บทที่ 16 องค์หญิงน้อย
บทที่ 16 องค์หญิงน้อย

หญิงสาวในชุดเรียบง่าย ไม่ได้สนใจต่อสายตาของผู้คนที่อยู่โดยรอบ ขณะที่นางเอื้อมมือไปหยิบยันต์เกราะดินและศึกษามันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นร่องรอยของความสับสนก็ปรากฏขึ้นในแววตาของนาง เห็นได้ชัดว่านางไม่สามารถจำแนกโครงสร้างสัญลักษณ์บริเวณด้านบนของตัวยันต์ออก

แปลกมาก! สัญลักษณ์บนเครื่องรางนี้เรียบง่ายและดูเป็นธรรมชาติ รอยหมึกมีความสมมาตรและเป็นมันเงา ขั้นตอนการใช้พู่กันนั้นแม่นยำและคล่องแคล่ว และมีมาตรฐานที่สูงมากขนาดนี้ จะเป็นงานหลอกลวงได้เยี่ยงไร

ความอยากรู้อยากเห็นผุดขึ้นมาในใจของหญิงสาว ก่อนที่นางจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่า “เจ้าของร้าน ท่านจะรังเกียจหรือไม่ หากข้าจะทดลองอำนาจของแผ่นยันต์นี้”

เมื่อได้ยิน จางต้าหยงก็รู้สึกตกใจ จากนั้นก็กล่าวอย่างทอดถอนใจ “แม่นางไม่ต้องพยายามหรอก ตัวข้านั้นดูแลร้านเล็ก ๆ แห่งนี้มาสามสิบปี และได้จับต้องยันต์มานับไม่ถ้วน ข้าจะไม่สามารถแยกยันต์เกราะดินของจริงกับปลอมออกได้อย่างไร? แม้แต่ตัวท่านก็เคยเห็นมัน โครงสร้างของสัญลักษณ์บนแผ่นยันต์เกราะดินเหล่านี้ผิดไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะทดสอบอีก”

“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว! ท่านลุงจางกล่าวถูกอย่างแน่นอน แผ่นยันต์อักขระที่เจ้าเฉินซีสร้างขึ้นในวันนี้เป็นการหลอกลวงอย่างแน่แท้ ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะทดสอบ”

เหล่าศิษย์นักสร้างยันต์ที่อยู่รายรอบต่างยืนกรานพร้อมกัน ด้วยฐานะอันต่ำต้อยของพวกเขา และไม่เคยสัมผัสกับสาวงามใกล้ชิดเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงคว้าโอกาสทั้งหมดเพื่อที่จะทำให้นางสนใจ

“ท่านจะรู้ความจริงแท้ของมันโดยที่ไม่ได้ทดสอบได้อย่างไร?” หญิงสาวในชุดเรียบง่ายยิ้มบาง ๆ ราวกับดอกบัวที่ผลิบานหลังฝนตก ทั้งสง่าและประณีต ขณะที่กล่าวคำ นางก็ก้าวมาถึงพื้นที่ว่างแล้ว และด้วยการโบกมือของนาง คลื่นปราณแท้ได้หลั่งไหลลงในแผ่นยันต์

ฉากอันน่าตกใจพลันปรากฏขึ้น ทันใดนั้นยันต์ก็เปลี่ยนเป็นแสงสีเหลืองนวลที่ปกคลุมอย่างอ่อนโยน ม้วนตัวอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงควบแน่นเป็นโล่ขนาดมหึมาที่มีรูปร่างเหมือนเต่า แสงไฟสว่างจ้าขดตัวอยู่รอบ ๆ เมื่อมันเปล่งกลิ่นอายที่หนาทึบออกมา

ฟุ่บ!

ความเย้ยหยันในแววตาของทุกคนแปรเปลี่ยนไป ราวกับมิอาจเชื่อในสิ่งที่เห็น และใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียวราวกับเห็นภูตผี

จางต้าหยงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างยิ่ง ‘แท้จริงแล้วมันคือยันต์เกราะดินจริง ๆ หรือ? เป็นไปได้ไหมที่ข้าจะคิดผิดก่อนหน้านี้?’

เป็นอย่างที่คาดไว้! ราวกับว่าการคาดเดาในใจของนางได้รับการยืนยัน ดวงตาของหญิงสาวก็ส่องประกายในทันที และโดยไม่ลังเล มือซ้ายของนางก็เต็มไปด้วยอำนาจของปราณแท้ก่อนที่จะฟาดฝ่ามือลงบนโล่รูปเต่าอย่างเต็มแรง

ปังงงงงงง!!

เสียงดังกึกก้องกังวานดังขึ้นและระลอกคลื่นที่ผันผวนอย่างรุนแรงก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของโล่รูปเต่า ทว่ามันก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว

‘หากเป็นยันต์เกราะดินทั่วไป มันคงไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของข้าได้ถึงหนึ่งในสิบ ยันต์เกราะดินอันแปลกประหลาดนี้ช่างน่าเกรงขามอย่างที่คาดไว้!’

ดวงตาของหญิงสาวในชุดเรียบง่ายสว่างขึ้นเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นจึงกระตุ้นปราณแท้ของนางอีกครั้งก่อนจะสับสันมืออันบอบบางฟันใส่พื้นผิวของโล่

ฉัวะ! ฉัวะ!

โล่ทรงกระดองเต่าสั่นสะท้านอย่างรุนแรง มวลพลังที่อยู่ภายในยันต์เหือดแห้งลงใกล้จะพังทลาย

‘สามารถต้านทานสองในสิบส่วนของความแข็งแกร่งของข้าได้เชียวหรือ? ยันต์พื้นฐานเช่นนี้เพียงพอแล้วที่จะเทียบเท่ากับยันต์ระดับสอง!’

หญิงสาวดูงุนงง จากนั้นความตื่นเต้นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนางก่อนจะพลันทุบโล่ทรงกระดองเต่าจนแหลกสลาย ก่อนจะก้าวไปที่หน้าโต๊ะเก็บเงินและกล่าวว่า “เจ้าของร้าน ข้าต้องการยันต์เกราะดินเหล่านี้ทั้งหมด!”

จางต้าหยงรู้สึกตกตะลึงอยู่เนิ่นนานจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันตรงหน้า และเขาก็ได้สติด้วยตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาพลันลังเลและนิ่งเงียบ

จากการทดสอบของหญิงสาวก่อนหน้านี้ เขาจึงเข้าใจแล้วว่า ยันต์เกราะดินที่เฉินซีสร้างขึ้นในครั้งนี้มีพลังที่เหนือชั้นกว่าปกติมาก ถึงขั้นเทียบได้กับระดับสอง อย่างไรก็ตามยันต์เยี่ยงนี้ราคา… มันควรจะเพิ่มขึ้นสักเล็กน้อยใช่หรือไม่?

หญิงสาวในชุดเรียบง่ายขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้าของร้าน ท่านอย่าคิดเกี่ยงเรื่องราคา อย่างมากที่สุด ข้าจะให้ศิลาวิญญาณแก่ท่านหนึ่งก้อนสำหรับยันต์เกราะดิน”

จางต้าหยงไม่ได้พยายามปกปิดเมื่อความคิดของเขาถูกมองออก และยิ้มแย้มตอบ “แม่นางข้าสามารถขายยันต์เกราะดินนี้ให้แก่ท่านได้ แต่ข้าไม่สามารถขายให้ได้ทั้งหมด ยันต์เกราะดินที่อยู่เบื้องหน้าพวกเรานี้ไม่ต่างจากปาฏิหาริย์ โครงสร้างใหม่ของสัญลักษณ์บนแผ่นยันต์นี้ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าต้องเก็บมันไว้และใช้มันเพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้ร้านของข้าบ้าง!”

ยิ่งเขาพูดมากเท่าไร จางต้าหยงก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ความหวังอันไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้นในดวงตาของชายวัยกลางคน ราวกับว่าเขาได้เห็นอนาคตอันรุ่งโรจน์แล้ว

หญิงสาวแค่นเสียงผ่านจมูกของนาง และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องประนีประนอม ในท้ายที่สุด นางก็ได้ซื้อยันต์เกราะดินสิบห้าแผ่น เป็นราคาศิลาวิญญาณสิบห้าก้อน

“ท่านลุงจาง สิ่งที่นางกล่าวมัน… มันเรื่องจริงหรือ?” เด็กฝึกหัดสร้างยันต์เดินขึ้นไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ยันต์เกราะดินที่เฉินซีสร้างขึ้นมันไม่ได้น่าตะลึงอย่างที่นางกล่าวใช่ไหมขอรับ? ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็เป็นเพียงยันต์พื้นฐานเท่านั้น มันจะเรียกว่าปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?”

ผู้ฝึกสร้างยันต์คนอื่น ๆ ก็พูดออกมาเช่นกัน ยันต์ที่เดิมทีไม่ต่างกับการฉ้อโกง ทันใดนั้นก็ได้กลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สามารถปลุกเร้านักสร้างยันต์ทั้งมวล ชั่วขณะนั้นพวกเขารู้สึกอับอายจนอยากหาอะไรมาคลุมศีรษะเสีย

ที่สำคัญที่สุดคือ ยันต์เกราะดินเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยเฉินตัวซวย ด้วยเหตุนี้ จะกล่าวถึงเจ้านั่นว่าอย่างไรดี?

จางต้าหยงกวาดสายตามองทุกคน แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนคิดว่าเฉินซีเป็นตัวซวย และยังมองว่าต้อยต่ำกว่า พวกเจ้าจึงคิดว่าเขาสมควรถูกดูแคลนใช่หรือไม่?”

“เอาเป็นว่าข้าจะบอกพวกเจ้าทุกคนเช่นนี้ก็แล้วกัน ถ้าพวกเจ้ายังอยากทำงานที่นี่ต่อ อย่าให้ข้าได้ยินคำพูดที่ไม่ดีเกี่ยวกับเฉินซีอีก ไม่อย่างนั้นก็เตรียมเก็บกระเป๋าแล้วไสหัวออกไปได้เลย!” เสียงของจางต้าหยงเย็นชาและเคร่งขรึมอย่างฉับพลัน

ทุกคนพลันเงียบเหมือนจักจั่นในสภาพอากาศอันหนาวเย็น แต่จางต้าหยงยังคงรู้สึกโกรธและละอายใจ เขาไม่ได้รู้สึกแย่เพราะคนเหล่านี้เท่าไหร่ แต่รู้สึกขุ่นเคืองใจที่ตัวเองเกือบจะเข้าใจเฉินซีผิดไป

ใช่แล้ว เมื่อเฉินซีกลับมาในวันพรุ่งนี้ ข้าคงต้องขึ้นค่าตอบแทนให้แก่เขา! จางต้าหยงตัดสินใจทันใด จากนั้นเขาก็นึกถึงหญิงสาวในชุดเรียบง่ายก่อนหน้านี้ และเขารู้สึกราวกับว่าเขาเคยเห็นนางที่ไหนสักแห่ง

ฉาด!

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จางต้าหยงก็ตบหน้าผากตัวเองและพึมพำว่า “ไม่น่าแปลกใจที่นางดูคุ้นเคยมาก ฝ่ามือตัดหยกที่นางใช้ก่อนหน้านี้เป็นเคล็ดวิชาขึ้นชื่อของท่านแม่ทัพฉินแห่งจวนแม่ทัพ นางควรจะเป็นองค์หญิงน้อยจวนแม่ทัพ ฉินหงเหมี่ยน!”

“หากเจ้าต้องการเป็นพ่อครัววิญญาณที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เจ้าต้องเชี่ยวชาญทักษะแปดอย่าง อันได้แก่ รู้ส่วนผสม ทักษะการใช้มีด การควบคุมเตา การควบคุมเปลวเพลิงวิญญาณ ของใช้ เครื่องปรุงรส น้ำ และวิธีการทำอาหาร ในสิ่งเหล่านี้ ส่วนผสม ทักษะการใช้มีด และเปลวไฟวิญญาณมีความสำคัญสูงสุด ส่วนอื่น ๆ นอกจากนั้นก็ไม่ต้องศึกษาอะไรมากนัก

“คู่มือประกอบอาหารขั้นสุดยอดพร้อมภาพประกอบนี้ บันทึกภาพสมุนไพรวิญญาณ ผลไม้และผัก ธัญพืช สัตว์อสูร สัตว์ป่านับหมื่นชนิด เรียกได้ว่าครอบคลุมและไม่มีอะไรขาดเลย สิ่งที่เจ้าต้องทำคือทำความคุ้นเคยกับส่วนผสมต่าง ๆ จากนั้นทำความเข้าใจคุณลักษณะ รสชาติ สี และสารที่สามารถส่งเสริมหรือลดผลกระทบได้ เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถปรุงอาหารอันโอชะที่อุดมไปด้วยปราณวิญญาณพร้อมคุณสมบัติแฝงอันหลากหลาย

“ส่วนสารานุกรมเพลิงวิญญาณนี้บันทึกเปลวเพลิงวิญญาณรูปแบบต่าง ๆ อันมีคุณสมบัติต่างกันตั้งแต่ระดับแรกถึงระดับห้า ซึ่งด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างกันของเปลวเพลิงวิญญาณแต่ละแบบ มันจะส่งผลให้อาหารที่ปรุงออกมานั้นมีคุณสมบัติหรือรสชาติที่แตกต่างกัน หากเจ้าจำมันได้ทั้งหมดเจ้าก็จะสามารถทำให้อาหารออกมามีคุณสมบัติแฝงอันยอดเยี่ยมไร้ที่ติ”

หลังจากที่เฉินซีกลับถึงบ้าน เขาก็ถูกเรียกโดยไป๋หว่านฉิง และนางได้อธิบายทักษะที่พ่อครัววิญญาณต้องเชี่ยวชาญอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดังนั้นจึงสามารถเห็นได้ว่านางเป็นห่วงเฉินซีมากเพียงไหน

“สำหรับทักษะการใช้มีด ต้องผ่านการทดสอบของผู้เฒ่าหม่าเสียก่อน เจ้าต้องคอยทำตามเขาและหมั่นฝึกฝน” ไป๋หว่านฉิงยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อกล่าวจบ แล้วเอ่ยถาม “ยังมีคำถามอื่นอีกไหม”

เฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถาม “เมื่อวานที่ร้านอาหารนทีกระจ่าง ข้าได้ยินมาว่าผู้เฒ่าหม่าและอีกสองคนเป็นพ่อครัววิญญาณระดับ 3 ใบไม้ น้าไป๋ พ่อครัววิญญาณก็ถูกแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ด้วยอย่างนั้นหรือ?”

ไป๋หว่านฉิงตอบกลับ “แน่นอน ระดับของพ่อครัววิญญาณจะเป็นตัวบ่งบอกว่าพ่อครัวคนนั้นเหมาะสมที่จะให้บริการผู้บ่มเพาะระดับใด อาหารที่พ่อครัววิญญาณระดับ 1 ใบไม้ปรุงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้บ่มเพาะขอบเขตสร้างรากฐาน พ่อครัววิญญาณระดับ 2 ใบไม้สามารถปรุงอาหารตามที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดต้องการ จนกระทั่งพ่อครัววิญญาณระดับ 8 ใบไม้ซึ่งสามารถปรุงอาหารที่ให้ประโยชน์อย่างไร้ขอบเขตแก่เซียนปฐพี และเปรียบได้กับโอสถวิญญาณระดับสวรรค์!”

โอสถวิญญาณระดับสวรรค์?

เฉินซีตกตะลึงจนแทบอ้าปากค้าง เท่าที่เขาทราบมาโอสถวิญญาณถูกแบ่งออกเป็นระดับสวรรค์ ระดับปฐพี ระดับล้ำลึก และระดับสีเหลือง ทุกระดับจะถูกแบ่งออกเป็นคุณภาพต่ำ กลาง สูง และสมบูรณ์แบบ โอสถวิญญาณระดับสวรรค์เป็นสิ่งที่หายากที่สุด เรียกได้ว่าการคงอยู่ของมันนั้นล้ำค่าดุจดั่งขนหงส์อมตะไม่ก็เขากิเลน

เมื่อได้ยินว่าพ่อครัววิญญาณระดับ 8 ใบไม้สามารถปรุงอาหารที่เทียบได้กับโอสถวิญญาณระดับสวรรค์ จะไม่ทำให้เฉินซีตกใจได้อย่างไรกัน?

“แต่การพัฒนาระดับของพ่อครัววิญญาณนั้นยากกว่ามากเมื่อเทียบกับเหล่านักปรุงโอสถ พ่อครัววิญญาณระดับ 8 ใบไม้ในแผ่นดินต้าซ่งทั้งหมดมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น”

ไป๋หว่านฉิงจ้องมองที่เฉินซี ขณะที่นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อย่าท้อแท้ตราบใดที่เจ้ามุมานะก็ย่อมมีความหวัง แต่พ่อครัววิญญาณเป็นเพียงอาชีพเสริม ดังนั้นหลังจากที่เจ้าได้รับศิลาวิญญาณเพียงพอแล้ว อย่าเสียเวลากับมันมากเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงการล่าช้าในการบ่มเพาะ”

เฉินซีพยักหน้ารับ ที่เขาต้องเรียนรู้การสร้างยันต์และศิลปะการทำอาหารทั้งหมดก็เพื่อเลี้ยงครอบครัว แต่เป้าหมายสุดท้ายของเขาคือการบ่มเพาะตนเองให้แข็งแกร่งกว่านี้

หลายวันต่อมา

เฉินซียังคงฝึกฝนอย่างหนักหน่วงต่อเนื่อง เขาทั้งสร้างแผ่นยันต์ ทบทวนตำราการทำอาหารทั้งสองเล่ม และดึงพลังดาราเจ็ดทองมาขัดเกลาร่างกายของเขาให้กล้าแกร่ง จากนั้นจึงฝึกฝนเคล็ดวิชานภาม่วงจนกระทั่งผล็อยหลับไปก่อนรุ่งสาง ท้ายสุดเขาจะใช้เวลาที่เหลือเพียงเล็กน้อยเพื่อเข้าสู่ห้วงทะเลแห่งจิตสำนึกเพ่งพินิจรูปปั้นฝูซี

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่วันที่ท่านปู่ของเขาเฉินเทียนลี่ถูกสังหาร ในหัวของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกระแวดระวังต่ออันตรายตลอด ซึ่งกระตุ้นให้เขาไม่กล้าเสียเวลาเลยแม้แต่น้อย

ทว่ายังมีหนึ่งสิ่งที่สามารถทำให้เฉินซีมีความสุข นั่นก็คือการที่เขาได้สร้างแผ่นยันต์พื้นฐานที่มีคุณสมบัติต่างกันเพิ่มขึ้นอีกเจ็ดถึงแปดประเภท แม้ว่าโครงสร้างของสัญลักษณ์ยันต์จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่อำนาจของพวกมันนั้นสามารถเทียบได้กับยันต์ระดับสอง และเมื่อเขานำพวกมันไปที่ร้านค้าของตระกูลจาง พวกมันก็ถูกขายในราคาศิลาวิญญาณสามก้อนต่อยันต์หนึ่งแผ่น ราคาของมันเพิ่มขึ้นถึงเก้าเท่า ทำให้เขามีรายได้มหาศาล!

แต่การขัดเกลาร่างกายและปราณภายในยังช้าอยู่มากเหมือนเมื่อก่อน และสาเหตุก็เพราะขาดแคลนปราณวิญญาณจำนวนมาก

เต๋าแห่งการบ่มเพาะนั้น เน้นไปที่คำสี่คำ อันได้แก่ ความมั่งคั่ง คู่ฝึก ทักษะ และที่ตั้ง ‘ความมั่งคั่ง’ มาเป็นอันดับแรก แต่ในกรณีนี้ ความมั่งคั่งไม่ใช่ทองคำหรือเงินแต่เป็นศิลาวิญญาณ โอสถวิญญาณ สมุนไพรอมตะ และอื่น ๆ หากใครต้องการฝึกฝนก็ต้องกินให้อิ่มเพียงพอ และถ้าใครอยากบ่มเพาะก็ต้องดูดซับปราณวิญญาณ โอสถวิญญาณ ศิลาวิญญาณ และสมบัติที่คล้ายคลึงกันที่พอจะเกื้อหนุนกันได้

‘คู่ฝึก’ อยู่ในอันดับที่สอง อาจเป็นคู่บำเพ็ญเพียรหรือก็คือความสัมพันธ์ที่เหนือล้ำยิ่งกว่าการเป็นสามีภรรยา พวกเขาจะร่วมเป็นคู่ชีวิตตลอดเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ แต่ส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ ด้วยคำแนะนำของอาจารย์สามารถลดความผิดพลาดในการบ่มเพาะได้ และจะประหยัดเวลามากกว่าการฝึกฝนด้วยตัวเอง

ส่วนที่เรียกว่า ‘ทักษะ’ ก็คือการมีทักษะระดับสูงที่เนื้อหาสมบูรณ์ไว้ให้ฝึกฝน ทักษะเช่นนี้ไม่เพียงแต่สามารถย่นระยะเวลาการบ่มเพาะได้ แต่ยังสามารถป้องกันผู้ฝึกจากการติดคอขวดหรือธาตุไฟแตกซ่านระหว่างฝึกได้ในระดับหนึ่ง

‘ที่ตั้ง’ คำนี้หมายถึงพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปราณวิญญาณที่ซึ่งเหล่าสำนักหรือนิกายมักก่อรากสร้างฐานอยู่ การได้บ่มเพาะในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปราณวิญญาณย่อมดีกว่าการบ่มเพาะในสถานที่แห้งแล้งกันดาร

ผู้ที่เกิดในนิกายที่มีชื่อเสียงหรือตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ส่วนใหญ่จะเริ่มบ่มเพาะตั้งแต่เยาว์วัย พวกเขากินโอสถวิญญาณที่หายากล้ำค่า ฝึกฝนด้วยเคล็ดวิชาชั้นหนึ่ง อยู่ในสภาพพื้นที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นที่ธารวิญญาณรวมกระจุกอยู่ด้วยกัน และมีแม้แต่ผู้อาวุโสจากนิกายหรือตระกูลของตนเองคอยชี้แนะอย่างจริงจังใส่ใจ ดังนั้นความเร็วในการฝึกฝนของพวกเขาจึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะทั่วไปสามารถเทียบได้อย่างแน่นอน

เฉินซีไม่มีทรัพยากรในการบ่มเพาะ ผู้อาวุโสที่พร้อมจะชี้แนะแนวทางแก่เขาก็ไม่มี ในบรรดาคำทั้งสี่ของความมั่งคั่ง คู่ฝึก ทักษะ และที่ตั้ง เขาครอบครองเพียงถ้อยคำของ ‘ทักษะ’ เท่านั้น ทุกวันเขายังคงต้องสร้างยันต์เพื่อหาศิลาวิญญาณจุนเจือชีวิต ดังนั้นการฝึกฝนของเขาจะก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดดได้อย่างไร?

“ข้าต้องทำให้ผู้เฒ่าหม่ารับข้าเป็นลูกศิษย์ของเขาในวันนี้ เพื่อหลังจากที่ข้าเป็นพ่อครัววิญญาณฝึกหัดที่ร้านอาหารนทีกระจ่างแล้ว ข้าจะได้รับศิลาวิญญาณมากขึ้น ถ้าคำนวณอย่างรอบคอบมันก็น่าจะพอซื้อโอสถวิญญาณที่จำเป็นสำหรับการบ่มเพาะให้ตัวเองได้อย่างไม่ขาดมือ!”

เฉินซีนึกถึงคู่มือประกอบอาหารขั้นสุดยอดและสารานุกรมเพลิงวิญญาณขึ้นมา จากนั้นยืนขึ้นและเดินออกจากบ้านโดยปราศจากความลังเลใด ๆ

“ไปกันเถอะ อนาคตพ่อครัววิญญาณผู้ยิ่งใหญ่!”

ไป๋หว่านฉิงอดที่จะยิ้มไม่ได้ นางเฝ้าดูอยู่ด้านนอกประตูมาสักระยะหนึ่งแล้ว