อี้เฉินเฟยหยุดเป่าขลุ่ย มือขาวนวลหมุนขลุ่ยหยกอย่างหยอกเย้า ท่าทีชำนาญ สง่างาม และเป็นตัวของตัวเอง

มุมปากเขาประดับรอยยิ้มเจือจาง เสียงใสอ่อนนุ่มดังขึ้น “วันนี้ข้าแค่อยากพาพวกนางไป สหาย ไยไม่ลองให้เกียรติข้าดู”

ดวงตากู้ชูหน่วนหรี่ขึ้น ท่าทางอี้เฉินเฟยหมุนขลุ่ยหยก เหตุใดจึงเหมือนประมุขชิงยามที่ช่วยนาง?

หรือว่าเขามีหน้ากากอีกใบหนึ่งเป็นหัวหน้านิกายเทพอสูร ประมุขชิง

ยอดฝีมือระดับสี่สบถ “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนของนิกายเทพอสูรหรือไม่ หากวันนี้เจ้าพาพวกเขาไปก็เท่ากับเป็นศัตรูกับเผ่าปีศาจ”

“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ?” อี้เฉินเฟยย้อนถามด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเขาขี้คร้าน ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา

เมื่อเห็นท่าทางโอหังยโสของเขา แล้วมาคิดถึงการกระทำของเขา คนเผ่าปีศาจจะไม่เดือดดาลได้เยี่ยงไร

“พวกพรรค จับตัวเขาไว้”

เขาใช้คำว่าจับตัว ซึ่งไม่ใช่คำว่า สังหาร

เห็นได้ว่าเผ่าปีศาจยังคงยำเกรงต่อนิกายเทพอสูร ไม่อยากเป็นปรปักษ์กับนิกายเทพอสูรซึ่ง ๆ หน้า

การต่อสู้ที่แสนจะชลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครา เมื่ออี้เฉินเฟยมีขลุ่ยอยู่ในมือ แม้นต้องเผชิญหน้ากับศัตรูนับหมื่นก็ไม่ครั่นคร้าม ถึงอีกฝ่ายจะมีวรยุทธสูงส่งปานใด ทว่าก็ไม่อาจก้าวล้ำเข้ามาได้

ขอเพียงรับมือต่ออีกสักประเดี๋ยวเดียว พวกเขาก็จะไปถึงป้อมปราการในหุบเขาลูกที่หนึ่งแล้ว

กู้ชูหน่วนเชื่อว่าอี้เฉินเฟยต้องส่งกำลังมารับมือนอกป้อมปราการที่หนึ่งแน่

เวลาล่วงเลยไปเรื่อย ๆ เยี่ยเฟิงร้อนรุ่มกลุ้มใจยิ่งนัก ดึงแขนเสื้อกู้ชูหน่วน พลางกล่าวเสียงแหบแห้ง “เร็ว……ไปเร็ว ๆ ประเดี๋ยวผู้นำกองธงกล้วยไม้จะตามมาแล้ว”

“วางใจเถอะ ไม่ว่าใครจะมาก็พาตัวเจ้าไปไม่ได้”

กู้ชูหน่วนตบหน้าอกของเขา โดยบอกให้เขาวางใจ

“โครม……”

กลิ่นอายพิฆาตอันทรงพลังมาดั่งพายุที่โหมกระหน่ำ

พลังชุดนี้แกร่งกล้ามาก ส่งผลให้ทุกคนต้องหาที่เกาะจับ ยกเว้นอี้เฉินเฟย

สีหน้ากู้ชูหน่วนแปรเปลี่ยน

“เป็นพลังที่ร้ายกาจมาก”

เยี่ยเฟิงที่อยู่ในอาการเมามายมีสติขึ้นหลายส่วน ร่างกายอดสั่นสะท้านไม่ได้ ใบหน้าแดงจากการดื่มสุรากลายเป็นซีดเผือดในบัดดล

“เขา……เขามาแล้ว”

กลิ่นอายพิฆาตพุ่งทะยานเข้ามา เสียงขลุ่ยของอี้เฉินเฟยเปลี่ยนอีกครั้ง พลางสกัดกั้งกลิ่นอายพิฆาตของผู้นำกองธงกล้วยไม้

“ปัง……”

เส้นทางลำเลียงคนขาดในฉับพลัน

กรงของพวกปรนนิบัติไปถึงป้อมปราการที่หนึ่งโดยสมบูรณ์แล้ว

ทว่ากรงที่พวกเขาอยู่กลับไปไม่ได้ฝั่ง

กู้ชูหน่วนรวบรวมกำลังทั้งหมดไว้ที่มือ ก่อนจะโยนเยี่ยเฟิงไปยังป้อมปราการที่หนึ่ง พลางตะโกนกล่าวว่า “ท่านพี่เฉินเฟย ช่วยข้าปกป้องเยี่ยเฟิงด้วย”

จากนั้นกรงก็ตกลงสู่หุบเหวลึก

กู้ชูหน่วนจนปัญญา จึงตกลงไปพร้อมกับกรง

ระหว่างนั้น นางเห็นดวงตาของเยี่ยเฟิงเบิกกว้าง จ้องนางด้วยแววตาตื่นตระหนก

นางเห็นอี้เฉินเฟยคิดจะช่วยนาง ทว่ากลับโดนศัตรูล้อมโจมตี ไม่อาจปลีกกายมาช่วยเหลือนาง ตั้งแต่ที่นางรู้จักอี้เฉินเฟย เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาหน้าถอดสี

และเป็นครั้งแรกที่เห็นเขาเสมือนราชสีห์ที่กำลังเกรี้ยวกราด ระเบิดอารมณ์กะทันหัน จากนั้นก็เริ่มเข่นฆ่าศัตรูที่เข้ามาใกล้ทุกราย

นางยังเห็น……

โอ้โห……

ไอ้ปัญญาทึบ ฝูกวงกระโดดตามนางลงมาด้วย……

กู้ชูหน่วนอยากตะโกนก่นด่า

สิ่งที่ทำให้นางตะลึงตะไลก็คือ เยี่ยเฟิงผู้กำลังเมามายก็กระโดดตามลงมาด้วย

“โอ้….”

ไอ้สารเลว

นางยอมสละชีพตัวเองเพื่อช่วยเยี่ยเฟิง ทว่าเขากลับกระโดดลงมาเสียนี่

สองคนนี้เป็นคนหัวทึบหรือไร?

กู้ชูหน่วนอยากดูว่าอี้เฉินเฟยจะกระโดดลงมาด้วยหรือไม่ ทว่าร่างกายกลับกระแทกอย่างแรง พลางเกิดเสียง ปัง จากนั้นนางก็รับมือไม่ไหว วูบดับไป

เมื่อนางฟื้นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ รู้สึกว่าเหมือนร่างกายจะแยกชิ้นส่วน นางเจ็บจนสูดลมเย็นเข้ามา