บทที่ 233: ของขวัญ (1)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 233: ของขวัญ (1)

ตอนนี้เป็นเวลา 01.30 น.

ทั้งสถานีนั้นแทบจะว่างเปล่า หากไม่นับรวมชายชุดดำที่ยืนอยู่ที่ชานชาลาท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน กลุ่มคนไม่ต่ำกว่าสิบคนยืนประจำที่ พลังปราณในร่างของพวกเขาแต่ละคนแปรปวนเล็กน้อย ผู้ที่รับหน้าที่ยืนอยู่ด้านหน้าของคนทั้งหมดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไป๋อี้ชาน

เขาดูดีกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมากแม้ว่าจะไม่ได้สงบนิ่งและใจเย็นดังเดิม ทันทีที่ขบวนรถไฟจอดสนิท เขาก็รีบพุ่งไปที่ตู้โดยสารที่เจ็ดและป้อนรหัสที่ประตูทางเข้า

กลิ่นฉุนของเลือด…

เขาสามารถได้กลิ่นเลือดโชยผ่านประตูออกมาก่อนที่เขาจะเปิดมันเสียอีก มันทำให้เขาเวียนหัวไปหมด วิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งย่อมดึงดูดวิญญาณที่อ่อนแอกว่าเข้าหาตน และผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่ารังของภูตผีนับหมื่น หลักกาลักน้ำของวิญญาณได้ถูกกล่าวถึงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ฉบับล่าสุด โรงประมูลเจียเต๋อรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ และมันก็เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้พวกเขาขอความช่วยเหลือจากนักล่าวิญญาณทั้งสอง

แต่… เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ?

กึก ครืดดด …ประตูของตู้โดยสารเปิดออกช้า ๆ และเขาก็ก้าวเข้าไปด้านในทันที โดยพร้อมกันนั้นเขาก็ได้เตรียมใจถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว

ที่นี่ไม่สามารถเรียกได้ว่าตู้โดยสารอีกต่อไป

มันคือ… นรก !

มันคงจะไม่จำเป็นต้องหาผู้เหลือรอดอีกต่อไป เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ทั้งบนผนังและเพดานราวกับสีที่เพิ่งถูกทาใหม่สด ๆ ร้อน ๆ แผ่นยันต์ที่ถูกแปะอยู่ทั่วตู้โดยสารกลายเป็นเพียงเศษเถ้าถ่านที่ถูกชะล้างไปโดยเลือดที่ข้นและหนืด มันเป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างมาก

ชิ้นส่วนของศพกระจายเกลื่อนไปทั่ว บางส่วนที่แต่งกายด้วยชุดลายพราง หัว แขนขา และแม้แต่อวัยวะภายในที่ห้อยอยู่บนราวทำหน้าที่เป็นของตกแต่งที่น่ากลัวภายในตู้รถไฟนรกนี้ ภาพเหตุการณ์นองเลือดตรงหน้านั้นน่าขยะแขยงและชวนคลื่นไส้เกินไป

ไป๋อี้ชานอ้าปากค้าง ร่างของเขาสั่นเทา แม้แต่ผู้ติดตามที่วิ่งตามหลังเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างหวั่นสะพรึง “นี่มัน…”

“นะ นี่มัน… เกิดขึ้นจริง ๆ น่ะหรือ ?! เป็นฝีมือของใครกัน ? วิญญาณร้าย ?”

“วิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งกว่าขั้นนักล่าวิญญาณ… แถมพวกมันยังเลือกลงมือที่ตงไห่…”

“นั่นมันน่ากลัวเกินไปแล้ว เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ?”

ไป๋อี้ชานรู้สึกราวกับว่าโลกรอบตัวของเขากำลังหมุนอย่างรวดเร็ว ทว่าทันใดนั้นเขาก็ได้สติและรีบพุ่งเข้าไปด้านในโดยไม่สนใจว่ารองเท้าหนังของตนจะเปื้อนเลือดหรือไม่ก่อนจะเริ่มค้นหาอย่างรวดเร็ว และเมื่อพบว่ากล่องบรรจุไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี ?” เสียงของฉินเย่ดังขึ้นจากด้านหลัง หัวใจของไป๋อี้ชานบีบตัวแน่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สติของเขาจะบอกเขาว่าคนที่พูดออกมาเมื่อครู่นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉินเย่ จากนั้นเขาจึงถอนหายใจออกมาและพยักหน้า

อย่างไรก็ตาม ฉินเย่สามารถมั่นใจได้ก่อนที่เขาจะได้รับการยืนยันจากไป๋อี้ชานเสียอีก

เพราะอย่างไรแล้ว พลังหยินที่อยู่ในบริเวณนี้ก็หนาเป็นพิเศษ !

และฉินเย่ก็สามารถบอกได้ว่าแหล่งของพลังพวกนี้บางส่วนก็มาจากกล่องสีดำที่อยู่ในมือของไป๋อี้ชาน อันที่จริง เขาสามารถบอกได้ด้วยว่ามันคงยังมีพลังหยินที่เล็ดลอดออกมาจากรอยแยกบริเวณข้อต่อของกล่องอย่างต่อเนื่องราวกับว่ามันคือหุบเหวของนรก ที่เปลี่ยนให้ภายในตู้โดยสารกลายเป็นทุ่งทุนดราที่เย็นยะเยือก !

“พวกนั้นไม่ได้มาเพื่อถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีอย่างนั้นเหรอ ?” ฉินเย่ลูบคางของคนและเอ่ยพึมพำออกมาเสียงดัง

“มันจะต้องมาเพื่อสิ่งนี้อย่างแน่นอน” ไป๋อี้ชานเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าและดวงตาที่แดงก่ำ “แต่… พวกมันไม่สามารถเปิดมันได้”

“กล่องใบนี้ใช้รูปแบบการล็อกที่ล้ำสมัยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นระบบจดจำรูม่านตาหรือลายนิ้วมือ นอกจากนี้มันยังจำเป็นต้องใช้รูม่านตาและลายนิ้วมือของคนถึงสามคนเพื่อที่จะเปิดกล่องใบนี้ หากไม่ใช่บุคคลทั้งสาม มันจะระเบิดตัวเองทันที”

ฉินเย่กระซิบตอบ “ผมพอจะเดาได้ว่าหนึ่งในสามจะต้องเป็นคนของโรงประมูลเจียเต๋อ แต่อีกสองคนคือใครกัน ?”

ไป๋อี้ชานไม่คิดจะปกปิดอะไรจากเด็กหนุ่ม หากพูดกันตามตรง เขาได้ตัดสินใจที่จะเปิดเผยทุกอย่างให้กับฉินเย่ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายยอมช่วยเขาก่อนหน้านี้แล้ว

“หัวหน้าใหญ่ชู คนที่สองคือประธานคนปัจจุบันของกลุ่มมิตซูบิชิของญี่ปุ่น คุณอิวาซากิ จิโร่ และคนสุดท้ายก็คือหัวหน้าตระกูลคาโม่คนปัจจุบัน” ไป๋อี้ชานลดเสียงลงและอธิบาย “คุณฉินครับ ผมรู้ว่าคุณเองก็อยากได้ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีเช่นกัน แต่… มันดีแล้วที่คุณไม่ทำอะไรโดยไม่คิดให้ดีเสียก่อน กล่องใบนี้ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก และมันก็เป็นที่รู้จักในชื่อของ ‘กล่องเวทมนตร์’  หากมีใครพยายามจะเปิดมัน สิ่งที่พวกเขาจะได้ไปก็คือเศษชิ้นส่วนของวัตถุที่ครั้งหนึ่งเคยสมบูรณ์เท่านั้น”

ฉินเย่พยักหน้า

อันที่จริงเขาก็มีความคิดที่จะขโมยมันมาเช่นกัน

เพราะอย่างไรแล้ว เงิน 2 พันล้านสำหรับเศษชิ้นส่วนของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีมันก็เป็นราคาที่สูงเกินไปจริง ๆ หากเขามั่นใจว่าตัวเองจะสามารถขโมยมันมาได้โดยที่ไม่ถูกตรวจพบ เขาก็คงจะขโมยมันไปนานแล้ว

อันที่จริง นี่ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่เขามาที่นี่ในวันนี้เช่นกัน เขาต้องการเห็นระบบรักษาความปลอดภัยของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี และแย่งมันมาไว้กับตนหากเป็นไปได้ ซึ่งมันก็คือความคิด ‘ปัญญาอ่อน’ ที่เขาเคยพูดกับหมินชีหมิงก่อนหน้านี้ แม้ว่ามันจะหน้าไม่อาย แต่มันก็… สามารถใช้งานได้จริง

เพราะเขาไม่คิดว่ามันจะมีผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำที่คอยจับตาดูขบวนรถไฟเก่า ๆ นี่อยู่แล้ว นอกจากนี้…

เขาเป็นยมทูต ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำไม่สามารถมองเห็นเขาได้ ดังนั้นมันจึงง่ายและสะดวกมากที่เขาจะออกมาเดินเล่นนอกสำนักฝึกตนแห่งแรก ตราบใดที่สถานการณ์เหมาะสม

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอยู่เหนือการคำนวณของเขาเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่านินจาลับแห่งคามากุระจะลงมือเร็วแบบนี้ อีกฝ่ายลงมือก่อนที่วัตถุหยินจะมาถึงเมืองตงไห่เสียอีก และเมื่อเขาได้เห็นว่ากล่องที่ใส่ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสียังคงปิดสนิท เขาก็รู้ได้ทันทีว่าทางเดียวที่จะสามารถได้มันมาก็คือผ่านการประมูลเท่านั้น

เพราะอย่างไรแล้วมันก็คงจะเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยฉลาดนักหากเขาจะหมายตาในวัตถุหยินที่แม้แต่ขั้นยมทูตขาวดำทั้งสามไม่กล้าเสี่ยงขโมยไป

เขาต้องประกอบชิ้นส่วนของถ้วยเข้าด้วยกันหากต้องการจะแย่งดวงวิญญาณที่อยู่ด้านใน แค่เศษชิ้นส่วนของมันเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ไป๋อี้ชานได้มองเศษชิ้นส่วนที่แตกออกให้กับเขา แต่อีกฝ่ายไม่มีทางยอมมอบถ้วยทั้งใบให้กับตนแน่ เพราะอย่างไรแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นตัวแทนของโรงประมูลเจียเต๋อ ไม่ว่าจะในแง่ของชื่อเสียงหรือความร่ำรวย นอกจากนี้ฉินเย่ก็ไม่อยากให้เกิดความเสียหายขึ้นกับถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีอีก เขาไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่างราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาไป !

“ใช่แล้ว…” ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงที่อ่อนแรกก็ดังมาจากด้านในสุดของตู้โดยสาร ทั้งสองผงะไป ไป๋อี้ชานรีบพุ่งเข้าไปด้านในราวกับคนบ้า และไม่นานเขาก็เดินออกมาพร้อมกับชายสูงวัยคนหนึ่ง

“หัวหน้าใหญ่ชู…” เขาแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง จังหวะการหายใจของชายชราติดขัดและขาดห้วง สีหน้าของเขาซีดเผือด แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตรอด

“คุณ…” ริมฝีปากของเขาสั่นเทา แววตาของหัวหน้าใหญ่ชูยังคงฉายชัดถึงความหวาดกลัวสุดขีด ฟันของเขากระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้และเขาก็กำแขนเสื้อของตนแน่นด้วยความกังวล “ผะ ผมรอด… ผมรอดมาได้อย่างไร…”

เขาแย้มยิ้มออกมาอย่างขมขื่นขณะที่มอบไปรอบ ๆ ตู้โดยสาร “เพราะว่า… ฝ่ายตรงข้ามได้ล่าถอยไปทันทีที่เห็นระบบรักษาความปลอดภัยของกล่อง นอกจากนี้ผมยังเป็นหนึ่งในผู้ประมูลหลัก และอีกฝ่ายก็รู้ดีว่ากล่องใบนี้จะไม่สามารถเปิดออกได้หากปราศจากผม ไม่ พวกมันไม่ได้ไว้ชีวิตผม… พวกมันเพียงแค่… เก็บกุญแจไว้ใกล้ ๆ แม่กุญแจก็เท่านั้น !”

“พวกเขาเป็นใคร ?” ฉินเย่ถามแทรกขึ้น

หัวหน้าใหญ่ชูมองเด็กหนุ่มอย่างหวาดระแวง แต่ทันทีที่สัมผัสได้ถึงพลังขั้นยมทูตขาวดำที่แผ่ออกมาจากร่างของคนตรงหน้า เขาก็ทรุดตัวลงกับพื้นทันที ความวิตกกังวลของเขาก่อนหน้านี้หายไป และมันก็ถูกแทนที่ด้วยความโศกเศร้าที่ยากเกินจะบรรยาย

“ได้โปรด !!!” เขาเอ่ยทั้งน้ำตา “ได้โปรด… โปรดล้างแค้นให้พวกเราทุกคนด้วย !!!”

“ตู้โดยสารทั้งสี่ตู้… ผู้ฝึกตนกว่า 70 คน !” เขาเงยหน้าขึ้นมามองโดยที่น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด “ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม !!”

“แม้แต่จิงเหล่าซานก็ถูกฆ่า… เหลือแค่ผม… เหลือแค่ผมเท่านั้นที่รอด ! พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้… พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ! อ๊ากกกก !”

การปรากฏตัวของขั้นยมทูตขาวดำเป็นเหมือนกับกุญแจที่ปลดล็อกประตูแห่งความรู้สึกของเขา ส่งผลให้คลื่นความโกรธ ความแค้นใจ และความสิ้นหวังพรั่งพรูออกมา ราวกับคนเสียสติ เขาทุบมือของตัวเองกับพื้นอย่างแรงด้วยความคับแค้นใจ “พวกมันไม่ใช่ผีจีน… พวกมันเป็นผีของญี่ปุ่น ! ผมได้ยินมันพูดภาษาญี่ปุ่น ! ผมไม่คิดเลย ! ทำไมผีของญี่ปุ่นถึงเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่จีนได้ ?!”

เขาหันสายตาไปมองภาพนองเลือดบนตู้โดยสารและคร่ำครวญออกมา “นี่มันอาณาเขตของเรา ! ทำไมนรกถึงไม่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ?! พวกเขาจะยืนมองแดนมนุษทนทุกข์ทรมานเช่นนี้น่ะหรือ ?!”

“ทำไมพวกเขาถึงเฉยเมยได้ขนาดนี้ ?!!”

“พวกเขายอมยืนอยู่เฉย ๆ และดูวิญญาณร้ายจากชาติอื่นมาอาละวาดบนอาณาเขตของเราได้อย่างไร ?!”

“นี่พวกเราถอยกลับไปสู่ยุคพันธมิตรแปดชาติอย่างนั้นหรือ ?!! [1] ไม่มีทาง !” เขายังคงร้องออกมาเสียงดัง มือของเขาจับชิ้นส่วนของแขนที่ถูกตัดขาดซึ่งตกอยู่ข้าง ๆ ตัวเองแน่น “ผมกับจิงเหล่าซานเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรายังเด็ก… แล้วผม… ผะ ผมทำได้แต่มองเขาถูกฟันอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา ! ทำไม….”

“ทะ ทำไม… แดนมนุษย์ของเราแข็งแกร่ง แต่ทั้ง ๆ ที่เป็นเช่นนั้น… ทำไมเราถึงไม่สามารถจัดการวิญญาณของร้ายชาติอื่นที่บุกเข้ามาในอาณาเขตของเราได้ ?! ทำไมนรกถึงไม่ทำอะไรเลย ?! ทำไม…”

“หุบปาก !!” ฉินเย่ตะโกนออกมาเสียงดังก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบ หัวหน้าใหญ่ชูตัวสั่นเทาเล็กน้อย เขาลุกขึ้นนั่งดี ๆ ไม่สนใจกองเลือดที่อยู่รอบ ๆ ขณะที่มองไปรอบตู้โดยสารอย่างเหม่อลอย “ขออภัย… ที่ผมปล่อยให้ความรู้สึกครอบงำตัวเอง”

อกของฉินเย่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วง เขาเองก็รู้สึกเดือดดาลกับสิ่งที่เกินขึ้นมากอย่างน่าเหลือเชื่อ

ทำไม… คำว่า ‘ทำไม’ ของหัวหน้าใหญ่ชูทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความอับอาย และเขาก็รู้สึกราวกับมีบางอย่างติดอยู่บริเวณลำคอของตัวเอง เขาอยากจะตะโกนและคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น แต่เขากลับไม่สามารถทำมันได้

คุณคิดว่าผมอยากให้ยมโลกอ่อนแอหรืออย่างไร ?

ผมเองก็กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถอยู่ ! ช่วยให้เวลากันอีกสักนิดไม่ได้หรือไง ?!

ยมทูตญี่ปุ่นกล้าบุกเข้ามาในจีนและสังหารคนของเรา… ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายแข็งกร้าวขณะที่เขามอบไปรอบ ๆ อีกครั้ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาร์ทิสและหมิงชีหยินถึงได้รังเกียจพวกยมทูตนอกอาณาเขตพวกนี้นัก…

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนการตบหน้านายกรัฐมนตรีของรัฐดี ๆ นี่เอง !

ความอัปยศและความแค้นปะทุขึ้นภายในใจของเขาทันที

“เจ้าโกรธอย่างนั้นหรือ ?” เสียงของหมิงชิหยินดังขึ้นภายในหัว เจือไปด้วยความประหลาดใจ “นั่นเป็นภาพที่หาได้ยากจริง ๆ …มันผ่านมาหลายเดือนแล้วตั้งแต่ที่ข้าเห็นเจ้าโกรธครั้งล่าสุด ถึงกระนั้นข้าก็ไม่เคยเห็นเจ้าโกรธจริง ๆ เสียที แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้… เจ้าจะโกรธจริง ๆ สินะ ?”

“ไม่… นี่คือ… ความเข้าใจ” แววตาของฉินเย่วาวไรจน์ด้วยเจตนาฆ่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “เพราะเข้าใจ ข้าจึงโกรธ”

หมิงชีหยินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “จงจำเอาไว้”

“การที่ยมโลกของจีนสามารถคงอยู่มานานหลายพันปีนั้นเป็นเพราะเราไม่เคยไว้ชีวิตยมทูตนอกอาณาเขตตนใดที่กล้าประพฤติตนในทางมิชอบบนดินแดนของเราเลยสักตน แม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องสูญเสียตุลาการนรกของเราก็ตาม !”

“สงครามในตะวันออกกลาง สงครามในมหาสมุทรอินเดีย มหาสงครามของยมโลก… พวกเราล้วนกำชัยชนะ และยังไล่ตามกองกำลังที่เหลือของอีกฝ่ายไปจนสุดขอบโลก ไม่ว่าพวกมันจะเป็นขั้นฝู่จวินหรือแค่ขั้นยมเทพ ทั้งหมดล้วนถูกปฏิบัติเหมือนกัน ดวงวิญญาณของพวกมันถูกกำจัดไปชั่วนิรันดร์ด้วยบทลงโทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์ !”

“และตอนนี้ภาระนี้ก็ตกมาที่เจ้า ยมโลกของจีนไม่เคยถูกดูหมิ่นและอับอายเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว !”

“ฆ่าพวกมันและแย่งถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีมา อย่างน้อยที่สุด… เจ้าก็ต้องทำให้อิซานามิได้รู้ว่ายมโลกของจีน… ไม่ใช่พวกที่จะพ่ายแพ้ได้ง่าย ๆ! ต่อให้เราจะตกต่ำลงจากความรุ่งโรจน์ในอดีต แต่เราก็ยังเป็นตัวตนที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถมาท้าทายได้ง่าย ๆ!”

“ผู้ที่กระทำผิดจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”

ฉินเย่หลับตาลงและพยักหน้า

ในขณะนี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว รัศมีเย็นยะเยือกแผ่ออกมารอบเด็กหนุ่มขณะที่เขาหันไปมองหัวหน้าใหญ่ชู “พวกมันพูดว่าอะไร ?”

หัวหน้าใหญ่ชูสั่นเทาเล็กน้อย เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะกัดฟันแน่นและเอ่ยออกมา “พวกมัน… ถามถึงถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี แล้วมัน… มันก็ถามผมว่า…”

“ผมรู้จักยมทูตหรือเปล่า ?”

“พวกเขาบอกว่าแถว ๆ นี้มียมทูตจีนอยู่ และยมทูตตนนั้นก็อยู่ขั้นยมทูตขาวดำ”

“ ‘ชีวิตแลกด้วยชีวิต’ พอพูดจบ พวกมันก็บอกผมว่าพวกเขาจะทิ้งของขวัญทั้งหมดที่นี่ไว้ให้กับยมทูตตนนั้น”