บทที่ 124 ของใครใหญ่กว่ากัน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 124 ของใครใหญ่กว่ากัน

“หลินเป่ยเฉิน ข้าอยากจะสู้กับเจ้า”

หมิงลั่วเถียน เด็กสาวหน้าตางดงามลุกขึ้นยืนประสานมือคำนับเขาด้วยความสุภาพอ่อนน้อม

นางแทบไม่เคยสุภาพกับใครเท่านี้มาก่อน

นั่นเป็นเพราะว่าเด็กสาวอยากจะได้รับประสบการณ์ประลองกระบี่กับหลินเป่ยเฉินสักหลายกระบวนท่า

ไป๋ชินหยุนรู้สึกสองแก้มร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล มองตาขวางดูว่าหลินเป่ยเฉินจะตอบรับอย่างไร

แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้หันไปมองผู้ส่งคำท้าสักนิดด้วยซ้ำ “ข้าไม่อยากสู้กับเจ้า”

หมิงลั่วเถียนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

เพราะเหตุใดกันนะ ทำไมนางถึงได้ถูกปฏิเสธอย่างเย็นชาเช่นนี้?

หมิงลั่วเถียนเชื่อมั่นมาตลอดว่าตนเองเป็นสาวงามไม่แพ้ผู้ใด

ไม่เคยมีเด็กหนุ่มคนไหนกระทำกับนางอย่างเย็นชาเท่านี้มาก่อน

เจ้าแกะดำช่างแตกต่างจากทุกคนที่หมิงลั่วเถียนเคยพบเจอ

“น่าสนใจดีนี่นา หลินเป่ยเฉิน เจ้าทำให้ข้าอยากรู้จักเจ้ามากขึ้นเสียแล้ว”

หลากหลายความคิดผุดขึ้นมาในสมองของหมิงลั่วเถียนตอนที่นางยืนกัดริมฝีปากตนเอง

“หลินเป่ยเฉิน เจ้ามันขี้ขลาดตาขาว”

เสว่เหยียนพลันระเบิดเสียงหัวเราะเยาะหยัน “หลังรับรางวัลจากการประลองรอบก่อนไปแล้ว เจ้าก็เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง ไม่เรียกว่าเป็นคนขี้ขลาด แล้วจะเรียกเป็นตัวอะไรได้อีก?”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “อย่าพูดมากเลยดีกว่า หากเจ้าอยากสู้กับข้า ก็เอาชนะเฉาพั่วเถียนให้ได้ก่อน”

เสว่เหยียนกัดฟันกรอด “เจ้า…”

หากเขาสามารถเอาชนะเฉาพั่วเถียนได้ ก็คงท้าประลองไปนานแล้ว

“เจ้ามันหน้าไม่อายนัก!” เสว่เหยียนโกรธแค้นจนแทบกระอักเลือด

หลินเป่ยเฉินสวนกลับว่า “เจ้าเก็บคำพูดนี้ไว้บอกตัวเองเถอะ”

เสว่เหยียนยังไม่ทันตอบคำใด

เซี่ยหยุนหรงที่เงียบขรึมอยู่ตลอดเวลา พลันลุกขึ้นยืน พูดว่า “หากข้าจำไม่ผิด การปฏิเสธคำท้า ไม่นับว่าเป็นการผิดกฎประลองแต่อย่างใด”

เฉาพั่วเถียนหรี่ตาลงเล็กน้อย ทำให้บาดแผลบนแก้มขยับตัว เกิดเป็นความเจ็บปวดแล่นแปลบ

“เจ้าพยายามออกหน้าช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน เพราะคิดว่าเขาทำลายกระบี่พิฆาตสวรรค์ของข้า เพื่อแก้แค้นแทนเจ้าใช่หรือไม่?”

เฉาพั่วเถียนจ้องมองเซี่ยหยุนหรงพร้อมกับยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าโดนมันหลอกใช้เสียแล้ว เพียงเท่านี้ก็อยากเป็นลิ่วล้อของมันแล้วหรือ? ฮ่าฮ่า เจ้านี่มันไร้เดียงสายิ่งกว่าเด็กอมมือเสียอีก”

“หากเจ้าอยากจะสู้กับข้า ข้าก็ไม่มีปัญหา” เซี่ยหยุนหรงตอบกลับไปด้วยสีหน้าเย็นยะเยียบ

เฉาพั่วเถียนหัวเราะในลำคอ “เจ้าคิดว่าตนเองคู่ควรประลองกับข้าแล้วหรือ?”

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะดุเดือดเกินจำเป็น หลีลั่วหรันก็ส่งเสียงกระแอมไอและพูดเสียงดังว่า “ในการประลองรอบนี้ มือกระบี่สามารถปฏิเสธคำท้าได้ตามใจชอบ หากหลินเป่ยเฉินไม่อยากต่อสู้กับเจ้า เจ้าก็จงเลือกคู่ประลองใหม่เสียเถิด”

ในฐานะผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยของงานครั้งนี้ นี่คือคำสั่ง

แม้ไม่เต็มใจ แต่เฉาพั่วเถียนก็ต้องเลือกคู่ประลองใหม่แล้ว

“เจ้าอยากจะสู้กับข้าไม่ใช่หรือ?”

เฉาพั่วเถียนหันกลับมามองหน้าเซี่ยหยุนหรง ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มชั่วร้าย “มาเลย ข้ายอมรับคำท้าของเจ้า”

การประลองกระบี่คู่แรกจึงเกิดขึ้น

เซี่ยหยุนหรงมีพลังไม่ต่ำต้อย ปัจจุบันเขาขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 2 เรียบร้อยแล้ว

วิชากระบี่ประจำตัวคือวิชากระบี่วายุทะลวงเมฆา นับเป็นวิชากระบี่ระดับสามดาว มีอานุภาพการโจมตีรุนแรงหนักหน่วง

แต่สุดท้าย เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมือกระบี่อัจฉริยะจากเมืองไป๋หยุนอยู่ดี

“ตุบ!”

เซี่ยหยุนหรงลอยกระเด็นมาตกอยู่ตรงหน้าโต๊ะอาหารของหลินเป่ยเฉินพอดิบพอดี

มวยผมบนศีรษะถูกคมกระบี่ของเฉาพั่วเถียนตัดขาด เส้ผมยาวสลวยตกลงมาปรกใบหน้า เซี่ยหยุนหรงพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น ต้องกระอักเลือดออกมาหลายคำ ในที่สุดก็กัดฟันพูดออกมาว่า “พั่วเถียน สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ ข้าต้องแก้แค้นแน่นอน”

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็โซเซกลับไปหาปู่ของตนเอง

เซี่ยเสี่ยวเฟิงเป็นชายชราเคราแพะสวมใส่เสื้อคลุมสีดำ เขาได้แต่ถอนหายใจและไม่พูดอะไรออกมา จัดการวางมือไว้บนหัวไหล่ของหลานชายและโคจรพลังลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ ตระกูลเซี่ยของพวกเขายังไม่มีอำนาจมากพอที่จะมีเรื่องบาดหมางกับเฉาพั่วเถียนได้ แม้จะถูกอีกฝ่ายกระทำการหยามเหยียดอย่างร้ายกาจก็ตาม

เฉาพั่วเถียนจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาท้าทายอีกครั้ง

แต่เจ้าแกะดำกลับไม่ได้สนใจการประลองเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนั้น การประลองอีกคู่หนึ่งก็เริ่มขึ้น

ได้ยินเสียงกระบี่ปะทะกันดังในอากาศ

“ทำไมเจ้าไม่เข้าไปช่วยเซี่ยหยุนหรง?”

ขณะนี้ ไป๋ชินหยุนเดินเข้ามายืนประชิดด้านหลังหลินเป่ยเฉิน และกระซิบใส่ใบหูของเขา

หลินเป่ยเฉินรู้สึกจักจี้เพราะโดนปอยผมของเด็กสาวระใบหู เขาจึงหันหน้ามาเป่าปอยผมของนางออกไป แล้วตอบ “ที่เขาออกไปสู้กับเฉาพั่วเถียน มันไม่เห็นจะเกี่ยวกับข้าตรงไหน นับว่าเขาหาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ แล้วทำไมข้า…เฮ้ย เจ้าเป็นอะไรไป?”

เด็กหนุ่มพบว่าในขณะนี้ใบหน้าของไป๋ชินหยุนแดงก่ำเหมือนคนที่รับประทานอาหารเผ็ดร้อนมากเกินไป มิหนำซ้ำ ดวงตาดำขลับกลมโตของนาง ยังจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาอำมหิตอีกด้วย

ในมุมมืดห่างออกไป

“โอ๊ย เจ็บๆๆๆ …เบาๆ หน่อยสิ”

หลิงอู๋ร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด เขารีบดึงแขนตนเองออกจากมือน้องสาว แล้วหันหน้าไปถามว่า “เจ้าเป็นอะไรของเจ้า?”

เขาพบว่าสายตาของหลิงเฉินบัดนี้กำลังจ้องมองไปยังเด็กสาวที่กำลังยืนอยู่เคียงข้างหลินเป่ยเฉิน

หรือถ้าจะให้พูดตามตรงก็คือ หลิงเฉินกำลังจ้องมองไปที่…หน้าอกของเด็กสาวคนนั้นต่างหาก

หลังจากนั้น นางก็ก้มมองหน้าอกของตนเอง

“ของใครใหญ่กว่ากันเจ้าคะ?” หลิงเฉินพลันถาม

เมื่อได้ยินคำถาม หลิงอู๋ก็ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี

“น้องเล็ก เจ้าคิดอะไรอยู่?”

“ผู้ชายต้องชอบคนที่หน้าอกใหญ่กว่าอยู่แล้ว ใช่ไหมเจ้าคะ?” หลิงเฉินถามออกมาอีกครั้ง

นางถามออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ตรงไปตรงมา เหมือนกำลังปรึกษาเรื่องวิชาวิทยายุทธ์ไม่มีผิด

หลิงอู๋พลันสำนึกเสียใจว่าไม่ควรปล่อยน้องสาวออกมาจากเรือนด้านหลังเลย

ตอนแรก เขานึกว่านางจะถามคำถามเรื่องการฝึกวิชาที่ซับซ้อนเสียอีก ไม่คิดเลยว่าน้องเล็กผู้งดงามดั่งเทพนิรมิตของเขา จะมีคำถามที่ชวนหน้าแดงอย่างนี้

“ที่แท้เขาก็ชอบสตรีแบบนี้นี่เอง”

รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนสีหน้าหลิงเฉินราวกับนางเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้

หลินเป่ยเฉินจะโปรยเสน่ห์ใส่เด็กสาวที่มีหน้าอกหน้าใจใหญ่โตเท่านั้น มิน่าเล่า เขาถึงได้ทำตัวเฉยชากับนางเสมอ ในที่สุด หลิงเฉินก็ได้รับคำตอบของคำถามที่คอยหลอกหลอนจิตใจมาหลายวันหลายคืนแล้ว

ดังนั้น นางจึงสอบถามต่อไปว่า “มีวิธีใดที่จะทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นได้บ้างไหมเจ้าคะ?”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามนี้ หลิงอู๋ นายกองแห่งหน่วยลาดตระเวนหลงเซียงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังน่าจับตามองคนหนึ่งของจักรวรรดิเป่ยไห่ ก็ถึงกับยืนอึ้งตะลึงงันเหมือนตัวโง่งม เขาตอบตะกุกตะกักว่า “น้องเล็ก เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ถนัดเรื่องแบบนี้…”

กาลเวลาผ่านไป

การประลองคู่ที่สามจบลง

ยังคงไม่มีใครสามารถเอาชนะเฉาพั่วเถียนได้สำเร็จ

หลังจัดการให้ซ้งเชวอี้ได้รับความปราชัย มือกระบี่ดาวรุ่งอัจฉริยะจากเมืองไป๋หยุน ก็ยกกระบี่ในมือขึ้นชี้หน้าหลินเป่ยเฉิน…ไม่ใช่สิ เขายกกระบี่ขึ้นชี้หน้าเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าแกะดำต่างหาก

“เจ้ากล้าออกมาสู้กับข้าหรือไม่?”

เด็กหนุ่มกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “หรือว่าสถานศึกษากระบี่ที่สามของเมืองหยุนเมิ่ง จะมีแต่คนขี้ขลาดตาขาวกันเสียหมด และเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น?”

ไป๋ชินหยุนพลันลุกพรวดขึ้นยืนในทันที

“สถานศึกษากระบี่ที่สามไม่ใช่ที่อยู่ของคนขี้ขลาดตาขาว!”

เด็กสาวร่างเล็กแต่หน้าอกใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงฉุนโกรธดั่งแม่เสือสาว นางถึงกับส่งเสียงคำรามในลำคอออกมาแล้วด้วยซ้ำ

เฉาพั่วเถียนแสยะยิ้ม จากนั้นจึงยกมือขึ้นกระดิกนิ้ว

เคล้ง!

ไป๋ชินหยุนยกดาบใหญ่กระโดดเข้าสู่สนามประลอง

หลินเป่ยเฉินจ้องมองเด็กสาวไม่พูดอะไร

เขาไม่ได้มีเจตนาจะหยุดยั้งนาง

การประลองกระบี่ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการประลองจริงจังนัก

ไม่ใช่การประลองที่เอากันถึงตาย

และมันจะเป็นผลดีต่อตัวเด็กสาวไร้เดียงสาคนนี้เองด้วยซ้ำ หากนางได้รู้รสชาติของความพ่ายแพ้เสียบ้าง