ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 129 พวกเขาไม่มีประโยชน์แล้ว

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

การมาถึงของจ้าวฮ่าวและคนอื่นๆ ไม่ได้กระทบกับผลแพ้ชนะของการต่อสู้ระหว่างซือคงจิงและโหวเสียงแต่อย่างใด

ซือคงจิงถือไพ่เหนือกว่ามาก จนถึงขั้นยากที่พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ ขอเพียงแค่ตนเองไม่ทำเรื่องโง่เขลา ไม่ประมาท อย่างไรชัยชนะก็ไม่ไปไหนแน่

ความกระตือรือร้นของหญิงสาวผู้เยือกเย็นที่มีต่อวรยุทธ์ อยู่เหนือจินตนาการของผู้คนไม่น้อย ซึ่งนางที่กำลังจดจ่ออยู่กับการประลองอยู่ในขณะนี้ แน่นอนว่าไม่ประมาทศัตรูเป็นแน่

ด้วยเหตุนี้ ผลปราชัยของโหวเสียงจึงถูกลิขิตเอาไว้แล้ว

ขณะที่กระบี่ในมือของซือคงจิงพังทลายขวานสั้น อาวุธวิญญาณของโหวเสียงจนปลิวออกไป เขาก็ยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าแดงเถือก

ศิษย์สำนักเขาไร้พรมแดนคนอื่นๆ สีหน้าก็ไม่สู้ดีเช่นกัน ทั้งจี้ฮั่นหรูและโหวเสียงต่างก็เป็นศิษย์ผู้โดดเด่นท่ามกลางศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนัก หากแต่ผลลัพธ์กลับพ่ายให้แก่น้ำมือศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงไปเสียสิ้น

อีกทั้งยังมีเรื่องลำดับอายุ โหวเสียงโตกว่าซือคงจิง จี้ฮั่นหรูโตกว่าเยี่ยนจ้าวเกอ

โดยเฉพาะยิ่งจี้ฮั่นหรูไม่ได้โตกว่าจ้าวเยี่ยนเกอแค่ปีสองปีเท่านั้น หากพูดกันตามตรง ทั้งสองไม่ได้เป็นกระทั่งคู่ต่อสู้ที่มีช่วงอายุเดียวกันด้วยซ้ำ ตามเหตุตามผลแล้วจี้ฮั่นหรูควรจะชนะสิถึงจะถูก

จ้าวฮ่าวขณะนี้สวมชุดสีดำทั้งตัว แต่งกายตามแบบศิษย์ของเขาไร้พรมแดน ทว่าเขากลับไม่ได้มองโหวเสียง ศิษย์สำนักเดียวกันสักครั้ง แต่กลับมองซือคงจิง นั่นทำให้ชั่วพริบตาหนึ่งสายตาเขาชะงักไปเล็กน้อย

เพียงชั่วครู่เดียว สายตาของจ้าวฮ่าวก็เคลื่อนไปที่ร่างของเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอมองจ้าวฮ่าวแวบหนึ่ง ดูจากสายตาของอีกฝ่ายแล้ว กลับไม่เห็นความโอหังและเหยียดหยามดังก่อนหน้า ทว่าก็ไม่ได้อ่อนโยนแต่อย่างใด หากแต่เฉียบคมเฉกเช่นดาบ

“เหอะๆ ตอนนี้คงไม่ต้องไว้หน้าท่านลุงจ้าวแล้วสินะ…” เยี่ยนจ้าวเกอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สายตาพลันเปลี่ยนเป็นเฉียบคมและเยือกเย็น

ดวงตาทั้งสองของเขาราวกับสายฟ้า rk.shอากาศเหมือนกับสั่นกระเพื่อมเล็กน้อย ทิ่มแทงดวงตาทั้งสองของจ้าวฮ่าวจนเจ็บปวด

ผู้อาวุโสจั่วแค่นหัวเราะออกมาจากกลางอากาศ “จอมยุทธ์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย จะมาลำพองกับจอมยุทธ์จิตราชั้นในระยะต้นอย่างนั้นหรือ”

เสียงแค่นหัวเราะของเขาเมื่อครู่ มวลเสียงเสมือนเกาะผนึกรวมกับเป็นวัตถุ ประหนึ่งกับยอดเขาสูงกดทับเยี่ยนจ้าวเกอลงมา

ฟู่เอินซูที่อยู่ข้างกายก็แค่นหัวเราะเช่นเดียวกัน “จัดการสายตาศิษย์สำนักเจ้าให้ดีก่อนเถอะ ช่างยั่วยุกำเริบเสิบสานนัก คิดหรือว่าจะไม่มีใครสามารถกำจัดเขาได้”

ทันทีที่เสียงพูดดังขึ้น ยอดเขาที่กดทับเยี่ยนจ้าวเกออยู่นั้น ก็พลันแตกดังโครมครามกลายเป็นเสี่ยงๆ มลายหายไปไร้ซึ่งร่องรอย

ฟู่เอินซูมองท่านผู้อาวุโสจั่วตรงๆ พลางพูดอย่างช้าๆ ว่า “หากจะพูดถึงความลำพองละก็ เมื่อครู่เป็นศิษย์สำนักท่านที่อยู่ขั้นเคียงนภาระยะต้น โจมตีจ้าวเกอที่อยู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายเสียมากกว่ากระมัง”

แต่ไหนแต่ไรนางก็พูดจาดุเดือดรุนแรงราวกับฟ้าฝนถล่ม ทว่าจู่ๆ น้ำเสียงกลับอ่อนนุ่มแผ่วเบา พูดจาเชื่องช้า จนทำให้คนอื่นๆ โมโหมากขึ้นไปอีกอย่างอดไม่ได้

จ้าวหมิงที่อยู่ตรงนั้นมองดูจ้าวฮ่าวพลางถอนใจ “น้องสิบหก ด้วยพรสวรรค์อันปราดเปรื่องของเจ้าแล้ว ไม่ต้องรับราชบัลลังก์ ก็สามารถมาเข้าเป็นศิษย์กว่างเฉิงของข้าได้ ทั้งยังได้รับการฝึกสำคัญตามฉบับสำนัก เหตุใดต้องเลือกทางเช่นวันนี้เล่า”

สายตาจ้าวฮ่าวมองกวาดจ้าวหมิงอยู่แวบหนึ่ง ทว่าไม่ได้ตอบกลับไปแต่อย่างใด

เทียบกับคำพูดของจ้าวหยวน จ้าวเฉิง และคนอื่นๆ แล้ว จ้าวหมิงตรงไปตรงมาและจริงใจมากกว่า ทว่าอารมณ์ก็หุนหันพลันแล่นมากกว่าเช่นกัน พอเห็นท่าทางโอหังเหยียดหยามของจ้าวฮ่าว เขาก็พลันโมโหจนพูดอะไรไม่ออกทันที

ทันใดนั้นเสียงของฟู่เอินซูก็ดังออกมาจากกลางอากาศ “ที่แท้ก็เป็นบุตรอกตัญญู นกสองหัวแห่งตระกูลของจ้าวซื่อเฉิงนี่เอง”

ชั่วชีวิตนาง คนที่นางเคารพนับถือมากที่สุดก็คืออาจารย์หยวนเจิ้งเฟิง ความสัมพันธ์ทั้งคู่เปรียบเสมือนบิดาและบุตรี นางมักทำตามอำเภอใจ เดิมก็ไม่ใช่คนที่มีเหตุผลนัก ทว่าขณะนี้สังเกตได้ว่าสายตาจ้าวฮ่าวพลันเปลี่ยนเป็นไม่เกรงใจขึ้นมาแล้ว

ดวงตานางราวกับมีไฟฟ้ากำเนิดขึ้น เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มีลำแสงวาบออกมา

ผู้อาวุโสจั่วสีหน้าเปลี่ยนไป พลางกล่าวเสียงดังว่า “ฟู่เอินซู เจ้าชักจะบังอาจเกินไปแล้ว!”

เขาลงมือสกัดกั้นการโจมตีของฟู่เอินซู ทว่าคิ้วของฟู่เอินขมวดเข้าหากัน “หืม?”

ซานสือเวิงยกมือขึ้นหยุดยั้งทั้งสองคน สายตามองไปที่ฟู่เอินซู “ดังที่สำนักเราทั้งสองได้ปรึกษาหารือในวันนั้น เรื่องของถังตะวันออกก็ได้เปิดโปงแล้ว ศิษย์คนนี้ไม่ว่าฐานะเดิมจะเป็นเช่นไร หากแต่บัดนี้คือศิษย์สำนักเขาไร้พรมแดนของข้า”

สายตาฟู่เอินซูกลับมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง ซือคงจิง และคนอื่นๆ อยู่แวบหนึ่ง

ตามพื้นเพนิสัยของนาง ถ้าหากมีเพียงนางแค่ผู้เดียว ก็นางอาจจะไม่ใส่ใจนัก หากแต่พื้นที่นั้นถูกจ้าวฮ่าวคุมไว้อยู่ แม้ภายหลังจะต้องเจอซานสือเวิงสามคนล้อมโจมตีก็ไม่ต่างกัน

ทว่าตนเองก็มีศิษย์พี่อยู่ที่นั่นเช่นกัน หากเพียงดูแลไม่ทั่วถึง ผลที่ตามมาอาจเลวร้ายจนไม่กล้านึกถึง

ผู้อาวุโสจั่วแห่งสำนักเขาไร้พรมแดนกล่าวอย่างเย็นชา “ฟู่เอินซู เจ้าคิดหรือว่าหากไม่มีคนจากสำนักกว่างเฉิงเช่นเจ้าแล้ว สำนักเขาไร้พรมแดนของข้าจะไม่สามารถจัดการปัญหาสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำได้”

“โอ้” ฟู่เอินซูชะงักไปเล็กน้อย พลางก้มลงมองจ้าวฮ่าว “…เจ้าคงไม่ได้กำลังกล่าวถึงเขากระมัง”

ซานสือเวิงนิ่งเงียบไปชั่วครูก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “พูดตามความจริงแล้ว จ้าวฮ่าว ศิษย์ใหม่ของสำนักก็เสนอวิธีฟื้นฟูสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำไปแล้วเช่นกัน”

“ก่อนหน้านี้ปิดเป็นความลับไม่เปิดเผยมาตลอด ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบัง หากแต่จำเป็นต้องสำรวจให้แน่ใจเสียก่อน”

กล่าวถึงตรงนี้ ซานสือเวิงยังคงมีท่าทีเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าผู้อาวุโสจั่วและผู้อาวุโสเสวียนสือกลับจ้องมองจ้าวฮ่าวด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก

เพราะเด็กคนนี้มักเก็บงำไว้เพียงผู้เดียว ระมัดระวังความลับที่สำคัญที่สุดมาโดยตลอด จะพูดเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น

กระนั้นเรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก ถึงขั้นสำคัญที่สุดกับสำนักเขาไร้พรมแดนเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ผู้อาวุโสจั่วจึงยิ่งไม่กล้าเก็บงำเรื่องนี้ไว้

ฉะนั้นคุณงามความดีใหญ่หลวงเช่นนี้ เขาจึงไม่สามารถยึดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ทำได้แค่เพียงแบ่งคุณงามความดีจากการแนะนำของจ้าวฮ่าวบ้าง

ผู้อาวุโสเสวียนสือ ผู้ที่เฝ้ารักษาเขานิมิตเมฆอยู่ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกัน

ผู้อาวุโสทรงอำนาจทั้งสองท่านแห่งสำนักเขาไร้พรมแดน ถึงแม้จะเผชิญหน้าอยู่กับสำนักเขากว่างเฉิงในตอนนี้ ก็มุ่งช่วยเหลือจ้าวฮ่าวศิษย์สำนักตนเอง ทว่าสำหรับเจ้าเด็กไม่รู้กาลเทศะคนนี้ นี่ทำให้เขาไม่พอใจยิ่งนัก

อีกด้านหนึ่ง ในใจพวกเขาก็ยังคงกังวล ไม่รู้ว่าวิธีของจ้าวฮ่าวจะใช้การได้จริงหรือไม่

หลายวันที่ผ่านมานี้ จ้าวฮ่าวอยู่นอกเขานิมิตเมฆก็เพราะทำการสำรวจพื้นที่จริงอยู่นั่นเอง

ก่อนหน้าไม่ได้สำรวจให้สำเร็จจนถึงที่สุด ดังนั้นเมื่อเยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ มาเยือน ด้านสำนักเขาไร้พรมแดนจึงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ขอเพียงเตรียมพร้อมทุกด้านให้ปลอดภัย

ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้ถึงท่าทีคลุมเครือจากทางเขาไร้พรมแดน ที่แท้เหตุผลเป็นเช่นนี้นี่เอง

จ้าวฮ่าวมองทั้งเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่เอินซูอย่างเย็นเยียบชั่วครู่ พลางกล่าวว่า “แผนของข้าสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมาคิดวิธีอีก”

จากความหมายที่พูดมานั้น พวกเยี่ยนจ้าวเกออยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว

“ฮ่า…” ทันใดนั้นฟู่เอินซูก็โมโหจนหลุดหัวเราะออกมา

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูจ้าวฮ่าว ใบหน้าท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

การที่โหวเสียงปล่อยคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มที่ไปก่อนหน้า ทำเยี่ยนจ้าวเกอคร้านจะสนใจ

หลังจากการทดสอบแห่งจันทราครั้งแรก มงกุฎจันทราตกไปอยู่ในมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากว่างเฉิงกับเขาไร้พรมแดนก็ดีขึ้น ความร่วมมือกลายเป็นเพิ่มขึ้นมาก

เมื่อถึงการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สอง เมืองทะเลมรกตเป็นฝ่ายได้มงกุฎจันทราไป เขาไร้พรมแดนและเขากว่างเฉิงถึงได้ค่อยๆ ห่างเหินกันไป

บัดนี้มงกุฎจันทรากลับไปอยู่ในมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง อีกฝ่ายจะกลับไปร่วมมือกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หรือ?

ดังนั้นจากการที่การการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สาม มงกุฎจันทราตกเป็นของเมิ่งหว่านอีกครั้ง ความขัดแย้งระหว่างสำนักเขากว่างเฉิงและสำนักเขาไร้พรมแดนก็พลันคลี่คลายลง

ทว่าการร่วมมือกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนิทสนมชิดเชื้อเสียเมื่อไร

จะร่วมมือกันอย่างไร ร่วมมือกันถึงขั้นไหน ทั้งสองฝ่ายจะได้สิ่งใดจากอีกฝ่าย สิ่งเหล่านี้สามารถผันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เป็นเรื่องที่พิจารณากันอยู่ไม่หยุดหย่อน

อาทิ ตอนศึกระหว่างสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และเขากว่างเฉิงได้เริ่มขึ้น เขาไร้พรมแดนจะไม่ช่วยเหลือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน กระนั้นพวกเขาก็วางเฉย แล้วยังคงออกตัวช่วยเหลือเขากว่างเฉิงประจันศึกกับสำนักศักดิ์สิทธิ์สุริยัน แน่ชัดว่านี่แยกออกเป็นสองเรื่อง

ตนเองเป็นตัวแทนเขากว่างเฉิง ช่วยเหลือสำนักเขาไร้พรมแดนแก้ไขปัญหาใหญ่ของสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำ เขาไร้พรมแดนจะต้องยอมรับตน ยอมรับน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของกว่างเฉิง

หลังจากทั้งสองฝ่ายได้ร่วมมือกันแล้วนั้น เขากว่างเฉิงจะต้องยึดครองความได้เปรียบอย่างแน่นอน

อีกทั้งเขากว่างเฉิงไม่ต้องเสียสิ่งของใดๆ เลย สายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำเป็นของเขาไร้พรมแดนเอง

กระนั้นหากเขาไร้พรมแดนสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยตนเอง นั่นก็เป็นอีกผลลัพธ์หนึ่งแล้ว

………….