ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 128 โคลงกลอน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ไม่ใช่แค่เยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น จ้าวหมิงและจิ่งอวิ๋นจือก็เกิดความสงสัยใคร่รู้เช่นกัน ในขณะที่ตั้งใจดูสถานการณ์การต่อสู้ทางฝั่งซือคงจิงไปพลาง หูก็ตั้งผึ่งขึ้นไปพลาง

เฟิงอวิ๋นเซิงเอ่ยว่า “กล่าวก่อนว่า คำพูดไม่ได้รื่นหูเท่าใดนัก”

เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ต่างก็ยิ้มและหัวเราะ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ทั้งหกแห่งอยู่เหนือทั้งมวล สำหรับขุมกำลังชั้นแรกและชั้นสองที่อยู่เบื้องล่างแล้ว ก็เหมือนกับแบกความกดดันมหาศาลประหนึ่งภูเขาใหญ่ไว้

หากจะมีอะไรเป็นเรื่องดีแล้วละก็ ต้องเป็นดินแดนศักดิ์แห่งใหญ่ทั้งหกแบ่งผลกำไรให้เป็นอันดับแรกสุด คนอื่นๆ บ่นกล่าวไม่พอใจต่างหากถึงจะเป็นเรื่องปกติ

เฟิงอวิ๋นเซิงเองก็ไม่อุบเอาไว้ ป่าวประกาศคำตอบออกไปทันที

“กว่างเฉิงชั่วร้าย สุริยันป่าเถื่อน ตำหนักอัสนีสวรรค์รีบเร่งดุจจะไปเกิดใหม่ เขาไร้พรมแดนทั้งน่ารังเกียจทั้งแข็งกร้าว หอคลื่นโหมกลับกลอกเป็นอย่างยิ่ง ที่อำมหิตที่สุดคือเมืองทะเลมรกต”

พอเยี่ยนจ้าวเกอและอีกสองคนได้ฟังแล้ว ต่างก็มีสีหน้าแปลกใจ หลังจากครู่ใหญ่ก็หัวเราะมาอย่างพร้อมเพรียง

“กล่าวได้ว่า สรุปได้ค่อนข้างถึงอรรถรสเสียจริงๆ ” จ้าวหมิงหัวเราะพลางส่ายศีรษะ จิ่งอวิ๋นจือที่อยู่ข้างกายก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน

ในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ทั้งหก เขากว่างเฉิงมีความรู้ลึกซึ้งหลากแขนงและรอบด้านมากที่สุด วรยุทธ์วิชาแต่ละรูปแบบแต่ละท่วงทำนองล้วนมีครบครัน หากกล่าวถึงเพียงแค่รูปแบบลักษณะอย่างเดียว ยากนักที่จะหาวิชาที่เป็นสายบังคับควบคุมเขากว่างเฉิงได้โดยสิ้นเชิง

การประมือระหว่างจอมยุทธ์กว่างเฉิงกับคนอื่นๆ ท่วงทำนองก็มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดเช่นกัน เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า ‘ผู้อื่นพิชิตกว่างเฉิงนั้นยาก กว่างเฉิงพิชิตผู้อื่นง่าย’

การที่จะควบคุมจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงด้วยท่วงทำนองนั้นยากอย่างยิ่ง หากตัวจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงเองฝึกฝนบำเพ็ญเพียรจนเชี่ยวชาญลึกซึ้งและรอบรู้พอ ก็สามารถเปลี่ยนท่วงทำนองควบคุมคู่ต่อสู้ได้

ดังนั้นในสายตาของคนอื่น จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงจึงกลายเป็นตัวแทนของความปลิ้นปล้อน ชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง ค้นหาการลงมืออันเป็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ สร้างสภาพการณ์ที่อาศัยความแข็งแกร่งกว่าของตนข่มแหงผู้ที่อ่อนแอ

เหมือนเช่นเหตุการณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอและซือคงจิงในปัจจุบัน ที่ปะทะกับจุดเด่นของคู่ต่อสู้อย่างรุนแรงเมื่อสักครู่นี้ กลับจะเป็นส่วนน้อยเสียด้วยซ้ำไป

วรยุทธ์วิชาของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เน้นพลังไม่เน้นกระบวนท่า ป่าเถื่อนเปิดเผย ไม่ปฏิบัติตามหลักการทั่วไป ทำให้ผู้คนคาดการณ์และเข้าใจได้ยากนัก

ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนตำหนิภายในใจอย่างลับๆ แม้เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่ากลับมองอย่างไรก็เหมือนกับพวกนอกรีต

ส่วนวรยุทธ์วิชาของตำหนักอัสนีสวรรค์มีการบุกโจมตีรวดเร็วดุดัน หากกล่าวถึงท่วงทำนองแล้วนั้น รวดเร็วและรุนแรงยิ่งกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งกับสายฟ้าแลบ ในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ทั้งหก วรยุทธ์วิชาของตำหนักอัสนีสวรรค์ให้ความสำคัญกับความเร็วเป็นที่สุด

อีกทั้งในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ น้อยนักที่วรยุทธ์วิชาของตำหนักอัสนีสวรรค์สวรรค์จะสุดขั้วสุดโต่ง

ถ้าหากกล่าวว่าวรยุทธ์วิชาของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่รุนแรงดั่งเพลิงคือการโจมตีหนัก ป้องกันเบา เช่นนั้นวิถีวรยุทธ์ของตำหนักอัสนีสวรรค์ก็แทบจะเรียกได้ว่าโจมตีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ป้องกันเลย

‘เขาไร้พรมแดนที่ทั้งน่ารังเกียจทั้งแข็งกร้าว’ เป็นการตำหนิจอมยุทธ์เหมือนกับก้อนหินที่อยู่ในส้วม และยังบรรยายถึงความหนาหนักและความแน่นิ่งของมัน เทียบกับวรยุทธ์วิชาของกลุ่มอิทธิพลดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ แล้ว ยังคล่องแคล่วไม่พอ

การสืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ทั้งหก เป็นที่รู้กันถ้วนทั่วว่าจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนเชี่ยวชาญการปะทะซึ่งๆ หน้ามากที่สุด ทว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวกายแย่ที่สุด

‘หอคลื่นโหมกลับกลอกเป็นอย่างยิ่ง’ นั่นหมายถึงท่วงทำนองวรยุทธ์วิชาของหอคลื่นโหม ซึ่งคุ้นชินกับการใช้ความอ่อนโยนควบคุมความแข็งแกร่ง

วรยุทธ์วิชาของหอคลื่นโหมอาศัยศาสตร์แห่งการทลายพลัง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในโลกแปดพิภพ

ความสามารถในการป้องกันของมันนั้น เทียบกับเขาไร้พรมแดนแล้วส่วนหนึ่งอ่อนโยน ส่วนหนึ่งแข็งแกร่ง เป็นที่กล่าวขานไปทั่วหล้า อีกทั้งวิทยายุทธการเคลื่อนไหวกายก็ยังใช้การเคลื่อนย้ายพลิกไปพลิกมาในระยะทางสั้นๆ เป็นจุดเด่น ว่องไวอย่างถึงที่สุด

ส่วน ‘ที่อำมหิตที่สุดคือเมืองทะเลมรกต’ ที่กล่าวถึงเป็นอันดับสุดท้าย หมายถึงวรยุทธ์วิชาของเมืองทะเลมรกต ที่คุ้นเคยกับการขับเคลื่อนพลังลับซ่อนเร้น ประหนึ่งกับลูกคลื่นใหญ่ที่บนผิวน้ำไม่น่าตื่นตกใจ ทว่าพลังอันมหาศาลกลับก่อตัวอยู่เงียบๆ อยู่ก้นบึ้งของทะเล สร้างความบาดเจ็บแก่ผู้คนโดยไร้รูปร่าง โดยไม่ทันรู้ตัว

เมืองทะเลมรกตมีชื่อเสียงเป็นเลิศในวิชาลับสุดยอด กระบี่ทะเลมรกตไร้รูปร่าง เพราะเป็นกระบี่อันไร้ลักษณะ เมื่อแสดงเจตจำนงกระบี่แสดงออก จะทำให้ศัตรูรู้สึกเหมือนกับอยู่กลางทะเลอย่างไรอย่างนั้น

อีกทั้งปราณกระบี่ไร้รูปร่างปรากฏอยู่ทุกที่ แทรกเข้าทุกอณู ชั่วขณะที่ปราณกระบี่เข้าสู่ร่างกาย ราวกับตัวอ่อนแมลงวันที่ชอนไชติดแน่นกระดูกข้อเท้า ยากนักที่จะกำจัดทิ้ง จึงถูกผู้อื่นนอกเหนือจากเมืองทะเลมรกตตราหน้าว่า ‘อำมหิต’

จ้าวหมิงยิ้ม “ไม่เพียงแต่กระบี่ทะเลมรกตไร้รูปร่างนี้ ที่ขุมกำลังชั้นหนึ่งและชั้นสองกำลังด่าทอเท่านั้น ยังรวมไปถึงสำนักของเราที่อยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่อื่นๆ ทั้งห้าด้วย ก็ถูกเกลียดจนเข้ากระดูกดำเช่นกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอจูงมือของฮานหลงเอ๋อร์ ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก ผู้ใดบางเล่าที่ไม่มีเคล็ดวิชาที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเกลียดเข้ากระดูกดำ”

เฟิงอวิ๋นเซิงผงกศีรษะ “เป็นเช่นนั้นแหละ”

ชายหนุ่มมองจิ่งอวิ๋นจือแวบหนึ่ง แล้วถอนใจเงียบๆ ก่อนจะพาฮานหลงเอ๋อร์ส่งต่อให้เฟิงอวิ๋นเซิงช่วยดูแล

จิ่งอวิ๋นจือลงมือด้วยการยึดหลักคุณธรรม กระนั้นผลคือไร่โอสถที่บริหารดูแลอย่างเหน็ดเหนื่อยของตนเองกลับถูกเผาจนเดือดร้อน ทั้งยังมีคนของพรรคสายรุ้งสีชาดถูกสังหารอีก

ถึงแม้ว่าศิษย์น้องร่วมสำนักคนนี้จะค่อนข้างมีเหตุผล ทว่าตอนนี้ยังต้องให้ผู้อื่นคอยช่วยเหลือดูแลเด็ก คงหนีไม่พ้นความไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง

แม้ว่าเฟิงอวิ๋นเซิงจะแปลกใจกับอากัปกิริยาของเยี่ยนจ้าวเกออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากความ จูงมือฮานหลงเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม

ฮานหลงเอ๋อร์นิ่งงัน สายตายังคงหยุดอยู่บนร่างไร้วิญญาณของบิดามารดาของตน

“ท่านพ่อ…ท่านแม่…เหตุใดถึงไม่ตื่นเล่า”

เฟิงอวิ๋นเซิงลอบถอนหายใจ แววตาทอประกายความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น

อีกฝั่งหนึ่ง ระหว่างซือคงจิงและโหวเสียงก็ค่อยๆ แบ่งแยกผู้แพ้ผู้ชนะออกได้แล้วเช่นกัน

ซือคงจิงสำแดงวิชาลับสืบทอดกว่างเฉิงออกมา กระบวนท่ากระบี่อำพันลี้ลับ หนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ ใช้ความแข็งแกร่งเอาชนะความแข็งแกร่ง สั่งสมความได้เปรียบทีละเล็กทีละน้อย

กระบวนท่ากระบี่อำพันลี้ลับ รุกโจมตี ป้องกัน ตั้งรับรวมกันเป็นหนึ่ง ดูเหมือนจะเรียบง่ายอืดอาด ทว่าแท้จริงแล้วประณีตวิจิตรถึงที่สุด ครอบคลุมไปเสียทุกสิ่ง พลังมหาศาลยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของวิถีกระบี่สายกว่างเฉิง

เพลงกระบี่เจ็ดดาราคือจากความซับซ้อนสู่ความง่ายดาย แต่กระบวนท่ากระบี่อำพันลี้ลับคือการเก็บซ่อนความง่ายดายเพื่อไว้สู้กับความซับซ้อน

ตอนนี้เองซือคงจิงสำแดงท่วงท่าที่งดงามของกระบวนท่ากระบี่อำพันลี้ลับออกมาทั้งหมด ความได้เปรียบเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จนท้ายที่สุดเหมือนกับก้อนหิมะกลิ้งที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรอย่างนั้น ยิ่งต่อสู้ยิ่งได้เปรียบ ทั้งยิ่งทำให้โหวเสียงหาโอกาสพลิกกลับคืนไม่ได้โดยสิ้นเชิง

จ้าวหมิงมองเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ข้างกายครู่หนึ่ง

ทั้งสองคนใช้วิธีแข็งชนแข็งเช่นเดียวกัน แนวทางต่อสู้ของเยี่ยนจ้าวเกอต่อคือใช้ความรวดเร็วจบการต่อสู้ เร็วปานลมกรดและสายฟ้าแลบ แพ้ชนะตัดสินในชั่วพริบตาเดียว

ส่วนแนวทางการต่อสู้ของซือคงจิงโออ่าซื่อตรงมากยิ่งกว่า แม้ว่าจะไม่ได้สั่นสะเทือนละลานตาขนาดนั้น ทว่าก็มั่นคงประดุจภูเขาไท่ซาน

หญิงสาวอายุน้อย เทียบกับจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดน ผู้คู่ต่อสู้ของตนแล้ว นางกลับสุขุมหนักแน่นยิ่งกว่า กุมความได้เปรียบเอาไว้ในมืออย่างมั่นคง

ถึงแม้โหวเสียงจะยังพยายามประคับประคองเอาไว้อย่างสุดกำลัง ทว่าดูจากตอนนี้แล้ว กลับให้ความรู้สึกว่า ความพ่ายแพ้ของเขาเป็นเพียงแค่ปัญหาเรื่องเวลาว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น แทบจะไม่มีใครรู้สึกเลยว่าเขามีหวังที่จะพลิกกลับมาได้

ทว่าพอเปรียบเทียบกับซือคงจิง เยี่ยนจ้าวเกอให้ความรู้สึกแบบที่ลึกเสียจนไม่เห็นก้นบึ้งยิ่งกว่า ทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ได้โดยสิ้นเชิง ว่าแท้จริงแล้วจุดไหนคือขีดจำกัดของนาง

“แนวทางการต่อสู้ของศิษย์น้องซือคงในตอนนี้ดูเหมือนจะสุขุม ทว่าเจตจำนงกระบี่ของตัวนางเองกลับมุ่งเข้าหาด้วยความฮึกเหิมอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ปรากฏความเซื่องซึมให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย สายตาทอดมองไปอีกด้านหนึ่ง

บริเวณนั้น มีจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนปรากฏตัวขึ้นกลุ่มหนึ่งอีก

บุคคลหนึ่งในนั้น ลักษณะหน้าตามีส่วนคล้ายกับจ้าวหมิงที่อยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกออยู่หลายส่วน

ชัดเจนว่าคือจ้าวฮ่าวที่หายไปหลังจากสงครามถังตะวันออก!

เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตามองจ้าวฮ่าวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแวบหนึ่ง “โอ้ ไม่ต้องตั้งใจกำหนดลมหายใจขับพิษ รอบกายก็มีกระแสปราณไหลเวียนอย่างช้าๆ เป็นการเบิกจุดลมปราณบนร่างกาย จนจุดลมปราณเกิดการดูดซับปราณโดยอัตโนมัติอย่างนั้นหรือ”

“เขากลายเป็นปรมาจารย์แล้ว อีกทั้งยังบรรลุถึงจุดสูงสุดของระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะต้นเรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานก็สามารถเบิกจุดลมปราณทั้งหมดได้ เลื่อนขั้นสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะกลาง”

“ช่างรวดเร็วนัก” เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายอะไร แม้ว่าครึ่งปีกว่าๆ ก่อนหน้านี้ จ้าวฮ่าวเพิ่งจะอยู่ในระดับหลอมกายขั้นที่แปด ขั้นชักจูงลมปราณ บรรลุถึงระดับกายยุทธ์ขั้นที่เก้า ขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายก็ตาม

หลังจากนั้นเขาบรรลุสู่ขั้นประจักษ์กายา แล้วจึงบรรลุคูน้ำกั้นสู่ระกับปรมาจารย์ ประสบผลสำเร็จระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก ในช่วงเวลาสั้นๆ ก้าวกระโดดถึงสามขั้น ช่างน่าตื่นตะลึงอย่างแท้จริง

ถึงกระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอกลับรู้รากฐานของจ้าวฮ่าว ใช้ประสบการณ์ระดับขั้นชาติที่แล้วของเขา ปัจจุบันถือกำเนิดอีกครั้ง พัฒนาจากขั้นเริ่มต้นอย่างรวดเร็วถึงจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

เพียงแต่ก็มีบางการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรที่จำเป็นต้องอดทนใช้เวลาอย่างช้าๆ จ้าวฮ่าวต้องใช้เวลาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

นอกจากนี้แล้วก็มีด่านขวางกั้นที่เกี่ยวข้องกับความเข้าใจ สำหรับเขาที่กระทำในสิ่งที่เคยทำมาแล้วอีกครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนราบรื่นราวกับพื้นเรียบ

คนอื่นต้องติดอยู่นานนัก จึงจะสามารถหาคำตอบของปัญหาได้ แต่สำหรับจ้าวฮ่าวแล้วล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่

ถึงแม้ว่าจะเกิดใหม่อีกครั้ง ทว่าขอเพียงเข้าใจสภาพร่างกายของตนเองในตอนนี้ได้ตลอดเวลา ก็จะไม่มีอุปสรรคด้านความรู้ ความคิด และความอ่านขวางกั้นอยู่เลย

ดังนั้นการที่จ้าวฮ่าวอยู่ในระดับขั้นหลอมกาย ก้าวสู่ระดับปรมาจารย์ภายในวันเดียว ล้วนแล้วแต่อยู่ในการคาดการณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอทั้งสิ้น

ก่อนหน้านี้จ้าวฮ่าวติดตามจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนออกจากถังตะวันออกไป เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังเช่นกัน

เพียงแต่เยี่ยนจ้าวเกอคาดไม่ถึงว่าจ้าวฮ่าวจะปรากฏตัวที่เขานิมิตเมฆ

“มาทำอะไรกัน” เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพื่อสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำอย่างนั้นหรือ”

…………..