กรงที่กู้ชูหน่วนอยู่มีเพียง นาง อี้เฉินเฟย ฝูกวงและเยี่ยเฟิง

เยี่ยเฟิงเมาจนสติเลอะเลือน ไม่มีกำลังต่อสู้ ส่วนวิชาตัวเบาของกู้ชูหน่วนไม่เลว ทว่าไม่มีกำลังภายใน จำต้องพึ่งเข็มอาบยาพิษกับอาวุธลับแอบจู่โจม

อี้เฉินเฟยกับฝูกวงรับมือยอดฝีมือกว่าสิบคน ทว่าก็ไม่ตกเป็นรอง

ปรมาจารย์หลินดันรู้สึกละอายและขุ่นเคืองจนแปรเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราด เดินย่างสามขุมมาตรงหน้าด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง เหวี่ยงกระบี่หมายจะตัดกระเช้าลอยฟ้า(กรง)ทิ้ง

ถึงแม้เหล่าคนปรนนิบัติจะมาถึงป้อมปราการที่หนึ่งแล้ว ทว่าพวกเขายังคงอยู่ห่างมาก ยามตัดทิ้งยามนี้ พวกเขาทุกคนต้องตกลงสู่เหวอย่างไม่ต้องสงสัย

ฝูกวงเห็นดังนั้นก็ไม่หวั่นต่อภยันตราย ย้อนกลับไปแล้วหมุนเท้าปล่อยลูกถีบใส่ศีรษะของปรมาจารย์หลิน

นี่เป็นกระบวนท่าที่หยามศักดิ์ศรีมาก ปรมาจารย์หลินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทว่าก็ได้แต่พลิกกายหลบหลีก เพราะฝูกวงเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก

“เคร้ง ๆ ๆ”

ชั่ววินาทีที่เขาพลิกตัว บรรดาผู้ถือธงที่อยู่ใกล้เขาล้วนถูกฝูกวงใช้กระบี่พุ่งแทงจนสิ้นลมหายใจ

“ช่วยคนออกจากหอคอยลมเมฆของข้าก็แล้ว ยังกล้าสังหารลูกน้องข้าอีก เจ้าคิดว่าข้าเป็นหน่วนซื่อจือ*ที่เจ้าจะบีบจับตามใจชอบหรือไร?”

ปรมาจารย์หลินโบกมือ เหล่าผู้ถือธงพลันเข้ามาโอบล้อมฝูกวงอย่างหนาแน่น ไม่มีจุดรั่วไหลเลย

ฝูกวงยิ้มเย็น แววตาเปี่ยมไปด้วยความดูแคลน เขาไม่ได้พูดไร้สาระกับพวกเขา

ร่างผอมแห้งยืนเบื้องหน้ากระเช้าลอยฟ้าอย่างห้าวหาญ ประหนึ่งเทพสงครามองค์หนึ่ง หากมันผู้ใดก้าวข้ามเขต เขาก็จะฆ่าไม่เหลือ แม้นชีวีจะมอดไหม้ ทว่าก็จะปกป้องกระเช้าลอยฟ้า ปกป้องกู้ชูหน่วนให้จงได้

บนเส้นทางลำเลียงคนมียอดฝีมือที่อยู่ในกรงใกล้เข้ามาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ

แม้นวรยุทธอี้เฉินเฟยจะสูงปานใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือมากมายเช่นนี้ ย่อมเกินกำลังแน่

สถานการณ์ย่ำแย่สำหรับพวกเขามากขึ้นทุกที

หัวหน้าผู้เป็นยอดฝีมือระดับสี่พุ่งทะยานเพื่อฝ่าการปกป้องของอี้เฉินเฟย แล้วมุ่งมายังพวกกู้ชูหน่วนในกรง

อี้เฉินเฟยหน้าถอดสี งัดกระบวนท่ามารุตหิมะโปรยปราย ใช้ความอ่อนพิชิตความแข็ง จนทำให้ยอดฝีมือระดับสี่ต้องกระเถิบถอย

“ปังปังปัง”

เมื่อยอดฝีมือปะทะกันจึงว่องไวถึงขีดสุด แม้แต่กู้ชูหน่วนก็ยังมองจนตาลาย

พวกยอดฝีมือผู้โหดร้ายไม่มีอี้เฉินเฟยค่อยขัดขวาง จึงกระโจนเข้าใส่ อาวุธลับของกู้ชูหน่วนต้านทานพวกเขาไม่อยู่

กู้ชูหน่วนเอื้อมมือไปคว้า ทว่ากลับว่างเปล่า อยากตะโกนด่ายิ่งนัก

ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ทว่ากลับไม่มีเข็มพิษที่เป็นอาวุธลับ

เยี่ยเฟิงวิตกกังวล ลุกขึ้นมาเพื่อขวางยอดฝีมือที่ตรงเข้าหากู้ชูหน่วนอย่างดิ้นรน เพราะเมาจนเกินไป สองขาของเขาจึงอ่อนยวบ พึ่งลุกขึ้นยืน ทว่าก็ล้มลงไปอีกครั้ง

วินาทีที่เยี่ยเฟิงรู้สึกสิ้นหวัง พลางเห็นอี้เฉินเฟยใข้นิ้วมือซ้ายผิวปาก แล้วขลุ่ยหยกที่อยู่บนเอวของกู้ชูหน่วนก็ลอยไปหาเขา

เสียงขลุ่ยอันใสกังวานลอดผ่านกรง ผ่านผู้คน และกระจายไปทั่วหุบเขา ซึ่งเสียงยังดังอ้อยอิ่งลอยวนอยู่เช่นนั้นไม่หยุดหย่อน

เมื่อเกิดเสียงขลุ่ย อุณหภูมิพลันลดลงอย่างเร็วไว แม้จะอยู่ในช่วงรัตติกาล ทว่าก็สามารถเชยชมหิมะที่โรยตัวลงมาอย่างแช่มช้า

เกล็ดหิมะเริงระบำดั่งนางฟ้าตัวน้อย ๆ ร่ายรำอยู่กลางอากาศ ก่อเกิดเป็นภาพงดงามขึ้น

คนจำนวนไม่น้อยต่างพากันสงสัย

อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ไยจึงมีหิมะตก

สมองยังไม่ทันหมุน พลางเห็นเกล็ดหิมะแปลงร่างเป็นดาบคมแหลม ก่อนจะจู่โจมเหล่ายอดฝีมืออย่างแรงกล้า

เนื่องจากท้องฟ้ามืดมน กอปรกับเหนือการคาดหมาย ยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยจึงต้องสังเวยชีวิตให้แด่เกล็ดหิมะ

“ระวังเกล็ดหิมะ”

ยอดฝีมือระดับสี่ตะโกนบอก เขาอยากไปแย่งชิงขลุ่ยหยกมา ทว่ากลับมีพลังบางอย่างขัดขวางเขา ไม่ให้เขาเข้าใกล้อี้เฉินเฟยแม้แต่ครึ่งก้าว

เสียงอันละมุนละม่อมของขลุ่ยแปรเปลี่ยน ท่วงทำนองเสียงสูงขึ้นฮวบฮาบ คล้ายกับฝูงปีศาจร่ายรำ กลิ่นอายสังหารพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า โลหิตหลั่งดั่งสายฝน

ผู้ที่ได้ยินเสียง ยกเว้นพวกกู้ชูหน่วน ที่เหลือล้วนมีเลือดกำเดาไหล หากสาหัสหน่อยก็คือตายคาที่

“ฝูงปีศาจร่ายรำ เจ้าเป็นใครกันแน่”

ยอดฝีมือระดับสี่ใช้กำลังภายในปัดเสียงขลุ่ยออก พยายามปกป้องเหล่ายอดฝีมือสุดชีวิต ใบหน้าของเขาบัดนี้ประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง

*หน่วนซื่อจือ คือ ลูกพลับ