“นังหนู เจ้าเด็กแซ่หนานกง บอกพวกข้ามาให้ชัดเจน สรุปใครเป็นคนแต่งเข้าแต่งออกกันแน่”หลงเฟยหยางถามทั้งสองคนที่จับมือกันอยู่ด้วยใบหน้าจริงจัง หากมองข้ามคราบอาหารที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าไป คำพูดของเขาก็พอจะมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย
“ปัญหานี้สำคัญด้วยหรือ ปู่ทวด” เรื่องแต่งเข้าแต่งออกเป็นปัญหาด้วยหรือ
“แน่นอนว่าเป็นสิ่งสำคัญ คุณค่ามันไม่เหมือนกัน นังหนูหากว่าแต่งเข้า แปลว่าเจ้ายังเป็นคนสกุลหลง ส่วนเจ้าหนูแซ่หนานกงก็จะเป็นคนของสกุลหลงเช่นกัน ส่วนถ้าแต่งออกเจ้าก็จะเป็นคนของสกุลหนานกง จะเหมือนกันได้อย่างไร” หลงเฟยหยางถึงกับคิ้วกระตุก เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเกียรติยศและชื่อเสียง จะให้มองข้ามได้อย่างไร หนานกงเฉินที่อยู่ข้างๆมองหลิวหลีอย่างคาดหวัง หวังว่านางจะแต่งเข้าสกุลหนานกง ถ้าเป็นเช่นนี้ตัวเองจะได้ไม่เสียหน้ามาก
“ท่านปู่ทวด ทำไมเราจำเป็นต้องอยู่ที่บ้านสกุลหลงหรือสกุลหนานกงด้วย พวกเราไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ตั้งแต่แรก” ดังนั้นเรื่องแต่งเข้าแต่งออกจะมีความหมายอะไรกับนาง
“เจ้าไม่อยู่บ้านสกุลหลง ไม่อยู่บ้านสกุลหนานกง แล้วเจ้าจะไปอยู่ที่ไหน” หนานกงเฉินกับหลงเฟยหยางประสานเสียง เรื่องนี้มีทางเลือกที่สามด้วยหรือ
“ใช่สิ พวกเราแต่งงานกันแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ยังจะต้องอาศัยอยู่กับผู้อาวุโสในครอบครัว ถ้าแบบนี้จะทำให้พวกเราทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น” หลิวหลีคิดว่า เมื่อนางมีครอบครัวแล้วควรต้องแยกกันอยู่อาศัยกับผู้อาวุโสในครอบครัว
หลงเฟยหยางกับหนานกงเฉินอึ้งไป มีแบบนี้ด้วยหรือ พอเป็นแบบนี้แปลว่าลูกหลานที่ยังอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเขาช่างอกตัญญูอย่างมาก
ลูกหลานสกุลหลงและสกุลหนานกงจามขึ้นมาอย่างพร้อมๆกัน พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขาอยู่ในระดับนี้แล้ว ทำไมถึงจามได้นะ ดูไม่สมเหตุสมผลเลย
“ดังนั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องถกเถียงกันเรื่องแต่งเข้าแต่งออก เพราะอย่างไรพวกเจ้าก็จะไม่อาศัยอยู่กับพวกเราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน หมายความเช่นนี้ใช่หรือไม่” หลงเฟยหยางสรุป
“ใช่เจ้าค่ะ ปู่ทวดมีปัญญาเฉียบแหลมยิ่งนัก” หลิวหลียกนิ้วโป้งให้หลงเฟยหยางทันที
“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจะสร้างบ้านไว้ที่ไหน” ถึงจะพูดว่าผู้บำเพ็ญไม่สนใจสิ่งของนอกกาย แต่ของมันจำเป็นต้องมีใช่ไหมล่ะ
“ยังไม่รู้เลยเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งจะมาที่ดินแดนอสูรเทพเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าที่ไหนดี ท่านปู่ทั้งสองมีสถานที่แนะนำหรือไม่” หลิวหลีพูดพลางส่ายหัว และเป็นการไว้หน้าผู้อาวุโสไปพร้อมกัน
“เรื่องนี้ ข้ากับอาหยางจะลองหาดู” อยู่ๆอาการปวดใจของหนานกงเฉินก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง จะลองออกไปหาดู จะต้องหาสถานที่ที่คนเก่งๆเช่นทั้งสองคนพอใจให้ได้
“ใช่แล้ว พวกเจ้าทั้งสองคน ไม่ต้องรีบร้อน” หลงเฟยหยางก็หายปวดหัวเช่นกัน เมื่อรู้สึกว่าตนเองยังพอจะมีโอกาสได้เลือกอะไรบ้าง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ปู่ทวดทั้งสองก็ค่อยๆเลือกล่ะ ข้ากับเสี่ยวเทียนจะไปบ้านสกุลจ้านกับบ้านสกุลฮัว” หลิวหลีบอกให้ปู่ทวดทั้งสองตามสบาย พวกเขาจะออกไปพบปะกับคนอื่นๆเสียหน่อย
“ไปสกุลจ้าน ไปสกุลจ้านทำไม แล้วทำไมต้องไปสกุลฮัวด้วย” อาการปวดหัวของหลงเฟยหยางที่เพิ่งจะหายดีก็กลับมาอีกครั้ง การที่นางจะไปสกุลจ้านนั้นแปลได้หลายความหมาย
“ก็ไปเยี่ยมเยียนบรรพชนสกุลจ้านน่ะสิ ถึงแม้ว่าข้าจะมีรายชื่อสกุลหลง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในตัวของข้ามีสายเลือดสกุลจ้านอยู่ และถึงข้าจะไม่ชอบคนสกุลจ้าน แต่ว่านั่นเป็นเรื่องในโลกเบื้องล่าง จะนำมาตัดสินบนโลกเซียนไม่ได้ ส่วนสกุลฮัวนั้น แม่ของเสี่ยวเทียนเป็นคนสกุลฮัวเหมือนกับท่านปู่ทวด”ล้วนก็เป็นญาติฝ่ายแม่ จะไม่ให้ไปเยี่ยมได้อย่างไร
“ก็ได้” เขาจะพูดอะไรได้ เขาอุตส่าห์แบกหน้าไปหาหลิวหลีให้นางเรียกตนเองว่าปู่ทวด ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนังหนูกับสกุลจ้านจะเป็นอย่างไร นังหนูกลับมาจะเรียกเขาว่าตาทวดหรือไม่ ทำไมเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว
“ก็ดีเหมือนกัน ไปเถอะ” หนานกงเฉินนึกไม่ถึงว่าจะได้ผูกสัมพันธ์กับสกุลฮัว แต่เมื่อนึกถึงการแต่งงานที่ซับซ้อนไปมาของทั้งห้าสกุล จิตใจก็สงบลง
“ไม่ไปบ้านสกุลหลินหรือ?” หลงเหวินหยางกล่าวถาม น่าจะมีสายสัมพันธ์กับสกุลหลินอยู่บ้างกระมัง
“ไม่ไปเจ้าค่ะ ลูกสาวของน้องชายท่านตาแต่งเข้าสกุลหลิน แต่กลับถูกหย่าจนต้องหอบลูกสาวกลับมา และเขาทอดทิ้งนางเพียงเพื่อนางจิ้งจอกจากสกุลเล็กๆ จนสุดท้ายถึงได้โดนข้าจัดการ ลูกสาวของพวกเขาเป็นร่างดวงจิตสวรรค์ สามารถบำเพ็ญเพียรได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางเป็นคนแซ่หลง คนสกุลหลินเหลวไหลขนาดนี้ บรรพชนของพวกเขาก็คงไม่ดีเท่าไหร่หรอก” หลิวหลีเล่าความแค้นระหว่างสองตระกูลคร่าวๆ
ถึงแม้หลงเฟยหยางจะเข้าใจ แต่ก็ปรายตามองนังหนู เมื่อครู่ใครบอกว่านั่นเป็นเรื่องในโลกเบื้องล่าง ไม่สามารถเอามาตัดสินบนโลกเซียนได้ สองมาตรฐานขนาดนี้ นังหนู เจ้าช่างหัวดื้อแต่ชวนให้ชื่นชอบเจ้านัก เมื่อหนานกงเฉินก็ได้ยินคำพูดของหลิวหลี สองมาตรฐานจริงๆ แต่เขาก็เกลียดชังนางไม่ลง
บ้านสกุลจ้านและสกุลหลินนึกไม่ถึงว่าผู้ถูกเลือกที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงนี้จะมาหาพวกเขาถึงบ้าน โดยเฉพาะสกุลจ้านที่ตื่นเต้นอย่างยิ่ง พวกเขาก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกเบื้องล่าง นึกว่าเด็กคนนี้จะเจ้าคิดเจ้าแค้น นึกไม่ถึงว่าจะมาเยี่ยมเยียนพวกเขาด้วย บ้านสกุลฮัวก็งงไม่แพ้กัน แต่เมื่อรู้ว่ามารดาหนานกงเวิ่นเทียนเป็นคนสกุลฮัว จึงเข้าใจทันที พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ทั้งสองกลับมาที่สกุลหลง อันที่พักชั่วคราวของหลิวหลี ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่นาน จนเอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีที่มาฝากท้อง เห็นคนทั้งสองประสานสายตากัน ความรู้สึกที่ผ่านดวงตาของทั้งสองคนชวนให้ผู้พบเห็นต้องหลอมละลาย ทันใดนั้นหลิวหลีก็ไล่เอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีออกไป และปล่อยเพลิงเซียนทั้งสองชนิดออกมา สร้างแนวเขตต้องห้ามหลายชั้น
“นังหนู เจ้าจะทำอะไร?” นางคงจะไม่ได้เผาตัวเองเล่นใช่ไหม ไม่สิ เพลิงอัคคีพวกนี้ยอมรับนังหนูเป็นเจ้าของแล้ว ไม่มีทางเผานังหนูแน่
“ทำอะไรกัน แน่นอนว่าก็เข้าหออยู่แล้ว เจ้าจะยืนดูด้วยหรือ อาเลี่ยนี่ไม่ใช่นิสัยที่ดีนัก มิน่าเจ้าถึงได้โสดมานานหลายปี อีกอย่างเป็นเด็กไปแล้ว ของไม่สมควรจะดูน่ะเข้าใจหรือไม่ ฝากบอกคนข้างนอกด้วย ที่พักอาศัยน่ะค่อยๆหาก็ได้ แต่อย่ารบกวนการเข้าหอของข้าก็พอ” หลิวหลีไม่มีท่าทีเคอะเขิน นางพูดอย่างตรงไปตรงมา ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆนั้นหูแดงเถือกไปหมด
ดวงตาสองข้างของหลิวหลีเป็นประกายขณะมองสามีของตัวเอง อยากจะกินเขาเต็มแก่แล้ว
“ท่านพี่ ช่วงเวลาดีๆมักจะสั้น พวกเราอย่ามัวเสียเวลาเลย” หลิวหลีเอ่ยพลางเชยคางหนานกงเวิ่นเทียน
“ซนจริงๆ แต่ข้าก็เห็นด้วยเช่นเดียวกัน” หนานกงเวิ่นเทียนจับหลิวหลีไว้ เปลี่ยนจากรับเป็นรุก
เอ๋าเลี่ยที่อยู่ด้านนอกพูดอะไรไม่ออก จะทำกันแบบนี้เลยหรือ พวกเขาจะเข้าหอกันตอนนี้! จนถึงตอนนี้เอ๋าเลี่ยยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเขาเองถูกไล่ออกมาข้างนอก
“เฮ้อ เจ้าหนูเผ่ามังกร เจ้าหนูเผ่ากิเลน ทำไมพวกเจ้ามาอยู่ข้างนอก ไม่เข้าไปข้างในล่ะ” หลงเหวินหยางมองเอ๋าเลี่ยที่ใบหน้าหงุดหงิด และเจ้าหนูจื่อฉีที่ใบหน้าอยากรู้อยากเห็น ทำไมถึงอยู่ข้างนอกกันหมด ไม่ใช่สิ ทำไมถึงมีกลิ่นอายของเพลิงเซียน นี่ไม่ใช่เพลิงเซียนของนังหนูหรอกหรือ ทำไมถึงปล่อยไว้ข้างนอก
“ท่านลุงเฟยหยางกับท่านลุงเฉินนี่เอง พวกท่านหาเจ้าเด็กสองคนที่แล้งน้ำใจนั้นอยู่หรือ ช่วงนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เด็กสองคนนั้นไปเข้าห้องหอ และกลัวว่าจะถูกรบกวนจึงปล่อยเพลิงเซียนออกมา” เอ๋าเลี่ยเล่าความจริงที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“อะไรนะ” หลงเฟยหยางกับหนานกงเฉินอึ้งไป คนทั้งสองช่างแตกต่างจากคนอื่น เมื่อครู่ยังกำลังคิดอยู่เลยว่าจะไปอาศัยอยู่ที่ไหน อีกครู่เดียวก็เข้าหอกันเสียแล้ว
“กำลังเข้าหอหรือ” หนานกงเฉินหน้าแดงน้อยๆ ถึงแม้ว่าเขาจะมีทายาทหลายรุ่น แต่ก็ไม่ใจเร็วเหมือนเจ้าเด็กสองคน
“เฮ้อ จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ เป็นเพราะนังหนูทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง กำหนดวันเข้าหอก่อนวันบรรลุเซียนหนึ่งวัน หากพวกเข้าเข้าหอ คงจะไม่ผ่านวิบากสวรรค์ ผลคือเด็กสองคนนึกว่าหากบรรลุเป็นเซียนแล้วจะได้อยู่ด้วยกัน ใครจะไปรู้ว่าคนหนึ่งไปอยู่ที่ดินแดนนภาธารา อีกคนหนึ่งไปอยู่ที่ดินแดนนภาเพลิง จึงถูกแยกออกจากกันนานถึง 500 ปี” เอ๋าเลี่ยถอนหายใจออกมาราวกับคนแก่
“มันก็จริง เด็กทั้งสองคนต่างตั้งชื่อตำหนักเป็นชื่อคนรัก ตำหนักเวิ่นเทียนกับตำหนักหลิวหลี” หนานกงเฉินกล่าว
หลงเหวินหยางไม่ได้พูดจา พอนึกถึงตอนที่เข้าใจผิด ใบหน้าก็แดงระเรื่อ
“อ่ะแฮ่ม ในเมื่อกำลังเข้าหอ พวกเราก็ค่อยมาอีกครั้งแล้วกัน” พอหลงเฟยหยางพูดจบก็เดินจากไป คิดว่าคงไม่ต้องรอพวกเขาเข้าหอ 3 คนที่เหลือจึงเดินตามไปด้วย ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ พวกเขาจะต้องยืนเฝ้าประตูให้กับคนทั้งสองหรือ
“เฮ้อ พี่สาวสัญญาว่าจะทำเนื้ออบแห้งให้ข้า นางยังไม่ได้ทำเลย” จื่อฉีเสียดายน้อยๆ
“รอพวกเขาออกมา บังคับให้นังหนูทำเนื้ออบแห้งให้เราจนกว่าจะพอ แล้วค่อยให้พวกเขาไปทำอย่างอื่น” เอ๋าเลี่ยกเพิ่งนึกได้ว่าจุดประสงค์ที่มาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาขอเนื้ออบแห้ง แต่ผลคือ… ช่างเถอะขี้เกียจคิดแล้ว พูดไปก็อยากจะร้องไห้
“เฮ้อ อยากจะบอกกับเด็กสองคนนั้นว่า พวกเราได้เลือกสถานที่ที่หนึ่งที่ไม่เลวไว้ให้กับพวกเขาสร้างที่พักแล้ว” หลงเฟยหยางรู้สึกเศร้าใจ
“อันที่จริง ในช่วงเวลานี้เราสามารถเตรียมของขวัญให้กับเด็ก 2 คนนี้ได้” หนานกงเฉินพูดขึ้นมาอย่างมีเลศนัย
“หืม อาเฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร” หลงเฟยหยางสงสัย เอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีก็สงสัยเช่นกัน
“พวกเราสร้างตำหนักไว้เป็นของขวัญให้เด็กสองคนนี้ได้”
ทุกคนดวงตาเป็นประกาย ความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว