่าผู้เชี่ยวชาญยันต์สายอื่น ๆ คงมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามันคุ้มค่าหรือไม่

วูบ! วูบ! วูบ!

ปลายพู่กันซึ่งถูกย้อมไปด้วยหมึกลอยอยู่เหนือกระดาษยันต์สีขาวราวหิมะและอ่อนนุ่ม ตวัดวาดลวดลายตามรอยสัญลักษณ์ของยันต์อย่างราบเรียบและคดเคี้ยว ทักษะการใช้พู่กันจารึกของเฉินซีนั้นแม่นยำและว่องไว ดูเหมือนมันจะไม่ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นบนข้อมือของเขา

อย่างไรก็ตาม เมื่อชายหนุ่มสร้างยันต์เกราะดินนี้ไปได้เพียงครึ่งทาง ความรู้สึกไม่สบายใจพลันก่อตัวขึ้นภายในใจ ราวกับว่ามีข้อผิดพลาดบนตัวแผ่นยันต์อักขระ แต่เมื่อเขาดูอย่างระมัดระวัง เขากลับไม่สังเกตเห็นถึงร่องรอยความผิดพลาดใด ๆ

เฉินซีขมวดคิ้วและหยุดวาดพู่กัน จากนั้นไตร่ตรองอย่างเงียบ ๆ เขาได้เขียนยันต์เกราะดิน ไม่ต่ำกว่าแสนแผ่นในช่วงห้าปีที่ผ่านมา และทักษะการใช้พู่กันของเขาได้บรรลุถึงขั้นที่สามารถสร้างโดยไม่ต้องหยุดพัก เหตุใดความรู้สึกไม่สบายใจถึงปรากฏขึ้นในวันนี้?

เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นตรวจสอบกระดาษยันต์บนโต๊ะอีกครั้งอย่างระมัดระวัง จากจุดที่เขาเริ่มวาด ความสมมาตรและเส้นสายของน้ำหมึกบนแผ่นยันต์… ยิ่งมองดูมันก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจอยู่ภายใน ราวกับว่าหน้าอกของเขาอัดแน่นไปด้วยก้อนอิฐ ทำให้การหายใจของเขาเร่งเร้า

เฉินซีพลันครุ่นคิด ‘ความอึดอัดนี้คือสิ่งใด? ทำไมข้าถึงรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความผิดพลาด! เป็นไปได้ไหมที่ข้าอาจทำผิดพลาด หรือว่า…’

ทันใดนั้นราวกับถูกสายฟ้าฟาด จากนั้นจึงเกิดแรงกระตุ้นอันรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลันภายในหัวใจของเฉินซี และราวกับเขาถูกเข้าสิง ชายหนุ่มก็หยิบพู่กันเขียนยันต์ขึ้นมาแล้วสะบัดมันลงไป!

เส้นสายบนกระดาษยันต์แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แรกเริ่มนั้นสัญลักษณ์บนแผ่นยันต์อันละเอียดและสลับซับซ้อนที่ถูกสร้างขึ้นโดยเฉินซีจากการตวัดเพียงครั้งเดียว กลับกลายเป็นแทนที่ด้วยลวดลายที่หนาแน่นและซับซ้อนในภายหลัง

ปัง!! หลังจากวาดถึงจังหวะสุดท้าย เฉินซีก็วางพู่กันเขียนยันต์ลงและหายใจเข้าอย่างหนักแน่นในขณะที่มือของเขาก็กดลงบนโต๊ะไม้ แต่ดวงตาของเขากลับวูบไหวอย่างน่าตกตะลึง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินซีจึงหยิบแผ่นยันต์ขึ้นมาและต้องขมวดคิ้ว เมื่อเขามองไปที่สัญลักษณ์บนแผ่นยันต์ แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยเพียงบางส่วนเท่านั้น

“ช่างเถอะ ข้าจะลองทดสอบดูก่อน ถ้าใช้การไม่ได้ มันก็แค่สูญเปล่า…” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นปราณแท้ก็ได้พวยพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขาไหลลงสู่แผ่นยันต์

ครืน!

ทันใดนั้น มวลดินสีเหลืองอันหนาทึบก็ทะลักออกมา และกลายเป็นโล่รูปเต่าที่มีขนาดสูงพอ ๆ กับมนุษย์ปรากฏขึ้นในมือของเฉินซี

สำเร็จ! เฉินซีถอนหายใจอย่างโล่งอกทว่าในขณะเดียวกันก็รู้สึกประหลาดใจ การปรับเปลี่ยนรูปแบบภายในยันต์เพียงเล็กน้อยบนลายเส้นก็อาจทำให้ทั้งยันต์ใช้การไม่ได้

แต่ลายเส้นบนแผ่นยันต์เกราะดินที่เขาวาดขึ้นนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกินครึ่ง แต่กลับยังสามารถใช้งานได้สำเร็จลุล่วง จะไม่ทำให้เฉินซีตกใจได้อย่างไร?

ข้า… เปลี่ยนโครงสร้างของยันต์เกราะดินจริง ๆ หรือ? เฉินซีครุ่นคิด

ความรู้เกี่ยวกับแผ่นยันต์อักขระของเฉินซีเกือบจะพังทลายลง เมื่อเขาตระหนักถึงสิ่งนี้ เขาไม่กล้าเชื่อว่ายันต์เกราะดินแบบนี้จะถูกสร้างขึ้นด้วยสองมือของตนเอง

ตัวเขายังคงสับสนงุนงงกับร่องรอยของความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น แล้วคิดว่าก่อนหน้านี้เขาทำมันได้อย่างไร?

หลังจากไตร่ตรองอย่างหนักเป็นเวลาเนิ่นนาน เฉินซีก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากตราประทับกายาอันแท้จริงของผู้อาวุโสฝูซี?

ผู้อาวุโสจี๋อวี้เคยกล่าวไว้ว่าตราประทับกายาอันแท้จริงมีเศษเสี้ยวแก่นแท้ของแผนภาพวารีหลากสถิตอยู่ ซึ่งเมื่อคืนนี้เฉินซีได้เพ่งพินิจตราประทับกายาอันแท้จริงทั้งคืน

ควบคู่ไปกับการพัฒนาของประสาทสัมผัสทั้งหกของเขาเมื่อตื่นขึ้น เฉินซีเกือบจะเข้าใจในทันทีว่าทั้งหมดนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับการจินตนการถึงตราประทับกายาอันแท้จริงภายในห้วงทะเลแห่งจิตสำนึกของเขาที่ปรมาจารย์แห่งคฤหาสน์ทิ้งไว้เบื้องหลัง!

ดูเหมือนว่าการเพ่งพินิจนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อความเข้าใจของเขาในหลักเต๋าแห่งยันต์อีกด้วย

เมื่อเฉินซีปรับความคิดให้คงที่ เขาก็รู้แจ้งในทันใด จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบพู่กันเขียนยันต์ขึ้นมาและเริ่มสร้างยันต์อีกครั้ง

เวลาผ่านไปไม่ถึงสองชั่วยาม ยันต์เกราะดินสามสิบแผ่นที่แตกต่างและพิเศษกว่าทั่วไปในท้องตลาดได้ปรากฏขึ้นในโลก และมันยังใช้เวลาในการเขียนเร็วขึ้นกว่าเมื่อก่อนถึงหนึ่งชั่วยาม!

ตั้งหนึ่งชั่วยาม! เวลาเท่านี้เพียงพอแล้วที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่าง! สิ่งที่ทำให้เฉินซีมีความสุขมากที่สุดก็คือปราณแท้ภายในตันเถียนของเขา ยังไม่หมดสิ้นเหมือนยามปกติ และยังเหลือปราณแท้ภายในมากกว่าครึ่ง นี่ยังหมายความว่าเขาสามารถสร้างยันต์เกราะดินได้อีกสามสิบแผ่น ด้วยเหตุนี้จะได้รับศิลาวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกสิบก้อนต่อวัน!

ข้าควรส่งแผ่นยันต์อักขระเหล่านี้ไปให้ลุงจางเสียก่อน เมื่อวานข้าไม่ได้สร้างยันต์ สงสัยว่าลุงจางจะตำหนิข้าหรือไม่…

เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และยับยั้งความประหลาดใจอันน่ายินดี จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนและเดินออกจากบ้านของเขา

ณ ร้านค้าของตระกูลจาง

จางต้าหยงยืนอยู่หลังโต๊ะที่ใช้สำหรับเก็บเงิน ทันทีที่เขาเห็นเฉินซีเดินเข้ามา เขาก็แสร้งทำเป็นโมโหขณะที่พูดว่า “เจ้าเด็กน้อย ทำไมเมื่อวานถึงหายไปโดยไร้เหตุผล? เจ้าคิดว่าโตเป็นผู้ใหญ่พอจนไม่คิดจะตั้งใจจะทำงานให้ข้าแล้วหรือ?”

ความอบอุ่นผุดขึ้นจากหัวใจของเฉินซี ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา หากไม่ใช่เพราะลุงจางคอยดูแลเขามาตลอด ครอบครัวของเขาคงจะสูญเสียแหล่งทำมาหากินไปนานแล้ว

เมื่อห้าปีก่อน เขาเพิ่งเรียนรู้วิธีสร้างยันต์พื้นฐานเท่านั้น และไปทุกที่เพื่อจะขายพวกมัน แต่ไม่ค่อยมีผู้ใดให้ความสนใจ อีกทั้งยังไม่มีพ่อค้ารายใดเต็มใจที่จะซื้อยันต์ที่เขาสร้าง การซื้อขายยันต์พื้นฐานภายในเมืองสนหมอกนั้นยอดเยี่ยมมาก และเหล่าพ่อค้าก็เต็มใจที่จะซื้อเป็นจำนวนมาก ในขณะที่เฉินซีมีความสามารถในการสร้างยันต์พื้นฐานเพียงห้าแผ่นต่อวันเท่านั้น ทำให้ไม่เข้าตาเหล่าพวกพ่อค้าเหล่านั้น

ด้วยความโชคดีที่เขาบังเอิญไปเจอ จางต้าหยงผู้ซึ่งเต็มใจที่จะซื้อแผ่นยันต์ที่เฉินซีสร้างขึ้น ด้วยราคาที่ใกล้เคียงกับท้องตลาด มันเป็นเช่นนี้ตลอดห้าปีที่ผ่านมา และจางต้าหยงก็ไม่เคยกลับคำพูดของเขาเลย สิ่งนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกขอบคุณจางต้าหยงอย่างหาที่เปรียบมิได้ และด้วยเหตุนี้เขาจึงถือว่าจางต้าหยงเป็นผู้อาวุโสที่คู่ควรแก่ความไว้วางใจและเคารพมากที่สุด

“ท่านลุงจาง นี่คือยันต์เกราะดินสามสิบแผ่นสำหรับวันนี้” เฉินซีดึงมัดแผ่นยันต์ออกมาและส่งมอบให้

จางต้าหยงดุทั้งรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าหันเหเปลี่ยนเรื่องนะเจ้าเด็กน้อย” ขณะที่เขาพูด เขาก็รับมัดแผ่นยันต์ และไม่แม้แต่จะเหลือบมอง ในขณะที่เขาวางมันไว้บนโต๊ะเก็บเงิน จากนั้นก็หยิบศิลาวิญญาณสิบก้อน แล้วโยนให้เฉินซีขณะกล่าวติดตลกว่า “เจ้าเด็กน้อย นี่ก็ผ่านมาห้าปีแล้ว เมื่อใดเจ้าจะคิดที่จะสร้างยันต์ระดับสองเสียที?”

เฉินซีได้ตอบกลับ “ข้าตั้งใจจะเลื่อนระดับสร้างมันแล้วเพียงแต่ขาดเงินที่จะซื้อตำราเท่านั้น”

ตอนแรกจางต้าหยงแค่กล่าวอย่างล้อเล่น แต่เขาไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่จริงจังจากเฉินซีและตกใจเล็กน้อย ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะ “ข้าจะรอให้เจ้าสร้างมันได้ ข้าจะซื้อทั้งหมดที่เจ้ามีด้วยราคาที่ยุติธรรมอย่างแน่นอน”

หัวใจของเฉินซีพลันอบอุ่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังรอยยิ้มของจางต้าหยงอย่างไม่ปิดบัง จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ทราบแล้ว ข้าจะทำให้ได้เร็วที่สุด”

เฉินซีหยิบศิลาวิญญาณสิบก้อนและคัมภีร์หยกลื่น ก่อนที่จะหันหลังกลับและเดินจากไป

“เจ้าตัวอัปมงคลจากไปสักที…” เด็กฝึกหัดสร้างยันต์มาถึงหน้าโต๊ะเก็บเงิน และหยิบยันต์เกราะดินไปพร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างหน้าด้าน เมื่อเขาเห็นโครงสร้างสัญลักษณ์บนแผ่นยันต์อย่างชัดเจน ก็อดไม่ได้ที่ต้องประหลาดใจ “ท่านลุงจาง นี่คือยันต์เกราะดินจริงหรือ?”

จางต้าหยงขมวดคิ้ว ขณะที่เขากล่าวตำหนิ “เจ้าเด็กตัวเหม็น เจ้านั้นฝึกฝนมาเกินครึ่งเดือนแล้ว เจ้ายังจดจำยันต์เกราะดินไม่ได้อีกหรือ หากเจ้ายังไม่ตั้งใจทำงาน…” ทว่าเมื่อเขามองไปที่กระดาษยันต์ ทันใดนั้นก็รีบแย่งชิงแผ่นยันต์มาและไม่อาจพูดอะไรออกอีก!

ตั้งแต่เข้าดูแลร้านมาเกือบสามสิบปี ยันต์พื้นฐานต่าง ๆ ที่ผ่านมือของเขาก็มีไม่ต่ำกว่าร้อยแบบ สายตาของจางต้าหยงจึงเฉียบแหลมกว่าใคร ในชั่วพริบตา เขาได้สังเกตเห็นว่าโครงสร้างของยันต์เกราะดินนี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง

เป็นไปได้ไหมที่เจ้าเด็กเฉินซีเรียนรู้ที่จะเจ้าเล่ห์และเริ่มหลอกลวงข้า? ร่องรอยของความไม่สบายใจพวยพุ่งออกมาจากหัวใจของจางต้าหยง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีเด็กฝึกหัดสร้างยันต์บางคนใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คิดว่าพวกเขาจะตบตาได้ แต่พวกเขาจะรอดพ้นสายตาของจางต้าหยงไปได้อย่างไร ชายผู้นี้เกลียดชังพวกที่ใช้วิธีฉ้อฉลอย่างมากและจะไม่มีความเมตตาและขับไล่พวกมันไป

ตอนนี้ เด็กที่เขาไว้วางใจมากที่สุดกลับทำสิ่งนี้ จางต้าหยงไม่อาจยอมรับได้เลยแม้แต่น้อยและใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ มืดมนลง

เหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาตรงหน้าโต๊ะเก็บเงินค่อย ๆ ดึงความสนใจของคนอื่น ๆ ในร้าน จากนั้นก็หนาแน่น

“โอ้! นี่คือยันต์เกราะดิน ที่เฉินหน้าตายสร้างขึ้นหรือ? ทำไมดูคล้ายของปลอมกันเล่า”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น ยันต์เกราะดินไม่ได้ถูกสร้างมาแบบนี้ โครงสร้างของสัญลักษณ์ในยันต์ด้านบนนั้นผิดไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เฉินซีผู้นี้ถ้าจะเป็นบ้าไปเสียแล้ว!”

“เห็นด้วย! ท่านลุงจางอุตส่าห์ดูแลเขามาหลายปีแล้ว ไม่เพียงควรรู้สึกขอบคุณและตอบแทนน้ำใจ แต่กลับตอบแทนด้วยการหลอกลวงมันช่างไร้ยางอายจริง ๆ”

เสียงพูดคุยที่ระงมขึ้นไม่มากก็น้อย มีแต่ความเย้ยหยันในความโชคร้ายของจางต้าหยงอยู่บนใบหน้าของพวกเขา

ใบหน้าของจางต้าหยงก็ไม่น่าดูมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และหัวใจของเขาก็เจ็บปวดอย่างมาก เขาตัดสินใจแล้วว่า ถ้าหากเฉินซีไม่ให้คำตอบอันน่าพอใจในวันพรุ่งนี้ เขาจะตัดขาดความสัมพันธ์โดยสิ้นเชิงและไม่ซื้อแผ่นยันต์ที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นอีกต่อไป!

“ขอข้าดูสักหน่อย!” เสียงร้องที่ราวกับนกขมิ้นในหุบเขาอันใสสะอาดก็ดังขึ้น จากนั้นหญิงสาวในชุดเรียบง่ายก็เดินผ่านฝูงชนเข้าไป นางดูสวยสง่าด้วยผิวที่กระจ่างดั่งหิมะ และมีลักษณะที่หวานลิ้มและสวยงามอย่างยิ่ง นางเพิ่งปรากฏตัวก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันใด