ตอนที่ 244 : สำนักแปดหมัด

“อันตงจ๋างั้นหรือ ? เป็นชื่อที่แปลกจริง ๆ นายดูเด็กแต่แข็งแกร่งมาก ” หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ก่อนหน้านี้นายไปทำอะไรมา ? ”

“ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก ฉันแค่ฝึกฝนอย่างเดียว” อันตงจ๋าตอบกลับ

“หัวหน้า เขาคือทายาทของจอมยุทธ์แห่งมวยแปดปรมัตถ์” ลัวจ้าวฮว่าอธิบายออกมา

“โอ้…” หวังเย่าตาเป็นประกายขึ้นมาราวกับว่าสนใจ

อันตงจ๋าพูดขึ้น “ตั้งแต่ที่โลกเปลี่ยนแปลงไป คนก็สามารถฝึกทักษะต่อสู้และควบคุมพลังในโลกนี้ได้ ดังนั้นผู้บ่มเพาะที่เร้นกายจากโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นลัทธิเต๋าหรือศาสนา สำนักมวยไท่เก๊ก มวยแปดปรมัตถ์ มวยหย่งชุนและอื่น ๆ จึงค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป พวกเขามีทักษะหมัดมวยเป็นของตัวเองตั้งแต่แรก อีกทั้งยังเป็นศิลปะการต่อสู้ที่คงอยู่มานานหลายพันปี เมื่อบวกกับสมรรถภาพทางร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นต่อให้ไม่ทำสัญญากับสัตว์อสูร แต่อาศัยแค่ทักษะหมัดมวยของพวกเขาก็สามารถต่อสู้ได้”

“งั้นก่อนหน้านี้นายฝึกฝนที่ไหนกัน ?” หวังเย่าใจเต้นรัวขึ้นมา หากเรียนรู้ทักษะหมัดของอีกฝ่ายได้ เขาก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นสิบหรือพันเท่า

“ในหุบเขาวจนะลับ ห่างจากที่นี่ไป 300 ไมล์ เดิมทีมวยแปดปรมัตถ์ก็เป็นทักษะมวยประเภทหนึ่งที่เปิดสอนให้กับคนในเมือง แต่หลังจากที่โลกเปลี่ยนแปลงไป อาจารย์ไท่ก็รู้สึกถึงความอัศจรรย์ของพลังในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้นเขาจึงพาลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง ออกไปอาศัยอยู่ในป่าพร้อมกับล่าสัตว์อสูรรวมไปถึงพัฒนาทักษะ ผ่านมา 20 ปี ในที่สุดเขาก็สร้างทักษะต่อสู้ขั้นที่ 7 ขึ้นมาได้ มันมีชื่อว่าทักษะแปดหมัดแปรมังกร หลังจากนั้นอาจารย์ไท่ก็ได้ก่อตั้งสำนักขึ้นมา มันมีชื่อว่าสำนักแปดหมัด เขามายังเมืองหัวเซี่ยเพื่อรับศิษย์ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในศิษย์พวกนั้น ”

อันตงจ๋าเล่าถึงรายละเอียด ยังไงซะเขาก็จะอยู่ร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างนี้ไปอีกนาน

ทักษะต่อสู้ขั้นที่ 7 ที่คนพวกนี้ฝึกฝนพร้อมกับทำการล่าสัตว์อสูรไปด้วยเพื่อลับคมทักษะจนทำให้เด็กหนุ่มก้าวมาถึงระดับ B ได้ สำนักนี้ไม่อาจจะประมาทได้

หวังเย่าใจเต้นรัวราวกับพบกับสมบัติ อันตงจ๋าน่าจะแข็งแกร่งอย่างมาก ในอนาคตเขาต้องมีประโยชน์มากแน่ ๆ

“นายเพิ่งจะลงมาจากเขาหรือ ? แล้วทำไมถึงเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเราล่ะ ? ” หวังเย่าถามขึ้นมา

“ใช่ ฉันเพิ่งลงมาจากเขาอย่างที่หัวหน้าพูดจริง แม้สำนักแปดหมัดจะต้องการรับสมัครคน แต่ทว่ามีแค่คนที่ผ่านการทดสอบเท่านั้นถึงจะเข้าร่วมสำนักได้ เนื่องจากสำนักรับแค่ศิษย์หลัก ไม่รับศิษย์นอก จำนวนศิษย์จึงมีน้อยอย่างมาก ทุกปีก็รับสมัครคนได้แค่ 2-3 คน และมีแค่พวกที่ฝึกไปถึงส่วนที่ 5 ได้เท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ลงมาจากเขาได้”

“สำหรับว่าทำไมฉันถึงเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างนี้นั้นไม่ใช่เพราะเงื่อนไขและการดูแลของที่นี่ แต่เป็นเพราะฉันมองเห็นถึงความทะเยอทะยานของกลุ่มทหารรับจ้างนี้ อีกทั้งกลุ่มทหารรับจ้างนี้ก็เพิ่งจะก่อตั้ง ฉันสามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นได้ มันยังมีช่องว่างอีกมากให้ได้พัฒนา ฉันไม่รู้ว่าหัวหน้าจะพอใจกับคำตอบของฉันรึเปล่า”

“ดี ดี แล้วความแข็งแกร่งของสำนักนายล่ะ ? นายพอจะบอกฉันได้ไหม ? ” หวังเย่ามองไปรอบ ๆ “ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

อันตงจ๋ายิ้มและพูดขึ้นมา “ไม่จำเป็น อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะถูกเปิดเผย”

เขาพึมพำออกมา “อืมมม…งั้นจะอธิบายให้หัวหน้าเห็นภาพแบบนี้ก่อนก็แล้วกัน ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรนั้นไล่จากเลเวล 1-99 ทุก ๆ 10 เลเวลจะมีจุดเปลี่ยน การพัฒนาของนักรบไล่จากระดับ G-SSS ระดับ G คือคนทั่วไปเทียบเท่ากับสัตว์ก่อนที่โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ระดับ F แกร่งกว่าเล็กน้อยเท่ากับสัตว์อสูรเลเวล 1-9 ระดับ E เท่ากับสัตว์อสูรเลเวล 10-19”

“ระดับ D เท่ากับสัตว์อสูรระขั้นผู้นำเลเวล 20-29 ระดับ C เท่ากับสัตว์อสูรขั้นลอร์ดเลเวล 30-39 ระดับ B เท่ากับสัตว์อสูรขั้นราชาเลเวล 40-49 ระดับ A เท่ากับสัตว์อสูรขั้นราชันย์เลเวล 50-59 ระดับ S เท่ากับสัตว์อสูรขั้นจักรพรรดิเลเวล 60-69 ระดับ SS เท่ากับสัตว์อสูรขั้นเทพเลเวล 70-79 ระดับ SSS เท่ากับสัตว์อสูรที่เหนือกว่าขั้นเทพเลเวล 80-89”

“เหนือกว่าระดับ SSS นั้นมีอีก 1 ขอบเขต มันคือนักรบไร้เทียมทานเท่ากับสัตว์อสูรเลเวล 90-99 แน่นอนมันยังไม่ชัดเจนว่ามีสัตว์อสูรขอบเขตนี้อยู่รึไม่ในโลกนี้ แต่ในมิตินอกก็น่าจะมีสัตว์อสูรขั้นนี้อยู่ ”

หวังเย่าพยักหน้า เขารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วแต่เขาไม่รู้ว่าเหนือกว่านักรบระดับ SSS ยังมีนักรบไร้เทียมทานอยู่ เขาคิดมาเสมอว่าระดับ SSS คือระดับสูงสุดแล้ว

นี่ไม่ได้หมายความว่าเฉี่ยนเจินเฉียนและหลี่ว่านเฟิงมีความแข็งแกร่งระดับ SSS รึไง ?

มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น

เฉี่ยนเจินเฉียนนั้นแม้ว่าจะมีอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์แต่ใช้พลังได้แค่เล็กน้อย มังกรเพลิงนั้นอยู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ก็จริงแต่ไม่ได้แข็งแกร่งนัก อย่างน้อยก็ไม่อาจจะเทียบกับกิเลนไฟได้ เฉี่ยนเจินเฉียนกับอสูรของเขาน่าจะมีความแข็งแกร่งระดับ SS

สำหรับหลี่ว่านเฟิง หวังเย่าไม่เคยเห็นอีกฝ่ายลงมือ แต่อสูรทั้งสองของเขาต้องบอกว่าธรรมดากว่าเฉี่ยนเจินเฉียนเสียอีก แต่การที่เขาเป็นผู้ตรวจสอบ 4 ดาวได้นั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามุ่งมั่นในวิถีนักรบมากกว่าและคงเหนือกว่าเฉี่ยนเจินเฉียน สำหรับว่าเขาจะอยู่ระดับ SSS รึไม่ เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน

“นายพูดต่อเถอะ” หวังเย่าพูดขึ้น

อันตงจ๋าพยักหน้า “กลับมาที่สำนักแปดหมัด ทักษะแปดหมัดแปรมังกรนั้นแบ่งออกเป็น 8 ส่วน การทะลวงแต่ละส่วน จะทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น จากส่วนแรกไปจนถึงส่วนที่ 8 นั้นเทียบกับนักรบระดับ F จนถึงระดับ SS หลังจากที่ฝึกส่วนที่ 5 แล้วก็จะได้รับอนุญาตจากอาจารย์ให้ออกมาจากสำนักได้ ซึ่งก็คือนักรบระดับ B ที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับสัตว์อสูรขั้นราชาได้ ”

“แน่นอนว่าความสามารถของสัตว์อสูรนั้นแตกต่างกันไป มันมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ นักรบอย่างพวกเราได้แต่พึ่งพลังของตัวเอง ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างนักรบกับสัตว์อสูร มันก็จะมีข้อจำกัดเรื่องสกิล หากต้องสู้กันจริง ๆ ก็ใช่ว่าจะตัดสินผลแพ้ชนะได้”

“ดังนั้นเมื่อฉันลงจากเขามา ฉันก็ได้ทำสัญญากับสัตว์อสูรเพื่อจะได้ยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเอง ยังไงซะเราก็สามารถใช้สกิลของอสูรได้ แม้ว่าแรกเริ่มเลเวลของอสูรจะน้อยและสกิลไม่ได้ดีนักแต่มันก็เท่ากับได้สกิลมาเพิ่ม มันทำให้เราสู้ได้อย่างอิสระมากขึ้น”

ทุกคนที่ฟังต่างก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย

อันตงจ๋าพูดต่อ “สำนักของเรานั้นอาจารย์และผู้อาวุโสหลายคนมีความแข็งแกร่งระดับ SS แต่ไม่สามารถทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองได้ต่อ ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้พวกเขาจึงทำการศึกษาทักษะเพื่อยกระดับทักษะแปดหมัดแปรมังกร ผู้อาวุโสบางคนถึงกับเริ่มรับศิษย์เพื่อทำการสอนและถ่ายทอดวิชา”

“ฉันคือศิษย์ของอาจารย์อัน และมีศิษย์พี่อีก 2 คน พวกเขาลงจากเขามานานแล้วและยังไม่กลับไป ฉันไม่ได้ข่าวของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีศิษย์น้องที่เป็นผู้ชายอีก 3 คนและศิษย์น้องที่เป็นผู้หญิงอีก 1 คน สองคนแรก คนหนึ่งขึ้นไปถึงระดับ C แล้ว อีกคนอยู่ระดับ D ส่วนศิษย์น้องผู้หญิงนั้นเพิ่งจะเริ่มฝึกฝน เธอยังอยู่ระดับ F อยู่ นี่คือความแข็งแกร่งของสำนักแปดหมัด ”