ณ วังนภาเพลิง จักรพรรดินภาเพลิงเบิกตาขึ้น
“มีแขกมา เตรียมสุราไว้ให้พร้อม แขกคนสำคัญกำลังจะมา” องค์จักรพรรดิสั่ง
จักรพรรดิรินสุราจนเต็ม 3 แก้ว แล้วเงาสองร่างก็ปรากฏขึ้น เป็นชายวัยกลางคนสองคน ซึ่งก็คือหลงเฟยหยางกับเอ๋าเฟิง
“ไม่ได้รับเชิญแต่มารบกวน พี่เหยียนได้โปรดอย่าถือสา” หลงเฟยหยางประสานมือเข้าหากันแล้วพูดขึ้น
“จะพูดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน พี่หลงกับพี่เอ๋ามาที่วังนภาเพลิงของข้า ข้าต้องรู้สึกเป็นเกียรติมากกว่า” องค์จักรพรรดิพูดพลางส่ายหน้า
“หากเป็นเช่นนั้น ขอบพระทัยด้วย” หลงเหวินหยางก็ไม่อ้อมค้อม ทรุดตัวนั่งลง เอ๋าเฟยยิ่งแล้วใหญ่ถึงกับเริ่มดื่มสุราแล้ว
“พี่เหยียน ข้าขอพูดตรงๆเลยก็แล้วกัน หลิวหลีที่อยู่ในตำหนักเวิ่นเทียนแห่งวังนภาเพลิง น่าจะเป็นลูกหลานสกุลหลงของข้า” หลงเฟยหยางพูดเข้าเรื่องทันที
“เรื่องนี้คงต้องตรวจสอบดูก่อน” คงไม่ใช่ว่าแค่เจ้าพูด แล้วผู้ถูกเลือกของวังนภาเพลิงจะกลายเป็นลูกหลานสกุลหลงไป
“คงไม่ผิดแน่ พี่เหยียนท่านเรียกนางมาก็จะรู้เอง” หลงเฟยหยางรู้สึกว่าอสูรเทพไม่มีทางหลอกเขาแน่ น่าเสียดายที่คนสกุลหลงในโลกเบื้องล่างไร้ความสามารถ 500 ปีมาแล้วก็ยังไม่มีคนบรรลุเป็นเซียน ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
“ก็ดีเหมือนกัน” จักรพรรดิกวาดแสงศักดิ์สิทธิ์ออกไป หลิวหลีที่กำลังเข้าฌานดูดซึมเพลิงเซียนอยู่ก็ลืมตาขึ้น จักรพรรดิทรงเรียกให้นางเข้าพบ เมื่อหลิวหลีรับพลังเซียนเข้าร่าง เส้นชีพจรของเพลิงอัคคีที่มีปฏิกิริยาเส้นที่ 3 คือเพลิงดาราทมิฬ น่าเสียดายที่มีปฏิกิริยาแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“นายท่าน ท่านออกฌานแล้ว” อวิ๋นเฟยประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมครั้งนี้นางออกจากฌาณเร็วนัก
“จักรพรรดิทรงเรียกให้เข้าเฝ้า ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ”หลิวหลีก็สงสัยเช่นเดียวกัน ทรงรู้เรื่องของอีมู่แล้ว อีกอย่างการแข่งขันจัดอันดับระหว่างตำหนักก็เหลือเวลาอีกพันปี ตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรทำไมถึงทรงเรียกหา
“ขอรับ นายท่าน”อวิ๋นเฟยก็สงสัยเช่นกัน จักรพรรดิเรียกพบเจ้าตำหนักจะมีเรื่องอะไรได้
“องค์จักรพรรดิ” หลิวหลีทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องมากพิธี หลิวหลี เจ้ามาอยู่ที่วังนภาเพลิงได้ 500 ปีแล้วเริ่มคุ้นเคยหรือไม่” จักรพรรดิถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“เพคะ” หลิวหลีบอกว่านางค่อนข้างพอใจทุกอย่างในวังนภาเพลิง โดยเฉพาะการได้เจออาจารย์ จะยิ่งทำให้ตนเองมีความสุขมากขึ้น
หลงเฟยหยางกับเอ๋าเฟิงที่พรางตัวอยู่ข้างๆ มองที่หลิวหลีอย่างตื่นเต้นน้อยๆ คนผู้นี้ก็คือสายเลือดสกุลหลง เป็นเด็กมากความสามารถที่เหล่าอสูรเทพตัวน้อยสรรเสริญ แต่อายุยังน้อยกลับมีพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงเซียนสุขาวดี ไม่เลวเลยจริงๆ ไม่สิ นางถือเป็นลูกหลานที่โดดเด่นมากเลยทีเดียว
“ข้าไม่เคยถามมาก่อนเลย เจ้ามีญาติอยู่โลกเบื้องล่างหรือไม่?” จักรพรรดิถามต่อ
“ญาติก็มีเยอะนะเพคะ ท่านพ่อท่านแม่ของข้า สายสกุลของท่านแม่ข้าอีก เพื่อนข้า ก็นับว่าเยอะเอาการ” หลิวหลีลองนับๆดู ก็พบว่าตัวเองมีสายสัมพันธ์กับคนไม่น้อย
“ตอนอยู่โลกเบื้องล่าง เจ้าเป็นศิษย์ของสกุลใหญ่หรือไม่?” ถึงจะเริ่มมั่นใจแต่ก็ยังอยากจะลองถามต่อ
“ก็คงถือว่าใช่เพคะ” หลิวหลีครุ่นคิด นางไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย นางถือว่าเป็นศิษย์ของสกุลใหญ่หรือไม่นะ
“อะไรเรียกว่าคงถือว่าใช่” จักรพรรดิไม่ใจกับคำตอบนี้นัก ทำไมถึงได้ฟังดูกำกวมนัก
“องค์จักรพรรดิ ข้าโตแล้วจึงได้รู้ทีหลังว่าท่านพ่อท่านแม่เป็นใคร หากไม่ใช่เพื่อท่านแม่ของข้า แล้ว ข้าคงไม่กลับไปที่นั่น แล้วหลังจากที่เริ่มบำเพ็ญเพียรข้าก็ไม่ค่อยอยู่ที่นั่น” หลิวหลีเองก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน
“เจ้าชื่อหลิวหลี แล้วมีแซ่หรือไม่?” จักรพรรดิทรงเปลี่ยนคำถามที่ใช้ถามนาง
“มีเพคะ ข้าชอบแซ่ตนเองที่สุด ข้าแซ่หลง หลงหลิวหลี” หลิวหลีแสดงตัวว่าการที่มีเชื้อสายมังกรเป็นเรื่องที่นางภาคภูมิใจ
“หลง เช่นนั้นแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าแซ่หลงนี้ ในโลกเซียนแสดงถึงอะไร?” จักรพรรดิถอนหายใจ
“ไม่ทราบเพคะ” หลิวหลีตอบตามความจริง จากนั้นก็เหมือนจะคิดอะไรออก
“ข้ามีญาติอยู่ที่โลกเซียนหรือ” อยู่ๆก็เหมือนหลิวหลีจะเข้าใจอะไรขึ้นมาลางๆ หากว่าทั้งห้าสกุลมีถิ่นฐานในโลกเซียนล่ะก็ แปลว่านางกับเสี่ยวเทียนคงจะได้เจอกันเร็วขึ้น
“จะพูดเช่นนั้นก็ได้ ข้าจะถามคำถามสุดท้าย ตอนเจ้าอยู่โลกเบื้องล่าง เจ้าเคยทำพันธสัญญากับอสูรเทพหรือไม่” จักรพรรดิเริ่มมั่นใจประมาณ 80 ส่วน
“เคยเพคะ ข้าเพิ่งจะยกเลิกพันธสัญญากับพวกเขาตอนบรรลุเป็นเซียน คู่พันธสัญญาของข้าไม่ธรรมดา ตอนนั้นข้าทำพันธสัญญากับมังกรโลหิตบรรพกาลกับราชากิเลนม่วง ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ที่ดินแดนอสูรเทพ” เฮ้อ ไม่รู้ว่าอาเลี่ยกับจื่อฉีจะเป็นอย่างไรบ้าง
“ทำพันธสัญญาคู่หรือ?” องค์จักรพรรดิเหล่ตามอง นังหนูคนนี้ไม่ธรรมดา ไม่เคยมีใครทำพันธสัญญากับอสูรเทพ 2 ตัวมาก่อนในประวัติศาสตร์
“ใช่เพคะ ข้าทำพันธสัญญากับมังกรโลหิตก่อน จากนั้นก็ทำพันธสัญญากับกิเลนม่วง ว่าไปแล้วตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกคิดถึงพวกเขาขึ้นมา” เฮ้อ นางช่างโดดเดี่ยวนัก โชคดีที่ตอนนี้เจออาจารย์แล้ว
“เจ้าอยากไปที่ดินแดนอสูรเทพหรือไม่ล่ะ?” เอาเถอะเกรงว่าคงจะรั้งนังหนูคนนี้เอาไว้ไม่ได้แล้ว
“แน่นอนว่าย่อมอยากไปอยู่แล้ว แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้” นางคิดถึงสหายของตัวเองจริงๆ แต่ว่าตอนนี้นางยังอ่อนแอเกินไป ยังไปไม่ได้
“หืม? เจ้าวางแผนว่าจะไปดินแดนอสูรเทพหรือ” จักรพรรดิทรงเริ่มสนพระทัย
“เพคะ สหายที่บรรลุเซียนมาพร้อมกันนั้นเป็นคู่พันธสัญญาของข้ามาหลายร้อยปี แน่นอนว่าต้องมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา” เมื่อหลิวหลีหวนระลึกถึงสหายของตนก็ชวนให้คิดถึงพวกเขาเหลือเกิน คนหนึ่งเปรียบเสมือนบิดา อีกคนหนึ่งเป็นพี่น้องที่ตนเลี้ยงดู และคนที่นางคิดถึงที่สุดก็คือสามีของนาง พอนึกถึงสามี นางก็เริ่มรู้สึกเศร้า เมื่อไหร่นางจะได้เจอเขาสักที
ในขณะเดียวกัน ที่วังนภาธารา ค่อนข้างจะตรงไปตรงมากว่ามาก หนานกงเฉินกับเฟิ่งซานได้เจอหนานกงเวิ่นเทียนทันที หนานกงเฉินตื่นเต้นน้อยๆ เด็กหนุ่มท่าทางเยือกเย็นผู้นี้คือลูกหลานสกุลหนานกง ช่างโดดเด่นมากจริงๆ
“เจ้าชื่อเวิ่นเทียน หนานกงเวิ่นเทียนใช่หรือไม่?” หนานกงเฉินกล่าวถาม
“ใช่ขอรับ” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้ารับ เพียงแต่ว่าคนผู้นี้คือใคร ทำไมรู้ชื่อของเขาได้
“เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุเซียนมาจากสกุลหนานกงในโลกเบื้องล่างใช่หรือไม่” หนานกงเฉินเริ่มมั่นใจประมาณ 80 ส่วน
“ขอรับ” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า
“เด็กดี ข้าเป็นบรรพบุรุษของเจ้า” หนานกงเฉินตื่นเต้นน้อย ๆ
“มีบรรพชนสกุลหลงหรือไม่?” หนานกงเวิ่นเทียนถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา
“บรรพชนสกุลหลง?” หนานกงเฉินประหลาดใจกับคำถาม เขาควรจะเข้ามากอดทักทายบรรพชนของตัวเองก่อนไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาถามถึงเรื่องบรรพชนสกุลหลงได้
“ขอรับ บรรพชนสกุลหลง พวกเขารู้หรือไม่ว่ามีลูกหลานสกุลหลงบรรลุเป็นเซียนเช่นกัน” หนานกงเวิ่นเทียนคิดถึงนังหนูของเขา คิดถึงนางเหลือเกิน
“ข้าคิดว่า คนของสกุลหลงน่าจะไปตามหานังหนูคนนั้นแล้ว” อยู่ๆหนานกงเฉินก็รู้สึกว่านังหนูสกุลหลงที่ยังไม่เคยเจอหน้าผู้นั้นเป็นนางจิ้งจอก คิดไม่ถึงว่าขนาดบรรพบุรุษของตนเองยังไม่สนใจจะไถ่ถามก็ร้องหาฮูหยินของตนเอง น่าปวดใจไหมล่ะ
“ดูแล้ว วังนภาธาราของข้าก็คงไม่รั้งเวิ่นเทียนไว้ไม่ได้ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นลูกหลานของห้าสกุลใหญ่อย่างสกุลหนานกง ชื่อของตำหนักคงจะเป็นชื่อฮูหยินของเจ้าล่ะสิ หลิวหลี เป็นชื่อที่ดีจริงๆ”จักรพรรดินีเสียดายน้อยๆ
“จักรพรรดินี ข้าจะกลับมาแน่” เพียงแต่เขาอยากจะเจอนังหนูของเขาเสียก่อน
ณ วังนภาเพลิง หลงเฟยหยางกับเอ๋าเฟิงก็ปรากฏกายออกมา
“นังหนู ข้าเป็นบรรพบุรุษของเจ้า และนี่คือปรมาจารย์เผ่ามังกรเอ๋าเฟิง” หลงเฟยหยางมองหลิวหลีด้วยความตื้นตันใจ
“อ่อ” หลิวหลีไม่ได้รู้สึกอะไร บรรรพชน ใครจะไปรู้ว่าห่างกันตั้งกี่รุ่น ก็ไม่ใกล้ชิดอะไรกัน
หลงเฟยหยางรู้สึกปวดใจน้อยๆ ทำไมทายาทผู้นี้ถึงได้เย็นชาเช่นนี้ ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนนภาเพลิงหรือ เขามาผิดที่หรือเปล่านะ หรือว่าจริงๆแล้วที่นี่คือดินแดนนภาธารา ไม่สิ เป็นดินแดนนภาเหมันต์ที่ยังไม่ถูกค้นพบ
“เจ้าก็คือหลิวหลี นังหนูที่เอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีพูดถึงหรือนี่”เอ๋าเฟิงชอบนังหนูคนนี้มากนักอย่างไร้สาเหตุเห็นเพียงแวบแรกก็ชอบนางแล้ว
“เจ้าค่ะ ผู้อาวุโสเอ๋าเฟิ่ง คารวะผู้อาวุโส” หลิวหลีชื่นชอบเผ่ามังกร จึงเป็นมิตรกับเอ๋าเฟิงมากเป็นพิเศษ ทำให้จักรพรรดินภาเพลิงรู้สึกว่า นังหนูน่าจะเป็นลูกหลานของเผ่ามังกร ไม่ใช่ลูกหลานสกุลหลง ดูท่าทางของหลงเฟยหยางสิ โถ่ เหมือนแม่สาวขี้ใจน้อยจริงๆ
“นังหนู เจ้าไม่เลวเลยจริงๆ!”
“ผู้อาวุโส อาเลี่ยกับจื่อฉีสบายดีหรือไม่ พี่อิงเสวี่ยล่ะ?” หลิวหลีเป็นห่วงสหายของตนอย่างยิ่ง โดยละเลยหลงเฟยหยางอย่างสิ้นเชิง
“เด็กสามคนนั้นสบายดี หากไม่ใช่เพราะพวกเขาทั้งสามคน พวกข้าก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสกุลหลงกับสกุลหนานกงมีทายาทที่มากความสามารถเช่นนี้บรรลุเป็นเซียน” เอ๋าเฟิงกล่าว เป็นอัจฉริยะที่อายุยังไม่ถึงพันปี
“พวกเขาสบายดีก็ดีแล้ว”ในที่สุดใบหน้าของหลิวหลีก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา
จักรพรรดิที่มองอยู่ก็ประหลาดใจ ดูอบอุ่นมากจริงๆ รอยยิ้มของนังหนูช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก
“นังหนู นับว่าเจ้ามีความมุ่งมั่นนัก” อยู่ๆหลงเฟยหยางก็พูดแทรกขึ้นมา
“หา?” หลิวหลีทำหน้ามึนงง รู้ได้อย่างไรว่านางเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น นางยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
“ได้ยินมาว่าเจ้าตั้งชื่อตำหนักว่า ตำหนักเวิ่นเทียน เวิ่นเทียน (อำนาจสวรรค์) พวกข้ายังไม่มีความมุ่งมั่นถึงเพียงนั้นเลย” หลงเฟยหยางพูดต่อ
หลิวหลีมองไปหลงเฟยหยางด้วยใบหน้าพิกล มองจนเขาไม่รู้จะพูดอะไร มีอะไรผิดไปหรือนี่
“ปรมาจารย์สกุลหลง ใครบอกท่านหรือว่าชื่อตำหนักข้ามีความหมายเช่นนั้นหรือ?” ตัวนางเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีความหมายแบบนั้นด้วย
“ไม่ใช่หรือ?” หลงเฟยหยางสับสน
“ท่านปรมาจารย์สกุลหลง ข้าใช้ชื่อสามีของข้ามาตั้งชื่อตำหนักของข้า สามีข้าชื่อหนานกงเวิ่นเทียน เป็นคนสกุลหนานกงที่โลกเบื้องล่าง” คำอธิบายของหลิวหลี ทำให้หลงเฟยหยางแทบอยากจะมุดกำแพงหนี น่าขายหน้าจริงๆ จบกัน เสียหน้าต่อหน้าลูกหลานไปเต็ม ๆ