บทที่ 234: ของขวัญ (2)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 234: ของขวัญ (2)

ดวงตาของฉินเย่วาวโรจน์ขึ้นทันที

ของขวัญ ?

ของขวัญ ?!

พวกมันก่ออาชญากรรมแล้วยังทิ้งศพไว้เพื่อส่งข้อความให้เขาอีกน่ะหรือ ?! กล้าดีอย่างไร ! นี่พวกมันไม่สนใจเรื่องการมีอยู่ของยมโลกเลยใช่หรือไม่ ?!

ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านออกมาจากส่วนลึกที่สุดของจิตใจและพุ่งมาที่เยื่อหุ้มสมองส่วนหน้าของเขาทันที ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อทำให้ตัวเองผ่อนคลายและใจเย็นลง จากนั้นเขาก็เริ่มสำรวจทุกรายละเอียดภายในขบวนรถไฟอย่างช้า ๆ

มันไม่มีการเขียนคำด้วยเลือด อีกฝ่ายคงคิดว่าการทำอะไรแบบนั้นมันธรรมดาเกินไป… เขายังคงมองไปรอบ ๆ อีกประมาณสิบวินาทีก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ

แม้ว่าชิ้นส่วนร่างกายบนพื้นจะดูเหมือนว่ามันกระจัดกระจายเกลื่อนไปทั่ว แต่ถ้าลองสังเกตดูดี ๆ คุณก็จะพบว่ามันเรียงตัวเป็นข้อความภาษาญี่ปุ่น

“ถึงยมทูตที่สังหารสหายของเรา เราขอตอบแทนเจ้า เลือดชดใช้ด้วยเลือด ร้อยเท่าพันทวี !”

“ยมโลกของจีนตกต่ำลงมากเพียงใดกัน… เจ้าถึงทำตัวหลบ ๆซ่อน ๆ เฉกเช่นพวกขี้ขลาด ? จงซ่อนตัวให้ดี มิเช่นนั้น ข้ารับรองเลยว่าดวงวิญญาณของเจ้าจะถูกเผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์ในส่วนลึกของเมืองใต้พิภพของท่านอิซานามิ !”

กล้ามาก !

ฉินเย่ชอบที่จะใช้ชีวิตของเขาอย่างเฉื่อยชา เดินไปตามทางที่มีขวากหนามน้อยที่สุดโดยการแสร้งเป็นแข็งแกร่งกับผู้ที่อ่อนแอ และนอบน้อมให้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า แต่ถึงกระนั้น ข้อความของยมทูตญี่ปุ่นที่สื่อสารผ่านเศษชิ้นส่วนมนุษย์ที่กระจัดกระจายกลับทำจิตสังหารที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจของเขาปะทุออกมา

“หืม ? จิตสังหาร ?” เสียงของหมิงชิหยินดังขึ้นในหัว “นี่เจ้า… กำลังแผ่จิตสังหารออกมาจริง ๆ น่ะหรือ ? แถมยังเป็นจิตสังหารที่ไม่เลวเลยด้วย ?”

“แถมข้ายังสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของเจ้าด้วย… แต่ทำไมล่ะ ? นี่ไม่เหมือนกับเจ้าเลยสักนิด”

ฉินเย่ไม่ตอบ กลับกันเขาหันไปเอ่ยกับคนที่อยู่รอบ ๆ “หัวหน้าไป๋ คุณพาหัวหน้าใหญ่ชูกลับไปที่โรงแรมก่อน อีก 30 นาทีผมจะตามไป”

“หะ ? อ๋อ ! ได้ครับ ! ได้ !!” ไป๋อี้ชานเอ่ยตกลงอย่างทันควัน เขายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ฉินเย่รับช่วงต่อจากตรงนี้

พวกเขาจากไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงฉินเย่ที่ยังคงยืนอยู่ในตู้โดยสาร เด็กหนุ่มสำรวจรอบข้างของตน และความทรงจำมากมายก็ผุดขึ้นมาจากส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจ

“ท่านหมิง” ครู่ต่อมา ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ท่านอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่คนที่ได้ทานเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปจะมีความทรงจำที่ดีมาก”

ปั้ง… ประตูของตู้รถไฟปิดลง และหมิงชีหยินก็ลอยออกมา

มันสามารถบอกได้ว่าอารมณ์ของฉินเย่ในตอนนี้ยังคงพลุ่งพล่าน และยังไม่จำเป็นต้องตอบออกไป

ฉินเย่เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อ “แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าข้ากินเห็ดนั่นเข้าไปตอนอายุเท่าใด ?”

หมิงชีหยินส่ายหน้า บ่งบอกว่ามันไม่รู้

ฉินเย่กวาดสายตาไปทั่วทั้งตู้โดยสาร “ตอนที่ข้าอายุได้สองขวบ”

“สมัยนั้นทุกอย่างช่างยากเย็น ปู่ของข้าพาข้าขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหารากผักมาทานเพื่อประทังชีวิต และพวกเราก็พบกับเห็นเทียนสุ่ยเข้าโดยบังเอิญ เราแบ่งกันทานคนละครึ่ง สุดท้าย… ข้าก็รอดชีวิต แต่ปู่กลับ… หายไป”

หมิงชีหยินไม่ตอบอะไร ฉินเย่อาจจะพูดให้มันฟังดูเรียบง่าย แต่หมิงชีหยินรู้ดี ผู้ที่ทานเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไป… ถ้าไม่รอดชีวิตก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาด ! ฉินเย่ไม่เคยเอ่ยถึงปู่ของตัวเองมาก่อน เขามักจะแสดงตัวว่าตนใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวภายในโลกไปนี้ พยายามเอาชีวิตรอดในยุคสงครามสมัยนั้นก่อนจะได้เห็นการก่อตั้งของสังคมยุคใหม่ มันสามารถทำได้เพียงจินตนาการเท่านั้นว่าชีวิตของเด็กหนุ่มผ่านความยากลำบากมามากเพียงใดในตอนนั้น

ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโชคแบบเขา

น้ำเสียงของฉินเย่แข็งกร้าวขึ้นขณะที่เขาเหลือบมองข้อความภาษาญี่ปุ่นจากชิ้นส่วนของซากศพ “และพวกมันก็คือผู้ที่เริ่มทุกสิ่งทุกอย่าง !!”

1938 สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง[1]

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฆ่าคนมาก่อน” ฉินเย่เอ่ยต่อเสียงเรียบ “หากพูดกันตามความจริง คนส่วนใหญ่ที่ข้าสังหารไปในตอนนั้นก็คือผู้รุกรานชาวญี่ปุ่น”

เขาแค่นหัวเราะกับตนเองเบาๆและหันไปเผชิญหน้ากับหมิงชีหยิน “มันไม่น่าเชื่อเลยใช่หรือไม่ ? แม้แต่ตัวของข้าเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย…”

“ไม่” หมินชีหยินเอ่ยตอบในที่สุด

“ข้าเชื่อเจ้า”

มันถอนหายใจออกมา “ยิ่งมีชีวิตอยู่นานมากเท่าไหร่ พฤติกรรมของพวกเขาก็จะยิ่งแบ่งออกเป็นสองชนิด ชนิดแรกคือพวกเขาจะซึมซับเข้าสู่สังคมอย่างเต็มตัวจนเป็นส่วนเดียวกับมันและกลายเป็นหนึ่งในผู้สูงอายุและฉลาด ในขณะที่อีกชนิดหนึ่งจะเป็นพวกที่จะหัวเราะและทำตามใจของตนเองเพราะพวกเขาแก่มากแล้วที่จะทำเช่นนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่ถือว่าเป็นคนแก่ที่เฉลียวฉลาด ดูอย่างเบนจามิน บัตตัน ยิ่งเขาอายุมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเด็กลงเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นจากการขยายมุมมองของพวกเขา มุมมองที่กว้างไกลทำให้กฎเกณฑ์ของโลกจางหายไป พวกเขามองไม่เห็นความจำเป็นในการที่จะต้องเคารพกฎเกณฑ์เหล่านี้อีกต่อไป และไม่ได้เคร่งครัดกับมันดั่งเช่นแต่ก่อน ดังนั้น… พวกเขาจึงปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ”

ฉินเย่หัวเราะ “พูดได้ดี”

หมิงชีหยินส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างไม่พอใจนักและมองฉินเย่ “เจ้าเป็นเหมือนพวกประเภทที่สองนั่น”

“นอกจากนั้นเจ้ายังเป็นหนึ่งในพวกหายากที่ยังสามารถคงความเยาว์วัยภายในจิตใจของตัวเองเอาไว้ได้อีกด้วย”

“เจ้าปรับตัวได้ดีพอที่จะตามทันยุคสมัยเพื่อไม่ให้ตัวเองตกยุคไปตามกาลเวลา และตอนนี้เจ้าก็ดูเหมือนกับพวกคนสูงอายุที่ไม่มีห่วงหรือเรื่องกังวลใด ๆ ต่อโลกใบนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าบุคลิกที่แท้จริงของพวกเขาเป็นอย่างไร และท่าทางของพวกเขาเป็นเพียงการเสแสร้งหรือมาจากส่วนลึกในจิตใจ” มันถอนหายใจออกมา “เสือดาวไม่สามารถเปลี่ยนลวดลายบนตัวของมันได้ และมันก็ไม่ได้ป้องกันตัวด้วยการปกปิดรูปร่างหน้าตาของตัวเอง”

“ข้าได้ยินมาจากอาร์ตี้ว่าเจ้าแทบจะไม่ลังเลเลยในตอนที่เจ้าปัดเป่าวิญญาณที่ตามหลอกหลอนตระกูลหวัง รวมถึงต้องที่แก้ปัญหาเรื่องเขตไล่ล่าที่เมืองไท่ซาน ดังนั้นพวกเราจึงเดาว่าเจ้าคงใช่ชีวิตผ่านความขัดแย้งและความตึงเครียดมามากพอสมควร ดังนั้น… เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจึงฝังส่วนนั้นของตัวเองไว้ในส่วนลึกของจิตใจและเลือกใช้ชีวิตโดยไร้ความกังวลแทน แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางเจ้าจากการมองเห็นถึงความจริงของโลกอันเสแสร้งใบนี้และเปิดเผยจิตใจที่มืดมนออกมาเมื่อถึงยามจำเป็น ไม่เช่นนั้น… เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตมาได้นานขนาดนี้จริง ๆ น่ะหรือ ?”

“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าที่พวกข้าติดตามเจ้ามันเป็นเพียงแค่เราไม่มีทางเลือกอื่น ? แน่นอนมันอาจจะมีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างโชคชะตาของยมโลกและวิญญาณของเจ้า แต่อาร์ทิสและข้าเล่า ? พวกเราใช้ชีวิตมานานจนได้เป็นสักขีพยานในความรุ่งเรืองทั้งสามสมัยของจีน เราก็มีประสบการณ์มากมาย เจ้าคิดจริง ๆ น่ะหรือว่ามันไม่มีตัวเลือกอื่นแล้วจริง ๆ? หากเจ้าคิดเช่นนั้น เจ้าก็กำลังดูถูกพลังของตุลาการนรกอยู่ พวกข้าไม่มีทางปล่อยให้ยมโลกตกไปอยู่ในมือของยมทูตที่ไร้ความรับผิดชอบเด็ดขาด”

“แต่เจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น” มันสรุป “ดังนั้นข้าจึงเชื่อว่าเจ้าคงเห็นเลือดมามากในสมัยอดีต”

สีหน้าของฉินเย่ดีขึ้น เขาหวนนึกถึงความทรงจำที่น้อยครั้งจะผุดขึ้นมา “ใช่… เมื่อเวลาผ่านไป ข้าเองก็เช่นกัน ตระหนักได้แล้วว่าทุกวันนี้ไม่เหมือนกับวันแห่งความขัดแย้งพวกนั้น อันที่จริง ข้าได้ลืมเรื่องพวกนี้ไปนานมากแล้ว… อย่างน้อยก็จนกระทั่งวันนี้…”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นแฝงด้วยความคับแค้นใจอย่างชัดเจน “พวกมันดึงมันกลับมาอีกครั้ง”

“พวกมันกล้าดีอย่างไรถึงซ่อนตัวภายใต้ความสามารถในการไม่ถูกมนุษย์มองเห็นแล้วบุกรุกเข้ามาในจีนเช่นนี้ ! แถมยังกล้าส่งของขวัญที่ต้องจ่ายด้วยชีวิตของมนุษย์มากกว่า 70 คนมาให้ข้า !”

“ข้าจะรับของขวัญชิ้นนี้เอาไว้” เขาหลับตาลงและสูดหายใจเข้าช้าๆ จากนั้นเมื่อลืมตาขึ้น แววตาของเขาที่จ้องไปรอบตู้โดยสารวาวโรจน์ขึ้น “แล้ววันหนึ่ง ข้าจะเป็นคนนำกองทัพและไปดึงความทรงจำของยุคสมัยที่พวกมันลืมไปแล้วขึ้นมาเอง”

เมื่อเอ่ยจบเขาก็โบกมือเบา ๆ และประตูของตู้โดยสารก็เปิดออกอีกครั้ง เด็กหนุ่มเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง

มันมีบางครั้งที่เวลาเอ่ยคำสัญญาณไม่จำเป็นต้องประกาศออกไปเสียงดัง

เขาสามารถบอกได้ว่านินจาลับแห่งคามากุระได้จากไปนานแล้ว และมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปสมทบที่โรงแรมที่คนของโรงประมูลเจียเต๋ออยู่ทันที

การรักษาความปลอดภัยนั้นแน่นหนาราวกับป้อมปราการ

โรงประมูลเจียเต๋อได้จองชั้นนี้เอาไว้ทั้งชั้น ฉินเย่เดินขึ้นไปโดยใช้บันได และเขาก็สังเกตเห็นว่าเหล่าผู้คุ้มกันที่ยืนอยู่ตามทางล้วนเป็นผู้ฝึกตนทั้งสิ้น แต่ถึงกระนั้นคนทั้งหมดก็รีบหลีกทางให้กับฉินเย่ทันทีที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของขั้นยมทูตขาวดำที่แผ่ออกมาจากร่างของเด็กหนุ่ม

เมื่อเขาผลักประตูเข้าไป เขาก็พบว่าไป๋อี้ชายและหัวหน้าใหญ่ชูรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ฉินเย่เดินไปนั่งที่โซฟาอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะพยักหน้าให้ทั้งสองราวกับว่าตนเป็นเจ้าของห้อง “นั่งเถอะ พวกคุณไม่จำเป็นต้องทำตัวสุภาพกับผมขนาดนั้น”

ทั้งสองรีบนั่งลงทันที

พวกเขาไม่มีทางเลือก ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำเป็นผู้ที่มีอำนาจเทียบเท่ากับผู้บังคับการระดับมณฑลของหน่วยสอบสวนพิเศษ บุคคลที่ไม่ต่างอะไรไปจากพระเจ้าสำหรับพวกเขา

“ผู้ที่จู่โจมรถไฟของวิญญาณร้ายขั้นยมทูตขาวดำ” ฉินเย่เอ่ยเข้าประเด็น “และพวกมันก็มาจากญี่ปุ่น พวกคุณยังแน่ใจที่จะตรงไปที่สถานที่จัดประมูลในวันพรุ่งนี้อยู่หรือเปล่า ? แล้วพวกคุณแน่ใจหรือว่าตัวเองจะยังมีชีวิตอยู่จนได้เห็นงานประมูลถูกจัดขึ้น ?”

หัวหน้าใหญ่ชูกัดฟันกรอด ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ผู้ใดจะไปคิดว่าเศษถ้วยที่แตกไปแล้วใบนี้จะดึงดูดพวกผีญี่ปุ่นให้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อเอาชีวิตของพวกเขากัน ? แต่อย่างไรก็ตาม เขาพยายามควบคุมจังหวะการหายใจของตนให้เป็นปกติ จากนั้นก็เอ่ยต่อด้วยสีหน้าขมขื่น “งานประมูล… ของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี… จะต้องถูกจัดขึ้นครับ”

“ไม่ใช่ทุกคนที่นี่จะมีความสามารถและความแข็งแกร่งเช่นคุณ พวกเรา…”

เขาแค่นหัวเราะออกมาอย่างเศร้าๆ “ทุกคนต่างรู้ดีว่าการประมูลสมบัติระดับชาติกำลังจะถูกจัดขึ้น พวกเราเป็นเพียงกลุ่มผู้ฝึกตนที่ไม่ได้มีฝีมือมากนัก หากเราผิดสัญญาและสูญเสียความไว้ใจจากลูกค้า ผมเกรงว่า… การรวบรวมทรัพยากรในการบ่มเพาะในภายภาคหน้าอาจจะยากขึ้น”

มันเป็นเรื่องยากที่จะลงจากหลังเสือ

ฉินเย่เคาะนิ้วของตนบนโต๊ะเบาๆ ไม่มีใครกล้าจับถ้วยชาของตน

เขาตระหนักถึงปัญหาที่โรงประมูลเจียเต๋อกำลังเผชิญหน้าอยู่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาขุดถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีขึ้นมา ด้วยความดีใจ พวกเขาประกาศข่าวเรื่องนี้ให้ทั้งโลกได้รับรู้ด้วยต้องการที่จะปลุกกระแสของการประมูลที่กำลังจะมาถึง ทว่าช่างน่าเศร้านัก เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาได้ดึงความสนใจของยมทูตญี่ปุ่นให้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นของตนตั้งแต่แรกด้วย

…โรงประมูลเจียเต๋อประเมินความหมายที่แท้จริงของถ้วยใบนี้ต่ำไป และพวกเขาก็คิดที่จะยกเลิกงานประมูล แต่พวกเขาได้ขึ้นไปบนหลังเสือแล้ว และมันก็เป็นเรื่องยากที่จะลงมา

ความโชคดีเดียวของพวกเขาตอนนี้ก็คือการที่พวกเขาดึงดูดความสนใจของลูกค้าระดับสูงที่ดูเหมือนจะรู้ถึงคุณค่าของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีเป็นอย่างดี

ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาดึงดูดความสนใจของตระกูลองเมียวจิที่โด่งดังอย่างตระกูลคาโม่

และสำหรับตัวอย่างเพิ่มเติม พวกเขายังดึงดูดความสนใจของกลุ่มมิตซูบิชิ ผู้ซึ่งต้องการรวบรวมถ้วยทั้งสองใบไว้ด้วยกัน

โรงประมูลเจียเต๋อสมควรที่จะขอบคุณดวงดาวนำโชคของตัวเองที่ทำให้พวกเขาสามารถดึงดูดความสนใจของคนพวกนี้เนื่องจากพวกเขาคือผู้ที่เตรียมกล่องเวทมนตร์ให้กับทางโรงประมูลเพื่อใช้เก็บถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี ไม่เช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดในตู้โดยสารรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

ฉินเย่ถอนหายใจออกมา นี่มันเป็นเหตุการณ์ความโชคร้ายของโรงประมูลเจียเต๋ออย่างแท้จริง หากไม่ใช่เพราะการมีอยู่ของกล่องเวทมนตร์ เขาก็คงมีโอกาสสัก 50% ในการแย่งถ้วยมาโดยที่ไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่นิดเดียว แต่… มันก็เท่ากับความเป็นไปได้ที่ถ้วยจะตกไปอยู่ในมือของยมทูตญี่ปุ่นพวกนั้น

หากปราศจากกล่องเวทมนตร์ ยมทูตญี่ปุ่นพวกนั้นจะต้องสังหารคนทั้งหมดอย่างแน่นอน หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ กล่องใบนี้ได้กลายเป็นเครื่องช่วยชีวิตของโรงประมูลเจียเต๋อแทน เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกยมทูตญี่ปุ่นก็จะไม่มีข้อตกลงกับทางกลุ่มมิตซูบิชิหรือตระกูลคาโม่เพื่อเข้าถึงกล่องอย่างแน่นอน ดังนั้นในฐานะของกลุ่มที่อ่อนแอที่สุด โรงประมูลเจียเต๋อจะต้องทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อปกป้องเครื่องช่วยชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาเอาไว้ และแน่นอน พวกเขาจะสามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้อีกถ้าไม่ใช่ฉินเย่ ?

ความไม่รู้ไม่ใช่อาชญากรรม มีเพียงผู้ที่มีความโลภเท่านั้นที่จะถูกปฏิบัติดั่งเช่นอาชญากร

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่แน่ใจว่ากองกำลังที่ทางญี่ปุ่นได้รวบรวมไว้ที่ทะเลตะวันออกนั้นมีมากเพียงใด แต่นี่จะต้องเป็นการปะทะทางเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเข้าร่วมมาอย่างไม่ต้องสงสัย ฉินเย่หลับตาลงและเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้งและเอ่ยว่า “พวกคุณ… ไม่กลัวตายจริง ๆ เหรอ ? คุณมั่นใจจริง ๆ น่ะหรือว่ากล่องเวทมนตร์ใบนี้ไม่สามารถถูกทำลายได้ ?”

หัวหน้าใหญ่ชูไม่ตอบ

หากเป็นก่อนหน้าที่เหตุการณ์พวกนี้จะเกิดขึ้น เขาคงเอ่ยตอบออกไปอย่างมั่นใจ แต่ตอนนี้… หลังจากที่ได้เห็นปีศาจที่ตนกำลังเผชิญหน้า เขาไม่มั่นใจอะไรอีกแล้ว

เพราะสุดท้ายแล้ว มาตรฐานของมนุษย์ก็ไม่สามารถใช้กับวิญญาณได้

“คุณครับ” เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และมองฉินเย่อย่างจริงจัง “หากพวกเรา… อยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณ โดยเราจะจ่ายให้คุณ 10% ของราคาประมูลของถ้วยนี้… คุณจะว่าอย่างไรครับ ?”

ฉินเย่ยกแก้วชาของตนขึ้นจิบเพื่อซ่อนประกายสดใสในส่วนลึกของดวงตาของเขา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบกับสายตาคาดหวังของหัวหน้าใหญ่ชู “ตกลง”

“ใช้เวลานานแค่ไหนจนกว่าเราจะเดินทางไปถึงทะเลหลวง ?” ฉินเย่ถามเสียเรียบ

“สามวันครับ”

สามวันเหรอ… ฉินเย่จิบชาในแก้วของตน

หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ… เขามีเวลาเพียงแค่สามวันในการเจรจากับราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ให้สำเร็จ !

ทะเลหลวงจะเป็นสถานที่ตั้งของการประลองครั้งสุดท้าย ! เด็กหนุ่มยังไม่แน่ใจนักว่ากองกำลังในตำนานที่ทางยมโลกญี่ปุ่นได้เตรียมไว้รอนั้นมีมากแค่ไหน แต่หากไม่ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อรวบรวมกำลัง สิ่งที่รออยู่ก็คงจะเป็นการสังหารที่จะตัดปีกทั้งสองข้างขอเขาก่อนที่จะได้กางมันและพุ่งทะยานขึ้นไปเสียอีก !

[1] ค.ศ. 1937 – 1945