ตอนที่ 224 ในที่สุดก็ได้พบกัน

แม่ครัวยอดเซียน

“เจ้าบอกว่าเจ้ามาหาใครนะ” หลงเฟยหยางประหลาดใจน้อยๆ เขาเพิ่งจะกลับมา ทำไมตาแก่หนานกงเฉินก็มาหา แถมได้ยินมาว่าเขาพาผู้ถูกเลือกที่เขาเพิ่งไปเจอมาด้วย หลงเฟยหยางจำได้ว่า เหลนของเขาบอกว่า สามีนางชื่อหนานกงเวิ่นเทียน ถ้าเช่นนั้นลูกหลานที่หนานกงเฉินพามาด้วยก็คือหนานกงเวิ่นเทียน เมื่อนึกถึงว่าเหลนที่เขาเพิ่งเจอนั้นแต่งงานแล้ว เขาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา

“ผู้อาวุโสหนานกงเฉินพาหนานกงเวิ่นเทียนมาขอเข้าพบขอรับ” ทายาทสกุลหลงกล่าว

“ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ” หลงเฟยหยางปวดหัว หลายแสนปีมาแล้วที่เขายังไม่เจอเรื่องปวดหัวเช่นนี้ ยังไม่ทันได้ทำความคุ้นเคยกับเหลนที่เพิ่งกลับมา เหลนเขยที่ยังไม่เคยเจอหน้าก็มาถึงประตูบ้าน ถึงจะเร็วจะช้าอย่างไรก็ต้องมา เพียงแต่ทำไมถึงมาเร็วขนาดนี้ หลงเฟยหยางรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

หลิวหลีที่ยังไม่รู้ว่าหนานกงเวิ่นเทียนมาหา กำลังลับฝีปากกับเอ๋าเลี่ยอย่างมีความสุข จื่อฉีที่งอแงว่าตนเองเป็นเด็กต้องได้กินของอร่อยๆ คนทั้งสองจึงได้หยุดเถียงกัน นางจึงไปเตรียมอาหารให้เหล่าอสูรเทพ

“นังหนู ตอนนี้เพลิงวิญญาณไม้กลายเป็นเพลิงเซียนแล้วใช่หรือไม่” เอ๋าเลี่ยรู้สึกประหลาดใจ ตอนอยู่โลกเบื้องล่าง นังหนูใช้เพลิงอัคคีทำอาหารอร่อยๆให้พวกเขา พอมาที่โลกเซียน กลายเป็นเพลิงเซียนแล้ว แต่นางก็ยังใช้ทำอาหารให้พวกเขา บุญปากนี้ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเทียบได้

“ใช่แล้ว เพลิงเซียนวิญญาณไม้” หลิวหลีพยักหน้า เพลิงเซียนนี้ไม่ว่าจะใช้ทำอาหาร ปรุงยาหรือต่อสู้ก็มีประโยชน์เหลือเกิน

“เหอะๆ มาชิมดูหน่อยเถอะ อาหารที่ทำจากเพลิงวิญญาณไม้ที่กลายเป็นเพลิงเซียนจะมีรสชาติเป็นอย่างไร” เอ๋าเลี่ยรอคอยใจจดจ่อ หลังจากบรรลุเป็นเซียนแล้วเขาก็ไม่มีขนมกินอีก

“นังหนู ทำพวกเนื้อแห้งอะไรพวกนี้หน่อย เวลาว่างๆจะได้เอามาเคี้ยวเล่น” เอ๋าเลี่ยคันปาก

“ได้” ถึงจะเถียงกันแต่นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย

“เวิ่นเทียน คารวะผู้อาวุโสหลง” หนานกงเวิ่นเทียนทำความเคารพอย่างว่าง่าย อิงเสวี่ยบอกว่า หลิวหลีก็กลับมาถึงสกุลหลงแล้วเช่นกัน

“เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ อาเฉิน นี่คือลูกหลานคนเก่งคนนั้นของเจ้าหรือ” หลงเฟยหยางถาม แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าหนานกงเฉินไม่ได้ปิติยินดีมากนัก ได้เหลนสาวคนเก่งของเขาไปแล้ว ยังมีอะไรไม่พอใจอีก หลงเฟยหยางเริ่มรู้สึกหัวเสีย

“ใช่แล้วล่ะ” หนานกงเฉินนึกถึงคำพูดของเหลนตนเองก็รู้สึกปวดใจ เฟิ่งซานจอมเจ้าเล่ห์ บอกว่าเขาจะมีเหลนสะใภ้ที่เก่งกล้ามิใช่หรือ แต่ทำไมพอเหลนของเขากลับมาถึงพูดว่าตัวเองแต่งเข้าสกุลหลง หลายแสนปีมานี้เขาไม่เคยรู้สึกเจ็บป่วยนักหนา แต่พอมาตอนนี้กลับรู้สึกปวดใจเบาๆ

“พวกเจ้ามามีธุระอะไรหรือ?” หากไม่มีธุระอะไรก็คงจะไม่มาสินะ เป้าหมายคงจะเป็นเหลนสาวคนเก่งของเขา เขาจะขวางก็ไม่ได้ นังหนูสายตามีปัญหาหรืออย่างไร กลับมาเลือกผู้ชายหน้าตาหน่อมแน้มที่มีผมขาวโพลนไปทั้งหัว คนหนุ่มในสกุลหลงพละกำลังเหลือล้น แค่มองดูก็รู้สึกปลอดภัย ดีจะตาย เด็กสกุลหนานกงคนนี้คงต่อสู้เป็นใช่หรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยให้เหลนของเขาเป็นคนปกป้องใช่ไหม ไม่ได้การ หลงเหวินหยางใช้มือนวดหว่างคิ้ว

“ตอบผู้อาวุโส ฮูหยินของข้าคือคนสกุลหลง ข้าน้อยมาหาหลงหลิวหลี” หนานกงเวิ่นเทียนพูดออกมาตรงๆว่าเขามาตามฮูหยิน

“ไปเถอะ นางอยู่ตำหนักด้านหลัง อยู่กับอดีตคู่พันธสัญญาของนาง” ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องเดินมาถึงจุดนี้อยู่ดี เขาจะไม่ทำตัวเป็นตัวร้ายก็แล้วกัน แต่ว่าถึงแม้จะปวดใจ แต่หลงเฟยหยางก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าเด็กคนนี้กับนังหนู ช่างดูเหมาะสมกันจริงๆ

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”

“เฮ้อ อาเฉิน เจ้าจะต้องดูแลหลิวหลีของข้าให้ดีๆล่ะ นังหนูคนนั้นเป็นเด็กดี ข้ายังอาวรณ์นางด้วยซ้ำ” หลงเฟยหยางเตือน

“อาหยาง เจ้าพูดกลับกันแล้ว ข้าต่างหากที่ต้องฝากเวิ่นเทียนของข้าไว้กับเจ้า เด็กคนนั้นถึงแม้ภายนอกจะดูเย็นชา แต่ลึกๆแล้วเป็นคนที่อบอุ่น ข้าก็ไม่อยากให้เขาไปเหมือนกัน” หนานกงเฉินปวดใจ

“อาเฉิน เจ้าอาวรณ์เขา นังหนูบ้านข้าแต่งเข้าสกุลหนานกง ถึงพวกเขาสองคนจะเข้าฌาน แต่เจ้าก็ยังได้เจอบ่อยๆอยู่ดี” ยังจะสหายกันต่อได้อยู่ไหม พูดแทงใจดำเขาขนาดนี้ หลงเฟยหยางพูดพลางชักสีหน้าขณะมองหนานกงเฉิน ตาแก่นี่ใจกล้าจริงๆ กล้ามายั่วโมโหเขา เชื่อไหมว่าเขาจะทำลายงานแต่งงาน อย่างไรเสียเด็กสองคนนี้ก็ยังไม่ได้เข้าห้องหอกัน

“อาหยาง เจ้าพูดไม่ถูก คนสกุลหนานกงของข้าแต่งเข้าสกุลหลงของเจ้า เจ้าต่างหาก ที่เป็นคนได้เจอพวกเขาทุกวัน เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร อาหยาง ไม่จริงใจเลยจริงๆ” หนานกงเฉินถึงกับมือสั่น อุตส่าห์เป็นเพื่อนกันมาเป็นหมื่นปี

“ช้าก่อน เจ้าบอกว่าเจ้าหนูหนานกงแต่งเข้าสกุลหลงหรือ?”หลงเฟยหยางเริ่มเห็นเค้าลางของปัญหา

“ใช่ เวิ่นเทียนพูดเช่นนี้ มีอะไรผิดหรือ?” หนานกงเฉินเองก็เห็นปัญหาขึ้นมา

“นังหนูบอกว่า นางแต่งเข้าสกุลหนานกง เป็นสะใภ้สกุลหนานกง” หลงเฟยหยางกล่าว

“ทำไมรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ สรุปคือใครแต่งเข้าแต่งออกกันแน่” ทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน ราวกับนี่เป็นปัญหาใหญ่

ณ ตำหนักด้านหลัง หลิวหลีทำเนื้อไว้เต็มโต๊ะ เด็กสองคนข้างๆมองไปเช็ดน้ำลายไป จนข้างๆมีกองน้ำลายแล้ว

“นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่า นังหนูจะบรรลุเป็นเซียนแล้วจะเก่งกาจขึ้นกว่าเดิม เพลิงเซียนต่างจากธรรมดา นังหนู เพลิงอัคคีทั้ง 8 ชนิดที่เหลือของเจ้าจะบรรลุขั้นเมื่อไหร่?” หากกลายเป็นเพลิงเซียนทั้งหมด จะร้ายกาจขนาดไหนกัน

“อีกนานนัก ตอนนี้เพลิงอัคคีชนิดที่สามที่เริ่มเกิดการเคลื่อนไหวคือเพลิงดาราทมิฬ แต่เพิ่งเริ่มได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีเพลิงเซียนกับพลังเพลิงข้าก็ทำอะไรไม่ได้” หลิวหลีบอกว่าหนทางยังอีกยาวไกล ห่างไกลมากเสียเหลือเกิน

“หากพูดเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้เพลิงเซียนจำนวนมากกระมัง” เอ๋าเลี่ยนึกขึ้นได้ว่าเหมือนที่ดินแดนอสูรเทพจะมีทะเลเพลิงแบบนั้นอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีพลังเซียนค่อนข้างมาก ถ้านังหนูเข้าไปบำเพ็ญเพียรน่าจะได้อะไรกลับมาไม่น้อย

“ใช่ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยแล้วกัน ข้านำหน้าคนอื่นมาไกลแล้ว ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า”หลิวหลีไม่ได้สนใจนัก คนอื่นบรรลุเป็นเซียน ก็เริ่มจากการเป็นเซียนธรรมดา มีความสามารถหน่อยก็เป็นเซียนอธนการ คนที่จะข้ามไปสองขั้นพลังบำเพ็ญเพียรจนอยู่ในขั้นเซียนสุขาวดีอย่างนางแทบไม่มี แล้วนางจะยังไม่พอใจอะไรอีก มนุษย์ต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี

“นังหนูจิตใจสงบมั่นคงไม่น้อย” เอ๋าเลี่ยรู้สึกภาคภูมิใจเหมือนเห็นลูกสาวตนเองเติบโต

“นั่นเพราะได้เจอพวกเจ้า ใจของข้าก็เลยรู้สึกมีที่พึ่ง” หลิวหลีพูดออกมาอย่างไม่ลังเลใจ

“นังหนู เจ้าอย่ามาน้ำเน่าได้ไหม” เอ๋าเลี่ยทำท่าขนลุก แต่ในใจกลับรู้สึกดีใจ จื่อฉีที่อยู่ข้างๆก็เช่นกัน ได้เจอกับนางถือ เป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดของเขา

“ได้ พวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะ” หลิวหลีบอกให้เริ่มลงมือได้แล้ว

“หากต้องเพิ่มตะเกียบอีกคู่หนึ่งจะรังเกียจหรือไม่”

“เสี่ยวเทียน” หลิวหลีตกใจ แล้วค่อยๆประหลาดใจแทน นึกมาตลอดว่าจะต้องรออีกหมื่นปีถึงจะได้เจอ นึกไม่ถึงว่าร้อยปีก็ได้เจอแล้ว และตอนนี้คนผู้นั้นปรากฏอยู่ตรงหน้านางแล้ว

“นังหนู เจอเจ้าสักที” หนานกงเวิ่นเทียนสาวเท้า คว้ามือหลิวหลี ครั้งนี้เขาจะจับให้แน่น จะไม่ให้นังหนูหายไปไหนอีก

“ข้าก็เหมือนกัน” หลิวหลีจับมือหนานกงเวิ่นเทียน นางจะจับมือเขาให้แน่นๆ จะไม่ปล่อยให้เสี่ยวเทียนต้องหายไปไหนอีก

“พอเถอะ พอเถอะ จะหวานกันไปถึงไหน ข้าวคงไม่ต้องกินแล้วล่ะมั้ง” เสียงพูดติดตลกของเอ๋าเลี่ยลอยเข้ามาจากด้านข้าง หนูน้อยจื่อฉีที่อยู่ข้างๆก็ปิดตา แต่แววตาที่เขาเห็นลอดช่องนิ้วมืออันอวบอ้วนนั้นกลับมีรอยยิ้มซ่อนอยู่

“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้ายังจะกินอาหาอร่อยๆที่ข้าทำอยู่ไหม เนื้อแห้งที่อบอยู่ตรงนั้นควรจะให้ใครดี” หลิวหลีพูดจาข่มขู่อย่างเปิดเผยและไร้ยางอาย

“อย่า อย่า นังหนู กินข้าวสิ กินข้าว” เอ๋าเลี่ยรีบสงบปากสงบคำ นังหนูจับจุดอ่อนได้เก่งจริงๆ เพียงแต่ว่าหลังจากก็จะหวานกันอยู่เรื่อยๆแบบนี้แล้วเมื่อไหร่พวกเขาจะโตกันสักที

จื่อฉีเริ่มลงมือกินข้าว เพราะอย่างไรกว่าเขาจะโตก็ยังอีกยาวไกล จึงยังไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องภรรยาก็ได้ สิ่งที่จำเป็นตอนนี้คือกินเยอะๆจะได้โตไวๆ

“นังหนู ข้าตัดสินใจจะแต่งเข้าสกุลหลง เจ้าจะต้องเลี้ยงข้านะ” หนานกงเวิ่นเทียนพูดทีเล่นทีจริง

“แต่งเข้าหรือ ไม่ต้องหรอก พวกเราจะไม่อยู่บ้านสกุลหลง แล้วก็ไม่อยู่บ้านสกุลหนานกงด้วย พวกเราสร้างบ้านด้วยกันข้างนอก บ้านของพวกเราสองคน เรื่องแต่งเข้าแต่งออกอะไรพวกนี้ไม่ต้องสนใจ” หลิวหลีไม่ค่อยชอบคำว่าแต่งเข้าเท่าไหร่นัก

“นังหนู เดิมเจ้าเป็นคนมาสู่ขอข้า ข้าพูดว่าแต่งเข้าก็ถูกแล้ว” ตอนนี้หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้สนใจปัญหานี้อีกแล้วขอแค่ได้อยู่ด้วยกันก็เพียงพอ

“ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ข้าก็ชอบบ้านของเรามากกว่า หากมีลูกสักสองคนก็จะดีมาก” หลิวหลีนับนิ้วแล้วพูดขึ้น พอหนานกงเวิ่นเทียนได้ยินเรื่องลูกก็ใบหน้าแดงระเรื่อ พวกเขายังไม่ได้เข้าห้องหอ พูดถึงเรื่องลูกจะคิดไกลเกินไปหรือเปล่า แต่พอพูดถึงเรื่องเข้าหอ พวกเขาควรจะเข้าหอกันได้แล้ว

เมื่อหลิวหลีพูดจบก็ได้สติ แล้วจึงมองสามีผิวขาวนวลเนียนของตนอย่างมีเลศนัย เรื่องที่ยังจัดการไม่เสร็จก่อนบรรลุเป็นเซียน ตอนนี้ถึงเวลาเติมเครื่องหมายเครื่องหมายจบประโยคให้มันแล้ว