บทที่ 125 ทำไมต้องบังคับกันด้วย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 125 ทำไมต้องบังคับกันด้วย

ดาบใหญ่ในมือของไป๋ชินหยุนมีขนาดความยาวมากกว่าความสูงของตัวนางเองเสียอีก

ภาพที่ปรากฏออกมาจึงดูเหมือนว่าเด็กสาวกำลังเกาะอยู่บนตัวดาบ ไม่ใช่นางที่กำลังถือดาบอยู่ในมือ

วิชากระบี่ที่นางสามารถใช้ออกมาได้ ก็เป็นเพียงกระบวนท่าพื้นฐานเท่านั้น

โจมตีออกไป 1 ครั้ง ก็สามารถใช้ได้ 1 กระบวนท่า แต่ถ้ามีรากฐานพลังแข็งแกร่ง ก็ไม่นับเป็นเรื่องเสียหาย

ทว่า ระดับพลังของไป๋ชินหยุนอ่อนด้อยกว่าพวกเสว่เหยียน ซ้งเชวอี้ หรือเซี่ยหยุนหรงด้วยซ้ำ แล้วจะไปต่อสู้กับเฉาพั่วเถียน มือกระบี่ดาวรุ่งจากเมืองไป๋หยุนได้อย่างไร

ตอนแรก เฉาพั่วเถียนเพียงยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้อง ไม่ได้โจมตีกลับแต่อย่างใด

แต่แค่แรงสะท้อนของดาบในมือ ก็ทำให้ไป๋ชินหยุนแทบจะสู้ต่อไม่ไหวแล้ว

ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่เป็นคนมุทะลุดุดัน ไป๋ชินหยุนจึงกัดฟันสู้ต่อไปไม่กลัวเกรง เหมือนวันที่นางพยายามจนสามารถคว้าเทียบเชิญเข้าร่วมงานประลองได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้ เด็กสาวจึงรวบรวมพลังลมปราณโถมตัวเหวี่ยงดาบฟาดฟันใส่คู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง

แล้วกระบวนท่าวิชากระบี่พื้นฐาน ก็กลายเป็นกระบวนท่าวิชากระบี่ระดับ 1 ดาว

นี่คือวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ไป๋ชินหยุนเคยศึกษามา

เนื่องจากเด็กสาวคือหนึ่งในอัจฉริยะประจำสถาบัน ค่าพลังลมปราณของนางจึงอยู่ที่ระดับ 6 แล้ว และอาจารย์หัวหน้าชั้นปีที่ 1 พานเว่ยหมินก็ได้แอบสอนวิชากระบี่ระดับ 1 ดาวให้เด็กสาวได้เรียนรู้

มิเช่นนั้น ลูกศิษย์จากชั้นปีที่ 1 จะรู้จักเพลงกระบี่เหล่านี้ได้อย่างไร?

แต่ทว่าถึงแม้จะมีวิชากระบี่ระดับ 1 ดาว หากแต่มันก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลการต่อสู้ได้อยู่ดี

เมื่อเฉาพั่วเถียนระเบิดพลังลมปราณออกจากร่างกาย ท่าร่างของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป

เคล้ง!

คมกระบี่และคมดาบปะทะกัน

ประกายไฟสาดกระจาย

แรงกระแทกทำให้ไป๋ชินหยุนลอยกระเด็น

แต่ลอยถอยมาได้ 1 วาเศษ เฉาพั่วเถียนก็มาปรากฏกายขึ้นที่ด้านหลัง เช่นเดียวกับกระบี่ในมือของเขา

ไป๋ชินหยุนรีบหมุนตัวยกดาบขึ้นโจมตี

เคล้ง!

ร่างของเด็กสาวมีสภาพเป็นเหมือนลูกบอลที่ลอยกระเด็นกลับไปอีกครั้ง

เฉาพั่วเถียนมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมาก เพียงพริบตาเดียว เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังไป๋ชินหยุน เหมือนกำลังเล่นปิงปองโดยที่มีไป๋ชินหยุนเป็นลูกปิงปอง และใช้พลังลมปราณหวดแทนไม้ตี

เฉาพั่วเถียนสามารถเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียว

แต่เขาไม่ทำ เพราะอยากทำให้อีกฝ่ายขายหน้ามากกว่า

ไป๋ชินหยุนไม่มีโอกาสเปิดปากพูดหรือยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยซ้ำ

แต่ถึงนางจะมีโอกาส คนที่กินศักดิ์ศรีเป็นอาหารอย่างไป๋ชินหยุน ย่อมไม่มีทางเอ่ยปากยอมแพ้เด็ดขาด

นางกุมด้ามจับดาบแนบแน่น ยังคงเหวี่ยงดาบสะบัดตัวต่อสู้ต่อไป

บัดนี้ แขนที่ขาวผ่องของเด็กสาวมีเส้นเลือดปูดโปนกำลังเต้นตุบๆ แสดงให้เห็นว่าไป๋ชินหยุนทุ่มเทพละกำลังออกมาหมดตัวแล้ว

“ถ้าเจ้าไม่ออกมาสู้ วันนี้นางตายแน่”

เสียงของเฉาพั่วเถียนพลันดังขึ้นข้างหูหลินเป่ยเฉิน

เหมือนเสียงกระซิบ

หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง

นี่เป็นการถ่ายทอดคลื่นเสียงผ่านทางพลังจิต

เป็นวิธี ‘แอบบอกความลับ’ ในนิยายกำลังภายในที่เขาเคยอ่าน

มีเพียงหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงนี้

คนอื่นๆ จะเห็นเพียงเฉาพั่วเถียนทำปากขมุบขมิบ แต่ไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร

หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมามองที่การต่อสู้

เขาพบว่าเฉาพั่วเถียนกำลังจ้องมองมาแววตาดุร้าย เสมือนงูหางกระดิ่งกำลังจ้องมองเหยื่อก็ไม่ปาน

หลินเป่ยเฉินทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชินอีกครั้ง

นี่คงเป็นเหตุผลที่เฉาพั่วเถียนท้าสู้กับไป๋ชินหยุนสินะ

แต่เจ้าหัวทองนั่นจะกล้าฆ่าคนตายกลางงานประลองเชียวหรือ?

หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

เสียงของเฉาพั่วเถียนดังขึ้นอีกครั้ง

“เจ้ากำลังคิดว่ามีผู้อาวุโสอยู่มากมายขนาดนี้ ซ้ำอาจารย์หัวหน้าชั้นปีจากสถาบันเจ้าก็อยู่ด้วย ไป๋ชินหยุนไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายได้เด็ดขาด เจ้าจึงมั่นใจว่าข้าคงไม่กล้าฆ่านาง จริงไหม? แต่เจ้าลืมคิดไปหรือไม่ว่าถ้าจะต้องเลือกข้าง มือกระบี่ผู้อาวุโสเหล่านี้จะเลือกอยู่ข้างเมืองไป๋หยุน หรือยืนอยู่ข้างสถานศึกษากระบี่ที่สามของพวกเจ้ากันเล่า? ถึงต่อให้ข้าไม่กล้าสังหารนางจริงๆ แต่อย่างน้อย ข้าก็สามารถทำลายจุดก่อกำเนิดลมปราณ และทำให้นางมีสภาพกลายเป็นคนพิการได้แน่นอน”

เสียงกระซิบของเฉาพั่วเถียนที่ดังขึ้นข้างหู ไม่ต่างจากเสียงของปีศาจร้ายจากขุมนรกต่ำช้า

หลินเป่ยเฉินสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาหันไปมองบรรดามือกระบี่อาวุโสที่นั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆ โดยไม่รู้ตัว

ทุกคนมีสีหน้าเป็นปกติดี

แต่เมื่อเด็กหนุ่มมองไปที่ฉู่เหิน เขาก็พบว่าอาจารย์หัวหน้าชั้นปีที่ 2 มีสีหน้าไม่ปกติแล้ว บนหน้าผากปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพราว ราวกับว่ากำลังต่อสู้อยู่กับอะไรบางอย่าง

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันไปมองหน้าไป๋ไห่ชิน ซึ่งในขณะนี้กำลังจ้องมองติงซานฉือไม่วางตา

“ดูเหมือนอาจารย์ฉู่จะถูกใครสักคนควบคุมอยู่ เหมือนที่อาจารย์ติงโดนไป๋ไห่ชินควบคุมไม่มีผิด ตอนนี้ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือยัยเด็กไป๋ชินหยุนได้เลยสักคน ส่วนมือกระบี่อาวุโสคนอื่นๆ หรือแม้แต่ท่านผู้ว่าหลิง ก็มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงหากเกิดเหตุคับขันขึ้นจริงๆ…”

เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็มีอารมณ์ไม่สู้ดีนัก

แล้วในทันใดนั้นเอง…

“โอ๊ย!”

ไป๋ชินหยุนพลันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

ดาบใหญ่ลอยกระเด็นหลุดออกจากมือ

เฉาพั่วเถียนเสือกแทงกระบี่เข้าไปที่จุดก่อกำเนิดลมปราณของนาง

ไม่ได้การแล้ว

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ

พั่บพั่บพั่บ!

เสียงนกกระพือปีกพลันดังขึ้น

ที่แท้เป็นหลินเป่ยเฉินกำลังใช้วิชาตัวเบา ‘วิหคดั้นเมฆ’ ลอยตัวเข้าสู่สนามประลองราวนกน้อยในพงไพร กระบี่โดรานอยู่ในมือของเขาแทงออกไปด้วยวิชากระบี่สายน้ำไหล เพื่อปัดป้องการโจมตีของเฉาพั่วเถียนที่มีต่อเด็กสาวร่างเล็ก

เคล้ง!

สะเก็ดไฟสาดกระจายไปรอบทิศทาง

คลื่นพลังถาโถมเข้ามาทางด้ามกระบี่ มวลพลังงานหนาแน่นเหมือนจะถมทับหลินเป่ยเฉินให้ตกตายอยู่ตรงนั้น

เด็กหนุ่มใช้วิชา ‘วิหคดั้นเมฆ’ ลอยตัวล่าถอยออกมา แขนซ้ายสอดรัดเอวกิ่วของไป๋ชินหยุน นำพานางหลบออกมาจากรัศมีโจมตี เมื่อเขาทิ้งตัวกลับลงมาบนพื้นดินอีกครั้ง และกว่าที่จะยืนหยัดได้มั่นคงได้ ก็ต้องเซถอยหลังไปหลายก้าว

แต่ในสายตาของคนนอก กระบวนท่าเหล่านี้ถูกใช้ออกมาอย่างลื่นไหลสวยงามมีความชำนาญยิ่ง

เฉาพั่วเถียนไม่ได้บุกโจมตีเข้ามา

เขาลดปลายกระบี่ชี้พื้นพลางหัวเราะเยาะใส่หลินเป่ยเฉิน

ยื่นมือเข้าแทรกแซงการต่อสู้ของผู้อื่น เท่ากับละเมิดกฎการประลอง

นี่คือการยอมรับคำท้าสู้โดยปริยาย

เพราะฉะนั้น ขณะนี้หลินเป่ยเฉินจึงถูกนับว่าได้ก้าวเข้าสู่การประลองเต็มตัวแล้ว

“เจ้าไม่เป็นไรนะ?”

หลินเป่ยเฉินก้มหน้าถามเด็กสาวในอ้อมแขน

แรงกระแทกเมื่อสักครู่นี้ ทำให้ไป๋ชินหยุนสติมึนงง แทบจะมองเห็นทุกอย่างเป็นภาพทับซ้อนกัน เมื่อรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉิน เด็กสาวก็ตกตะลึงจนเกือบลืมหายใจ “ข้าไม่เป็นไร ขะ…” ยิ่งเห็นหน้าของหลินเป่ยเฉินในระยะประชิด หัวใจของนางก็ยิ่งเต้นรัวเร็วอย่างควบคุมไม่ได้

“ไม่เป็นไรก็ลงไปได้แล้ว” เมื่อได้ยินคำตอบ หลินเป่ยเฉินก็ชักสีหน้าด้วยความรำคาญใจ เขาเหวี่ยงเด็กสาวออกจากอ้อมแขน แล้วกล่าวว่า “เจ้าเด็กโง่ รู้ทั้งรู้ว่าสู้ไม่ได้ ยังจะไปสู้กับเขาอีก เจ้าจะทำไปเพื่อ?”

“เจ้า…”

ไป๋ชินหยุนล้มลงก้นกระแทกพื้นจนรู้สึกเจ็บปวดทั่วบั้นท้าย

ความหลงใหลที่นางมีต่อเขาเมื่อสักครู่นี้พลันสลายหายวับไปกับตา

นางอยากจะลุกขึ้นกระโดดเขกกะโหลกหลินเป่ยเฉินนัก

“โฮะโฮะ หลินเป่ยเฉิน เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”

เฉาพั่วเถียนมีสีหน้าชั่วร้ายในขณะที่สืบเท้าเดินเข้ามาใกล้ “เจ้าขัดขวางการประลองของผู้อื่น เท่ากับยอมรับคำท้าสู้จากข้าโดยปริยาย ว่ากันตามกฎกติกาของพวกเรา เจ้าไม่สามารถหลีกหนีการประลองได้อีกแล้ว”

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าอึดอัดขัดใจ

เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าหลงกลอีกฝ่ายเข้าเต็มเปา

เมื่อสักครู่นี้ เขาลงมือโดยไม่ยั้งคิด จึงทำให้มีปัญหาตามติดมาแล้ว

อันที่จริง หากหลินเป่ยเฉินไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไป๋ชินหยุนก็ไม่มีทางได้รับอันตรายอยู่แล้ว ต่อให้ฉู่เหินกับติงซานฉือไม่กล้าแทรกแซง แต่ผู้ควบคุมงานเลี้ยงและเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจวนผู้ว่าอย่างหลีลั่วหรัน ย่อมไม่มีทางนั่งดูอยู่เฉยๆ เด็ดขาด

แม่งเอ๊ย ทำไมเมื่อกี้คิดไม่ได้วะ!

“สุดท้าย ข้าก็โดนหมาป่าเจ้าเล่ห์หลอกให้หลงกลจนได้สินะ”

“ทำไมล่ะ? หรือว่าเจ้าคิดปฏิเสธการประลองอีก?” เฉาพั่วเถียนแสยะยิ้ม “หากเจ้าปฏิเสธ ก็เท่ากับทำผิดกฎงานประลอง นอกจากผลการแข่งขันสองบททดสอบที่ผ่านมาจะถือเป็นโมฆะแล้ว ของรางวัลทุกอย่างที่เจ้าได้รับไป ไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบี่ มีดหรือแหวนเก็บของ ก็จะต้องถูกริบคืนด้วยเช่นกัน”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นอีกครั้ง

“ดูเหมือนข้าคงไม่มีทางเลือกแล้วสิ” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มออกมา

เฉาพั่วเถียนระเบิดเสียงหัวเราะเหยียดหยาม

หลินเป่ยเฉินทำท่าถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ พูดว่า “คืนนี้ข้าตั้งใจจะอยู่เงียบๆ ไม่แสดงฝีมือแท้ๆ เพราะถ้าข้าแสดงถึงมือออกมาเมื่อไหร่ พวกเจ้าทุกคนก็จะกลายเป็นเพียงไม้ประดับของงานประลองไปทันที…ทำไมต้องบังคับกันด้วยนะ?”