ตอนที่ 433 ช่วยเจ้าระบายอารมณ์ + ตอนที่ 434 วิญญาณต้นหนี อสูรกลืนเมฆาปรากฏ

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 433 ช่วยเจ้าระบายอารมณ์

เห็นเพียงว่าหลังจากได้ยินคำพูดของคุณหนูใหญ่เฟิ่ง ชายหนุ่มชุดคลุมดำที่ทั่วร่างมีไอสังหารเย็นเยียบกระจายอยู่ก็ยกริมฝีปาก เผยรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี เมื่อแววตาลึกล้ำนั้นละจากร่างคุณหนูใหญ่เฟิ่ง ไอสังหารและประกายหนาวเย็นในดวงตาดำคู่นั้นทำให้ทุกคนใจสั่นกลัว

“รังแกเจ้า? ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยเจ้าระบายอารมณ์”

ชายผู้มีไอสังหารกระจายทั่วร่างใช้น้ำเสียงเอาใจเอ่ยประโยคสบายๆ เช่นนี้ เวลาต่อมาก็เห็นร่างเขาพุ่งออกไปราวกับภูตผี การเคลื่อนไหวที่ว่องไวนั้นก่อกระแสลมรุนแรงม้วนขึ้นข้างกายเขา

เดิมทีตัวประหลาดเฒ่าระดับกำเนิดวิญญาณเตรียมตั้งรับไว้ เขารู้สึกถึงการคุกคามอย่างรุนแรงจากคนผู้นี้ โดยเฉพาะเมื่อดวงตาคู่นั้นจ้องมองมา จิตสังหารหนาวเยือกในดวงตาทำให้เขาหวาดหวั่น แม้ว่าศัตรูดูแล้วอายุยังไม่มาก แต่ในโลกของการฝึกเซียน วรยุทธ์ยิ่งสูงก็ยิ่งสามารถรักษาเสียงพูดและรูปโฉมไว้ในช่วงขั้นสูงสุดได้ เขาไม่กล้าประมาท ด้วยเกรงว่าคนคนนี้จะเป็นตัวประหลาดเฒ่าที่ฝึกบำเพ็ญมาสองสามร้อยปี

ยามนี้เห็นฝ่ายตรงข้ามเข้ามาพร้อมร่างที่มีกลิ่นอายหนาวเหน็บ ชายชราคิดจะหลบและทิ้งระยะห่างตามสัญชาตญาณ ทว่าความเร็วของศัตรูสูงเกินไป จึงมาถึงตรงหน้าเขาแทบในชั่วอึดใจ แรงกดดันมหาศาลปกคลุมลงมา ราวกับมีไท่ซานทับเหนือศีรษะ ทำให้ร่างกายเขาแข็งทื่อขยับไม่ได้ทันที

ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง จ้องมองชายชุดคลุมดำตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก กำลังจะส่งเสียงร้องขอความเมตตาก็ถูกดึงกรามลงมาดังกร๊อบ ขณะที่ความเจ็บปวดรุนแรงถาโถมมา ไม่รอให้เขาตั้งสติเคลื่อนไหวอะไร ก็รู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างถูกเขาบดขยี้ เสียงกระดูกทุกส่วนแตกหักดังขึ้น

“อ๊าก…”

เพราะกรามถูกดึงลงมา เขาจึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องเจ็บปวดรุนแรงแค่แผ่วเบา ความเจ็บปวดยามกระดูกแตกหักทะลุผิวหนังแล่นเข้าจิตใจลามไปถึงทั่วร่าง ทุกการบดขยี้ทำให้เขาเจ็บทรมาน การแตกหักของกระดูกทุกชิ้นก็ทำให้เขาลิ้มรสความทุกข์ทนเหลือแสน

ชัดเจนว่าชายคนนี้สังหารเขาได้ในเสี้ยวพริบตา แต่กลับต้องการให้เขาทรมานจนถึงที่สุด และลิ้มรสความทุกข์ทนจนตาย!

ช่วงเวลานี้ เขารู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่ไม่เคยพบพานมาก่อน!

กลิ่นอายทรงพลังจากชายชุดคลุมดำห่อหุ้มเขาไว้ เมื่อมาถึงร่างเขากลับกลายเป็นไอแห่งความตายที่น่าสะพรึง เขาในเวลานี้เข้าใจชัดเจนเกินจะเปรียบ หากไม่หนีไปเขาต้องตายอยู่ที่นี่! วรยุทธ์หลายร้อยปีจะกลายเป็นเถ้าธุลีไปพร้อมกับความตายของเขา! และเขาจะหายไปจากโลกใบนี้!

หนี!

หนีไป!

เขาต้องหนีเอาชีวิตรอด! หนีไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น!

ความหวาดกลัวและเสียขวัญในใจทำให้เขาสละร่างวิญญาณต้นโดยไม่คิดสักนิด วิญญาณต้นคือร่างวิญญาณที่ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณฝึกบำเพ็ญได้มา เป็นยันต์คุ้มกายที่สามารถช่วยชีวิตยามคับขัน และเป็นที่อยู่ของแก่นแท้ของผู้ฝึกตนระดับนี้ แม้ไม่มีร่างกาย ขอเพียงวิญญาณต้นยังอยู่ ก็จะแปลงเป็นร่างมนุษย์ได้อีกครั้ง

แต่การสละวิญญาณต้นนั้นเป็นทางเลือกไปสู้ทางตัน เพราะวิญญาณต้นที่สละไปจะไม่มีกำลังต่อสู้ ถึงกับอ่อนแอเสียจนใครๆ ก็สังหารได้ หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณจะไม่สละวิญญาณต้นเพื่อเอาชีวิตรอด

ผู้คนรอบๆ ต่างตกใจกับภาพนั้น พวกเขาเพียงเห็นผู้ฝึกตนคนนั้นแน่นิ่งไปในกำมือชายชุดคลุมดำโดยไร้ซึ่งแรงขัดขืน…

เสียงกระดูกแตกหักนั้น พวกเขาฟังเสียจนขนลุกขนพอง คิดแต่ว่าน่ากลัวเกินไปแล้ว เห็นชัดว่าไม่มีการต่อสู้รุนแรง ไม่มีภาพเลือดกระเซ็นไปทั่ว แต่ภาพเช่นนี้กลับสะเทือนจิตใจทุกคนอย่างสุดซึ้ง…

และในเวลานี้เอง ฝูงชนตกตะลึงเมื่อเห็นบางสิ่งที่มีพลังวิญญาณห่อหุ้มไว้ลอยออกมาจากจุดตันเถียนของตัวประหลาดเฒ่าระดับกำเนิดวิญญาณผู้นั้น…

………………………………………………….

ตอนที่ 434 วิญญาณต้นหนี อสูรกลืนเมฆาปรากฏ

สิ่งนั้นเหมือนจะตกใจกลัวอะไร จึงลอยออกมาด้วยความตื่นตระหนก เมื่อมันยืดขยายและหันหน้ามา ทุกคนต่างสะดุ้งตกใจ!

เพราะใบหน้านั้นคล้ายคลึงกับตัวประหลาดเฒ่าระดับกำเนิดวิญญาณอยู่บางส่วน เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างคือใบหน้าตัวประหลาดเฒ่าจะแก่ชราเต็มไปด้วยริ้วรอยอย่างชัดเจน ทว่าสิ่งที่กำลังขยายร่างเหมือนทารกแรกเกิด เป็นตัวประหลาดเฒ่าแบบย่อส่วนซึ่งมีมือมีเท้าครบ แค่ร่างกายใหญ่กว่ากำปั้นเล็กน้อย ร่างเปลือยเปล่ามีพลังวิญญาณคอยปกป้อง ยามนี้กำลังใช้ทั้งมือและเท้ากระโจนไปด้านหน้า คิดจะหนีไป

“นั่นมันวิญญาณต้น!”

มีคนอุทานขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นของแบบนี้ ถึงอย่างไรในแคว้นเล็กระดับเก้าก็พบผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังได้น้อยนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับกำเนิดวิญญาณเลย เคยได้ยินว่าตรงจุดตันเถียนของผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณจะควบแน่นวิญญาณกลายเป็นทารก ไม่นึกว่าพวกเขาจะมีวันได้เห็นเช่นกัน

ระหว่างที่วิญญาณต้นลอยออกมา ร่างตัวประหลาดเฒ่าก็สิ้นลมหายใจล้มลงตาม ภาพเช่นนี้ทำให้เนี่ยเถิงข้างๆ หน้าขาวซีด สองตาจับจ้องชายชุดคลุมดำแน่นิ่ง ทว่าไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายได้

ความแข็งแกร่งและอ่อนแอของพลังกลายเป็นสัดส่วนความแตกต่างที่มากมาย ต่อหน้าชายชุดคลุมดำผู้นี้ เขาถึงกับไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงมือ แค่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยแรงกดดันบนร่างยังทำให้เนี่ยเถิงตะลึงงันได้

ในเมื่อเขาเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น หลังจากผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังที่เดิมทียังฝืนยืนหยัดเห็นภาพเช่นนั้น แต่ละคนพลันถอยหลังอย่างหวาดกลัว ทว่ายังพะวงเนี่ยเถิงที่ยังอยู่ตรงนั้นไม่หนีไป มิเช่นนั้นพวกเขาคงหนีเอาชีวิตรอดไปนานแล้ว

เจ้าตำหนักยมราชชำเลืองมองวิญญาณต้นที่ลอยหนีไปอย่างตื่นตระหนก สะบัดแขนเสื้อ แค่นเสียงเย็น ขณะกำลังลงมือปล่อยกระแสลมเข้าโจมตีสังหารวิญญาณต้น ก็เห็นร่างสีขาวดั่งหิมะร้องคำรามและพุ่งทะยานออกไปทันที ก่อนจะกลืนกินวิญญาณต้นดวงนั้นลงท้องท่ามกลางเสียงกรีดร้องเสียขวัญของวิญญาณต้นนั้น

ทุกคนมองภาพนั้นด้วยความตะลึง เดิมนึกว่าวิญญาณต้นดวงนั้นจะหนีไปได้หรือถูกชายชุดดำสังหาร แต่…ใครจะนึกว่ามันกลับโดนสัตว์ตัวน้อยร่างขาวราวหิมะกลมดั่งลูกหนังกลืนลงไปเสียแล้ว?

อาจเพราะภาพนี้น่าเหลือเชื่อเกินไป แต่ละคนจึงเบิกตากว้าง ผ่านไปนานก็ไม่อาจตั้งสติกลับมาได้ จนกระทั่งเห็นสัตว์ตัวน้อยซึ่งกระโจนเข้าไปกลืนวิญญาณต้นกลางอากาศร่อนลงพื้นอย่างมั่นคงแล้วจึงเรอออกมา สะบัดร่างกาย จากนั้นขยายร่างใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

หนึ่งเท่า…สองเท่า…สามเท่า…

สัตว์ตัวน้อยที่เดิมตัวเท่าลูกหนัง เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจก็กลายเป็นสัตว์ร้ายที่ตัวใหญ่กว่าสิงโต ขนสีขาวราวหิมะยามนี้ยาวลู่ลงข้างลำตัว ทั้งยังปุกปุยอยู่บ้าง ทำให้ร่างกายมันดูแล้วยิ่งใหญ่โตกว่าเดิม ลวดลายสัตว์ร้ายแวววาวบริเวณหน้าผากกลับเด่นชัดอย่างยิ่ง…

“กรร!”

อสูรกลืนเมฆายืดตัวบิดขี้เกียจ คำรามเสียงเบาคราหนึ่ง รู้สึกกินอิ่มเต็มที่ มันแลบลิ้นเลียมุมปาก ซ้ำยังยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งขึ้นเช็ดอย่างสง่างาม ดวงตาคู่ดุร้ายชายตามองผู้คนโดยรอบ เมื่อหยุดลงบนร่างเจ้าตำหนักยมราชก็มีอาการหลบหลีกและหวาดกลัวเล็กน้อย มันร้องเบาๆ สะบัดหาง เงยหน้าขึ้นเดินกลับไปด้านหลังเฟิ่งจิ่วอย่างเชื่องช้า แล้วนอนลงบนพื้นด้วยความเกียจคร้าน

พอมันนอนลงไป ตรงหน้าผากก็มีลำแสงหนึ่งแวบผ่าน ร่างใหญ่โตพลันย่อส่วนลงด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า กลายเป็นสัตว์ตัวน้อยสีขาวน่ารักน่าชัง มองรูปร่างใหญ่โตที่ดุร้ายน่าสะพรึงเช่นก่อนหน้านี้ไม่ออกโดยสิ้นเชิง