ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 127 รอจนเสียใจภายหลังไปเถอะ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ขณะนี้บรรยากาศมีความอึดอัดอยู่บ้าง

เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่กับที่อย่างสงบเยือกเย็น สายตาทอดมองไปอีกฟาก

บริเวณนั้น ซือคงจิงกับโหวเสียงยังคงประมือกันอยู่

ทั้งสองต่อสู้กันด้วยโทสะ จนถึงขั้นทำเหมือนกับว่ารอบข้างไม่มีผู้ใดอยู่ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะยังไม่ได้รับรู้ถึงการมาของฟู่เอินซู ซานสือเวิง ผู้อาวุโสจั่ว และคนอื่นๆ ถึงยังไม่ได้วางมือ

สถานการณ์ในการต่อสู้ดุเดือดจนเกินไป กระทั่งที่ว่าผู้ใดวางมือถอยก่อน อาจจะบาดเจ็บจากน้ำมือของอีกฝ่ายได้

ทั้งสองคนทำได้แค่เพียงรวมสมาธิเอาไว้ที่การประลอง หากต้องการจะหยุดการประลองฝีมือของพวกเขาลงกลางคัน ต้องให้ผู้ที่มีวรยุทธ์สูงกว่าเข้าแทรกเท่านั้น

เมื่อกลุ่มคนของฟู่เอินซูมาถึง แน่นอนว่าสิ่งที่ให้ความสนใจเป็นอันดับแรกก็คือเยี่ยนจ้าวเกอกับจี้ฮั่นหรู หลังจากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถึงเรื่องที่เพลิงลุกโชนเผาภูเขาจะส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของพลังชีวิตพื้นภูมิ ทำลายสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำ ยิ่งทำให้ผู้ที่ได้รับฟังต้องตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นที่ไม่มีผู้ใดยุ่งเกี่ยวทางด้านซือคงจิงและโหวเสียงเลย

สายตาของฟู่เอินซูมองไปยังสนามประลองด้วยท่าทางสนุกสนาน

ผู้อาวุโสจั่วและจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนต่างก็นิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน ทั้งยังเริ่มให้ความสนใจกับการประลองฝีมือระหว่างปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในทั้งสอง

กล่าวจากมุมมองหนึ่งแล้ว พวกเขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งที่แสดงออกมาในการประลองครั้งนี้

โหวเสียงเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของเขาไร้พรมแดนในช่วงนี้ นับเป็นคู่ต่อสู้ที่พบได้ยากในรุ่นอายุเดียวกัน ทั้งยังเกรียงไกรยิ่ง

จิ่งอวิ๋นจือแห่งเขากว่างเฉิงก่อนหน้านี้อายุมากกว่าเขา ทว่ากลับอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะกลางเช่นเดียวกับเขา ในการประมือต่อสู้จริงก็ยิ่งถูกโหวเสียงบีบบังคับเสียจนสถานการณ์อันตรายเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน

บัดนี้กลับมีหญิงสาวคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าโหวเสียงสามารถต้านทานเขาได้ จึงทำให้บรรดาคนของเขาไร้พรมแดนรู้สึกสนใจอย่างลับๆ เป็นธรรมดา

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ก็เป็นยอดอัจฉริยะที่กำเนิดขึ้นใหม่ท่ามกลางรุ่นเยาว์แห่งเขากว่างเฉิง

บรรดาคนของเขาไร้พรมแดนล้วนแล้วแต่สนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากการแสดงออกของเยี่ยนจ้าวเกอเมื่อครู่น่าตื่นตะลึงยิ่งนัก!

ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย โจมตีปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะต้น ในช่วงเวลาอันคลุมเครือกลับก้าวข้ามคลองหงโกวอันใหญ่หลวงของพลังความสามารถไปได้อย่างคาดไม่ถึง

หากวิจารณ์เงียบๆ จี้ฮั่นหรูก็ประมาทศัตรูไปบ้างอยู่ดี ตอนที่เพิ่งออกกระบวนท่าไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด จนทำให้ถูกเยี่ยนจ้าวเกอชิงกลับมาได้เปรียบ

รอจนตอนที่เขารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง สถานการณ์ก็ตกเป็นรองจนยากที่จะพลิกกลับมาได้แล้ว ผลคือถูกเยี่ยนจ้าวเกอที่เมื่อได้เปรียบแล้วก็ไม่ยั้งมืออีกต่อไป โจมตีอย่างต่อเนื่องถูกยับยั้งอย่างสิ้นเชิง

กระทั่งท้ายที่สุดการตั้งรับป้องกันด้วยพลังทั้งหมดของกระบวนฝ่ามือรวมศูนย์ ก็ถูกเยี่ยนจ้าวเกอโจมตีจนแตกพ่าย

จี้ฮั่นหรูพ่ายแพ้จนรู้สึกคับอกคับใจอยู่บ้าง ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับชนะโดยไม่ได้พึ่งโชคแต่อย่างใด เนื่องจากลักษณะท่าทางช่างดูชำนาญตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้ยากจะคาดคะเนได้ว่าแท้จริงแล้วแข็งแกร่งถึงเพียงใด

ศิษย์เขาไร้พรมแดนอาจแย้งได้ว่าจี้ฮั่นหรูยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ถึงกระนั้นผู้ใดจะสามารถฟันธงได้เล่าว่าเยี่ยนจ้าวเกอแสดงพลังทั้งหมดแล้วหรือยัง

แน่นอนว่าเมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว สำหรับพลังความสามารถของเยี่ยนจ้าวเกอ ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกถึงความน่าหวาดกลัว

ซานสือเวิงและผู้อาวุโสระดับสูงจึงปล่อยเลยตามเลย สังเกตติดตามสถานการณ์การต่อสู้ของซือคงจิงกับโหวเสียง เพียงแต่ขณะเดียวกันก็ประเมินพลังความสามารถของศิษย์รุ่นใหม่ของเขากว่างเฉิงไปด้วย เพื่อเลี่ยงความอึดอัดและอับอาย

บรรดาศิษย์เขาไร้พรมแดนทั้งหลายที่ยังเยาว์วัยกลับติดตามสถานการณ์การต่อสู้อย่างใกล้ชิด ตึงเครียดยิ่งกว่าตัวโหวเสียงที่อยู่ในการประลองเสียอีก เพราะคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโหวเสียงจะสามารถเอาชนะซือคงจิงได้ แล้วกู้หน้าเขาไร้พรมแดนกลับมา

ทว่าสมาธิส่วนหนึ่งของเยี่ยนจ้าวเกอกลับตกไปอยู่ที่บนร่างกายของเด็กชายคนนั้น

เขาไม่ได้ลืมนึกถึงตอนแรกที่บ่าวรับใช้ของจ้าวหมิงเอ่ยว่า บุตรชายของครอบครัวที่ถูกพรรคโลหะเอกยึดครองพื้นที่ขนาดใหญ่ โจมตีคนของพรรคจนบาดเจ็บ

พรรคโลหะเอกมาเพราะต้องการคน ซึ่งคนที่ต้องการก็คือบุตรชายของเจ้าพื้นที่ขนาดใหญ่นั่น

ผู้เสียชีวิตที่อยู่ในไร่สมุนไพรแห่งนี้ ไม่นับผู้ที่สวมชุดพรรคสายรุ้งสีชาด คนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นคนของพื้นที่ขนาดใหญ่นั่นทั้งสิ้น

หนึ่งในนั้นก็คือบิดามารดาของเด็กชายคนนั้น ทั้งสองคนสวมชุดโอ่อ่าร่ำรวยมากที่สุด เยี่ยนจ้าวเกอยังเห็นอาวุธสงครามระดับสูงที่เสียหายชิ้นหนึ่งอยู่ข้างศพชายผู้นั้น

การที่ชาวบ้านธรรมดาจะสามารถมีอาวุธสงครามระดับสูง สามารถกล่าวได้ว่าไม่ง่ายอย่างยิ่ง

กลับไปมองเด็กชายคนนั้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าลักษณะท่าทางจะดูเขลา ดูทึ่ม บนเสื้อผ้าก็เปรอะเปื้อนฝุ่นดินไม่สะอาดนัก ทว่ายังคงดูออกว่าสวมชุดฐานะไม่เหมือนกับคนทั่วไป

ความเป็นไปได้เก้าในสิบส่วนว่าเด็กคนนี้กับบิดามารดาของเขา ก็คือครอบครัวเจ้าของพื้นที่ขนาดใหญ่

เช่นนั้นปัญหาก็เกิดขึ้นแล้ว เด็กชายคนหนึ่งที่อายุราวสิบปีเช่นนี้ สามารถโจมตีจอมยุทธ์พรรคโลหะเอกจนบาดเจ็บได้อย่างนั้นหรือ

ต่อให้ต้องยัดเยียด นี่ก็อาจจะไม่น่าเชื่อถือนัก นอกเสียจากว่า เด็กคนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ!

เยี่ยนจ้าวเกอสงบเยือกเย็น ดึงมือของเด็กชายขึ้น จับชีพจรเขา ตรวจสภาพร่างกายของเด็กชายอย่างละเอียด

เด็กชายเงยหน้ามองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่งด้วยความงงงวย จากนั้นจึงก้มหน้าลงไปมองบิดามารดาของเขาอีกครั้ง

“…เด็กคนนี้?!” แววตาเยี่ยนจ้าวเกอทอประกาย เอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หนุ่มน้อย เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ”

ถึงแม้ว่าเด็กชายจะให้ความรู้สึกทึ่มอยู่บ้าง ทว่าก็มองออกว่าบิดามารดาตั้งใจอบรมสั่งสอนเขาอย่างดีมาโดยตลอด เขากล่าวตอบด้วยเสียงโง่งมว่า “ฮาน…หลง…เอ๋อร์…”

พอเขาเงยหน้าตอบคำถามของเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนจ้าวเกอก็จดจ้องดวงตาทั้งสองของเขา สายตาราวกับสำรวจเข้าไปในจิตใจของฮานหลงเอ๋อร์

ฮานหลงเอ๋อร์สั่นศีรษะ หลังจากตอบชื่อของตนแล้ว เขาก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง

“พ่อหนุ่มน้อย เมื่อครู่ข้ายังคิดอยู่เลยว่าข้าคิดผิดไป ดูจากตอนนี้แล้ว ข้าไม่ได้มองผิดไปแน่นอน” เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง หางตากวาดมองกลุ่มคนของจี้ฮั่นหรูแวบหนึ่ง “พวกเจ้าจงรอเสียใจภายหลัง กระทั่งเอาหัวชนภูเขา ชนจนเขานิมิตเมฆคว่ำไปเสียเถอะ”

เฟิงอวิ๋นเซิง จ้าวหมิง และจิ่งอวิ๋นจือที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติของเขาแต่อย่างใด เพราะเอาแต่จดจ้องอยู่ที่ซือคงจิงกับโหวเสียงที่กำลังประลองฝีมือกันอยู่

“ศิษย์น้องซือคง ท่วงท่าของเจ้านี่แหละ ที่ปะทะอย่างรุนแรงกับคนของเขาไร้พรมแดน!”

จ้าวหมิงมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับซือคงจิงด้วยความชื่นชมอยู่บ้าง

จิ่งอวิ๋นจือที่อยู่ข้างกายเขาผงกศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใสเช่นกัน

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ทั้งหกแห่งในปัจจุบัน ต่างก็มีโครงสร้างวรยุทธ์วิชาที่สมบูรณ์เป็นของตนเอง ครอบคลุมไปเสียทุกสิ่งอย่าง

เปรียบเทียบกับขุมกำลังอื่นๆ ทั้งระดับชั้นแรกและระดับชั้นรองแล้ว วรยุทธ์วิชาของขุมกำลังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในหลายๆ ด้านล้วนแล้วแต่มีความได้เปรียบในทุกทาง

กระนั้น ระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เอง ก็จะมีการเปรียบเทียบระหว่างกันในระดับหนึ่ง เพราะต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะในท่วงท่า

เขาไร้พรมแดน ก็ได้ชื่อว่าเป็นเลิศในด้านพลังที่หนักหน่วง รุนแรง และทรงพลังเช่นกัน

การโจมตีประดุจภูเขาไท่ซานกดทับ เรียงภูเขาพลิกทะเล ใช้พลังอันแข็งแกร่งบี้อัดจนทำให้คนต้องสิ้นหวัง

การป้องกันที่แข็งแกร่งราวกับหิน ประหนึ่งกับโลหะ ทำให้ผู้คนยากนักที่จะต่อกรทะลุผ่านภูเขาสูงตระหง่านไปได้

จอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนที่แสดงออกมา สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือโจมตีปะทะซึ่งๆ หน้า

โดยปกติแล้ว คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน น้อยคนนักที่จะสามารถแข็งชนแข็ง แล้วชิงความได้เปรียบไปจากมือของจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้น ชัยชนะของเยี่ยนจ้าวเกอเมื่อสักครู่ จึงทำให้กลุ่มคนของจี้ฮั่นหรูขายหน้าเป็นพิเศษ

ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นความบังเอิญ กระนั้นสิ่งที่ทำให้เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์แห่งเขาไร้พรมแดนสีหน้าไม่ค่อยดีก็คือ ซือคงจิงก็ใช้วิธีเดียวกัน ใช้วิธีแข็งชนแข็งโจมตีประมืออย่างรุนแรงบโหวเสียง

เฟิงอวิ๋นเซิงมองซือคงจิง จากนั้นก็มองเยี่ยนจ้าวเกอ มุมปากปรากฎรอยยิ้มเล็กน้อย

เยี่ยนจ้าวเกอเอียงศีรษะ “ต้องไม่ได้คิดเรื่องดีๆ เป็นแน่”

“เพียงแค่นึกถึงตอนที่ออกทัศนาจรข้างนอกเมื่อก่อนขึ้นมาได้ ได้ยินคนของขุมกำลังชั้นหนึ่งและสองพวกนั้น แต่งเป็นโคลงกลอน (ซุ่นโข่วหลิว[1]) ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ทั้งหกของพวกเรา” เฟิงอวิ๋นเซิงไม่ได้กล่าวอย่างขอไปที นางกล่าวยิ้มๆ อย่างเป็นธรรมชาติว่า “แต่ก่อนก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่เล็กน้อย แต่บัดนี้เห็นท่านกับศิษย์พี่ซือคงแล้ว รู้สึกว่าไม่เหมือนอย่างยิ่ง”

เยี่ยนจ้าวเกอเริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง “โอ้ พวกเขาแต่งว่าอย่างไรหรือ”

………………..

[1] ซุ่นโข่วหลิว (顺口溜) โคลงกาพย์กลอนที่ท่องด้วยปากเปล่าที่แพร่หลายในกลุ่มชาวบ้านซึ่งมีประโยคสั้นและยาวไม่เหมือนกัน