หลิวหลีค่อนข้างชื่นชอบบรรพชนท่านนี้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าห่างกันกี่รุ่น แต่ก็ชื่นชอบอีกฝ่าย บรรพชนท่านนี้ให้ความรู้สึกเหมือนท่านตาของนาง
“จักรพรรดิ ข้าขอตามบรรพชนของข้ากลับไปที่ดินแดนอสูรเทพสักครั้งได้หรือไม่” หลิวหลีถาม เพราะอย่างไรเสียหัวหน้าของนางก็ยังเป็นองค์จักรพรรดิ ต้องเชื่อฟังคำพูดของเขา
“อ่อ หลิวหลีหมายความว่าจะกลับตำหนักเวิ่นเทียนในวังนภาเพลิงอีกใช่หรือไม่?” จักรพรรดินึกว่านังหนูจะกลับไปที่ดินแดนอสูรเทพ ไม่กลับมาอีก แต่นึกไม่ถึงว่านังหนูคนนี้บอกว่าจะไปสักครั้ง หมายความว่านางจะกลับมาอีก
“เพคะ ข้าเป็นเจ้าตำหนักของตำหนักเวิ่นเทียน จะให้ทิ้งคนของตนเองไปได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาทุกคนล้วนอยู่ในการดูแลของข้า” หลิวหลีเห็นคนเหล่านี้เป็นสหาย จะให้นางทิ้งพวกเขาได้อย่างไร เรื่องเช่นนี้นางทำไม่ลงหรอก
“ได้ ไปเถอะ หลังจากนี้พันปี จะมีการจัดอันดับระหว่างตำหนัก อย่าลืมกลับมา ข้าจะบอกกับคนอื่นว่าเจ้าเข้าฌาน” องค์จักรพรรดิมีจิตใจเมตตา จึงอนุญาตหลิวหลีทันที
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท” หลิวหลีกล่าวขอบคุณ
หลงเฟยหยางที่อยู่ข้างๆก็รู้สึกไม่พอใจ
“เด็กน้อยหลิวหลี สกุลหลงในดินแดนอสูรเทพดีกว่าที่นี่มาก พวกเรามีทรัพยากรมากแต่คนน้อย”หลงเฟยหยางชิงพูดอย่างร้อนใจ
“ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ ข้าชอบหามาด้วยตัวเองมากกว่า” หลิวหลีปฏิเสธอย่างไม่ลังเล แต่คำว่าเด็กน้อยหลิวหลีนี่มันอะไรกัน เห็นนางยังเป็นเด็กอยู่หรือเนี่ย
“ดี ดี ดี” สมแล้วที่เป็นเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน ทั้งมีความมุ่งมั่น น่าเกรงขาม จักรพรรดิพอใจอย่างมาก ดินแดนอสูรเทพเป็นดั่งที่หลงเฟยหยางกล่าว จำนวนคนน้อยแต่มีทรัพยากรมาก ถึงแม้ดินแดนอสูรเทพ จะมีคนไม่มาก แต่ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน เพราะถึงจำนวนคนจะน้อยแต่พวกเขาก็มีพลังบำเพ็ญเพียรสูง 1 คนสู้กับคน 10 คนถือเป็นเรื่องธรรมดา นังหนูคนนี้ปฏิเสธข้อเสนอของหลงเฟยหยาง แล้วยังอยากจะกลับมา ต้องเป็นเพราะไม่อยากจะปล่อยคนในตำหนักเวิ่นเทีนย เด็กคนนี้จิตใจดีจริงๆ
“ตอนข้าบรรลุเป็นเซียนยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของโลกเซียน นึกว่าแค่จับมือเวิ่นเทียนไว้แน่นๆก็จะไม่แยกจากกัน ใครจะไปนึกว่าจะแยกดินแดนตามสายบำเพ็ญเพียรของตนเอง ข้าไม่รู้ว่ามันอย่างไรแน่ จู่ๆคนที่วังนภาเพลิงก็มารับข้า ให้ยศถาบรรดาศักดิ์ ให้อำนาจข้า ไมตรีนี้ของท่านข้าขอรับไว้ แถมยังให้ข้ามีไพร่พลของตนเอง ตอนนี้พวกเขาถือเป็นความรับผิดชอบของข้า เป็นหน้าที่ที่ข้าต้องดูแลพวกเขา” หลิวหลีนิ่งไปสักพัก หลงเฟยหยางก็ไม่เซ้าซี้ต่อ เอ๋าเฟิงกับจักรพรรดิมองหลิวหลีด้วยสายตาที่ชื่นชม เด็กผู้นี้ช่างมีน้ำใจจริงๆ เป็นเด็กดีเหลือเกิน
“อีกอย่าง ท่านบรรพชน สำหรับข้าแล้ว สกุลหลงคือบ้าน อย่างไรข้าก็ต้องกลับบ้าน แต่ข้าก็จำเป็นต้องไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตา ผ่านลมฝนเพื่อจะได้เติบโต” หลิวหลีพูดต่อและเมื่อนางพูดจบ ผู้ใหญ่ทั้งสามคนนิ่งไป นังหนูมองทุกอย่างได้ขาดจริงๆ
“หลิวหลี พูดได้ดี กลับบ้านไปดูสิ อย่าลืมกลับมาหาเรา” จักรพรรดิชื่นชม เด็กคนใช้ได้จริง ๆ
“ขอบพระทัยท่านจักรพรรดิที่ทรงเมตตา” หลิวหลีกล่าวขอบคุณจักรพรรดิ ใช้ป้ายบัญชาการส่งข่าวกลับไปให้คนที่ตำหนักเวิ่นเทียน บอกทุกคนว่านางจะเข้าฌาน และจะกลับมาก่อนการจัดอันดับของตำหนัก ส่วนเรื่องยาเซียนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ต้องเป็นกังวล และเพลิงเซียนส่วนของนางในช่วงหลายปีนี้ก็มอบให้กับเจียงหรูชวน อาจารย์ของนางทั้งหมด เชื่อว่าอีกไม่นาน อาจารย์จะต้องสามารถปรุงยาได้แน่ จัดแจงเสร็จหลิวหลีก็เก็บป้ายบัญชาการไป
“อาหยาง ไปกันเถอะ พี่เหยียน พวกข้าขอตัวก่อน” เอ๋าเฟิงกล่าว
“พี่เอ๋า พี่หลง แล้วพบกันใหม่” จักรพรรดิพยักหน้า
เอ๋าเฟิงเดินนำทางอยู่ข้างหน้า หลงเฟยหยางพยายามชวนคุยเพื่อผูกสัมพันธ์กับทายาทที่เพิ่งพบหน้า
“แม่หนูหลิวหลี ไม่ต้องเรียกข้าว่าบรรพชนได้ไหมล่ะ ชื่อของปู่เจ้าเป็นคำอะไร” หลงเฟยหยางไม่ค่อยชอบใจคำเรียกของหลิวหลีนัก
“เรียนบรรพชน ท่านตาข้าเป็นรุ่นอักษร เหวิน” น่าจะไม่ผิดแน่ ท่านตาหลายคนของนางก็ชื่อว่าหลงเหวินอะไรๆข้างหลัง
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นลูกของเหลนของเหลนสินะ แม่หนูหลิวหลี ที่นี่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับลำดับรุ่นมากนัก คนที่บรรลุเป็นเซียนได้เดิมก็มีไม่มาก เจ้าเรียกข้าว่าปู่ทวดก็พอ” หลงเฟยหยางคิดว่าในเมื่อนับขั้นไม่ถูก เรียกปู่ทวดก็แล้วกัน
“ท่านตาทวด” หลิวหลีเรียกไปตามน้ำ
“ทำไมถึงข้าว่าท่านตา เรียกปู่สิ” หลงเฟยหยางไม่ชอบคำว่า ตา ดูสนิทสนมกันเลย
“แต่ว่าท่านคือท่านตานี่นา ท่านแม่เป็นคนสกุลหลง ท่านพ่อเป็นคนสกุลจ้าน” หลิวหลีมองหลงเฟยหยาง ไม่เรียกท่านตาแล้วจะเรียกอะไร พ่อของแม่คือท่านตาไม่ใช่หรือ
“แต่เจ้าอยู่ในรายชื่อบ้านสกุลหลง แน่นอนว่าจะต้องเรียกข้าว่าปู่ อีกอย่าง แม่หนูหลิวหลี เรียกปู่เถอะนะ ดูสนิทสนมกว่า” หลงเฟยหยางแบกหน้าพูดขึ้นมา
“เรื่องนี้ก็ไม่ได้มีอะไร แต่ท่านตาทวด ท่านเลิกเรียกข้าว่าแม่หนูหลิวหลีได้หรือไม่ เรียกข้าหลิวหลีก็พอแล้ว” นางอายุจะพันปีอยู่แล้ว ถูกคนเรียกเช่นนี้รู้สึกแปลกๆอย่างไรไม่รู้
“ก็เจ้ายังเป็นเด็กอยู่ไม่ใช่หรือ อายุยังไม่ถึงพันปีด้วยซ้ำ หลงหลิงหลิงที่อายุน้อยที่สุดในสกุลหลงยังอายุมากกว่าเจ้าตั้งหมื่นปี” หลงเฟยหยางคิดว่าอายุยังไม่ถึงพันปี ยังถือว่าเป็นเด็ก
“ถ้าเช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าตาทวดก็แล้วกัน” หลิวหลีแสดงเจตนาให้รู้ว่าหากท่านไม่เปลี่ยน ข้าก็จะไม่เปลี่ยนเช่นกัน
“เอ่อ” หลงเฟยหยางพูดไม่ออก เขากำลังถูกเหลนตนเองข่มขู่อย่างนั้นหรือ เขาลูบอกตัวเอง ปวดใจจริงๆ จะทำอย่างไรดี
เอ๋าเฟิงที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ คนที่เจรจาได้แบบหลงเฟยหยางนั้นไม่ได้มีมากนัก ชื่อของนังหนูมีแค่สองพยางค์เท่านนั้น หลงเฟยหยางก็จะเพิ่มให้ ช่างอัจฉริยะจริงๆ
สงครามตั้งชื่อในครั้งนี้ สุดท้ายหลงเฟยหยางเป็นคนพ่ายแพ้ไป
“หลิวหลี พวกเราใกล้จะถึงแล้วล่ะ จะถึงบ้านแล้ว” เอ๋าเฟิงชี้ข้างหน้าแล้วพูด
“ถึงบ้านแล้วหรือ” หลิวหลีถอนหายใจ นางกำลังจะกลับถึงบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เจอหน้าเวิ่นเทียนหรือไม่ ครอบครัวของนางเมื่อไหร่จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน
เมื่อเทียบกับพวกหลิวหลีแล้ว ดูเหมือนพวกของหนานกงเฉินดูจะไปได้ดีกว่า หนานกงเวิ่นเทียนเองก็เจอเรื่องเหมือนๆกัน เขาบอกกับจักรพรรดินีว่าจะกลับมาที่วังนภาธารา หนานกงเฉินภาคภูมิใจ เด็กคนนี้มีความรับผิดชอบ ถึงแม้ใบหน้าจะเย็นชาแต่เขาก็เข้าใจว่าเด็กคนนี้พูดไม่เก่งเท่านั้น เพียงแต่เมื่อหนานกงเฉินเห็นผมขาวของหนานกงเวิ่นเทียน ก็รู้สึกไม่เข้าใจ อายุก็ยังน้อย เขาเจอเรื่องอะไรมากันนะผมถึงได้ขาวโพลนไปทั้งหัว
“เวิ่นเทียน นี่คือบ้านสกุลหนานกง ในดินแดนอสูรเทพ ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเจ้าแล้ว” หนานกงเฉินพูดกับหนานกงเวิ่นเทียน
“ขอบคุณ ท่านปูทวด” หนานกงเวิ่นเทียนใช้คำว่าปู่ทวดได้เร็วกว่าหลิวหลี
“คนสกุลหนานกงในโลกเซียนมีไม่มาก มีเพียงแค่สิบกว่าคน แต่ทุกคนมีฝีมือไม่ธรรมดา แล้วหากพูดถึงเรื่องคุณสมบัติ เวิ่นเทียน เจ้ามีความโดดเด่นที่สุด” หนานกงเฉินกล่าวชื่นชม
“คุณสมบัติ คุณสมบัติร่างกายของข้าถือว่าพอได้กระมัง” หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้สนใจ คุณสมบัติร่างกายของเขา เป็นเพราะนังหนูสละวิญญาณเทพเหมันต์ให้แก่เขา ทำให้คุณสมบัติร่างกายของเขาพัฒนา อีกอย่างปู่ทวดไม่เคยเจอหลิวหลี คุณสมบัติร่างกายของนางต่างหากที่ถือว่าโดดเด่นเหนือมนุษย์ ไม่รู้ว่านังหนูอยู่บ้านสกุลหลงแล้วหรือยัง
“เวิ่นเทียน” บริเวณหน้าประตู อยู่ๆก็มีเสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว
“อิงเสวี่ยล่ะ ทำไมถึงไม่ออกมา ปล่อยให้ลูกสาวออกมาแทน” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
เฟิ่งอิงเสวี่ยที่เดิมดีใจเพราะหนานกงเวิ่นเทียนกลับมาดินแดนอสูรเทพแล้ว ก็พูดไม่ออก เอ่อ
พวกหลงเฟยหยางก็มาถึงบ้านสกุลหลงแล้วเช่นกัน
“หลิวหลี ที่นี่คือบ้านสกุลหลง เจ้าชอบตรงไหน ปู่ทวดก็จะแบ่งพื้นที่ตรงนั้นให้เจ้า” หลงเฟยหยางพูดอย่างใจกว้าง
“ขอบคุณท่านปู่ทวด”
“นังหนู/พี่สาว” เอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีมองหลิวหลีอย่างดีใจ
แต่หลิวหลีกลับทำหน้าบึ้งตึง และเดินเข้าไป เคาะหัวเด็กสองคนคนละที
“อาเลี่ยล่ะ จื่อฉีล่ะ ให้พวกเขามาหาข้าหน่อย มีลูกกันแล้ว แต่กลับไม่บอกข้า ข้ายังไม่ทันได้เตรียมของขวัญเลย อีกอย่างสอนลูกกันอย่างไร ไม่รู้หรืออย่างไรว่าจะต้องเรียกข้าว่าท่านอา” หลิวหลีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เอ๋าเฟิงที่อยู่ข้างๆขำจนตัวงอ หลงเฟยหยางก็พยายามกลั้นหัวเราะเช่นกัน จบกัน หากอสูรเทพที่โอ๋เด็กๆ มาเห็นหลิวหลีกลั่นแกล้งพวกเขาขนาดนี้ จะฆ่านังหนูไหมนะ
หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก หลิวหลีก็มองหนูน้อยเอ๋าเลี่ยกับหนูน้อยจื่อฉีอย่างสนอกสนใจ
“ดังนั้นหลังจากที่แช่น้ำในสระบรรลุเซียนแล้ว พวกเจ้าก็กลายร่างเป็นเช่นนี้ อาเลี่ยข้าจำได้ว่าอายุของเจ้าก็ตั้งหมื่นกว่าปีแล้ว ยิ่งโตยิ่งเด็กลง ส่วนจื่อฉีนั้นไม่มีอะไรเขาก็แค่ต้องค่อยๆเติบโต” ท่าทีของหลิวหลีมีที่มีต่อทั้งสองนั้นแตกต่างกัน เพราะการเติบโตของจื่อฉีเกิดจากช่วงเวลาภายในมิติ ซึ่งเป็นเรื่องที่นางรู้สึกปวดใจมาตลอด ตอนนี้พอเห็นหนูน้อยจื่อฉี หลิวหลีก็อุ่นใจ
“นังหนู เจ้ามันสองมาตรฐาน” เอ๋าเลี่ยบ่น ดูตาหนูจื่อฉีสิ เข้าไปนั่งในอ้อมแขนของหลิวหลี เอาล่ะ เขาเข้าไปนั่งไม่ได้ ถ้านั่งเข้าไปในอ้อมอกนางคงต้องโดนผู้อาวุโสเรียกไปสั่งสอน
“เจ้าก็โตตั้งขนาดนี้แล้ว อีกอย่างสภาพเจ้าในตอนนี้ ยังกล้าเรียกข้าว่านังหนูอีกหรือ” หลิวหลีส่งสายตาให้เอ๋าเลี่ยที่ขนาดตัวเล็กลง อย่าพูดจาเป็นผู้ใหญ่ขณะที่อยู่ในร่างเด็กได้ไหม หลิวหลีลับฝีปากกับเอ๋าเลี่ยแล้ว ถึงได้รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวกัน ความรู้สึกแบบนี้ ดีเหลือเกิน ในที่สุดก็ปรากฏรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าหลิวหลี หนทางแห่งการบำเพ็ญยาวไกล หากไม่มีคนรู้ใจหรือสหายไปด้วย ก็คงจะโดดเดี่ยวไม่น้อย