บทที่ 43 เขาจะมาขอร้องให้นางออกมา

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 43 เขาจะมาขอร้องให้นางออกมา
“เจ้าก็อยู่ในเรือนเซียงหลินอย่างสงบอย่าโผล่หน้าออกมา! มิเช่นนั้น ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าเด็ดขาด!”

ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาสนใจหนานหว่านเยียน และไม่สามารถปลีกตัวออกมายุ่งกับผู้หญิงคนนี้ได้ เขาจะต้องชดเชยให้โหรวเอ๋อร์อย่างดี

ถึงแม้ในจวนอ๋องสิ่งที่ควรจัดเตรียมยังไม่ครบถ้วน สินสอดทองหมั้นก็ยังไม่ได้ส่งไปที่จวนแม่ทัพ แต่งานในคืนนี้จะต้องครึกครื้น เขาจะให้โหรวเอ๋อร์เข้าจวนอ๋องอี้อย่างมีหน้ามีตา จะให้นางถูกใครวิจารณ์ไม่ได้!

ในดวงตาของหนานหว่านเยียนมีความเยาะเย้ยแวบผ่านไป แต่กลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ท่านอ๋องวางใจเถอะ ข้าไม่ก่อเรื่องแน่นอน”

นางเป็นแค่สร้างเรื่อง จะก่อเรื่องได้อย่างไรเล่า!

ได้ยินคำพูด ชายหนุ่มฮึเย็นชาออกมา เสียงฝีเท้าค่อยๆไกลออกไป

และทันทีที่เขาจากไป เซียงอี่ว์ที่เข้ามาต้อนรับตั้งแต่เมื่อครู่ก็รีบเดินไปทางหนานหว่านเยียน คำพูดของท่านอ๋องนางได้ยินหมดแล้ว รู้สึกเป็นห่วงว่าหนานหว่านเยียนจะถูกความโกรธจู่โจมจิตใจ รีบกล่าวว่า: “พระชายาโปรดอภัยที่บ่าวพูดมากไป ขอพระชายาโปรดอย่าโกรธไปเลย”

นางไม่ได้ทำเพราะความหวังดี เพียงแต่รู้สึกว่าหากหนานหว่านเยียนก่อปัญหาขึ้นมา จะทำให้ทั่วทั้งจวนอ๋องเกิดความโกลาหลวุ่นวายไปหมด ความเกลียดชังที่กู้โม่หานมีต่อนางจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณอย่างแน่นอน!

หนานหว่านเยียนยิ้มเย้ยหยันออกมา ลักษณะท่าทางลึกล้ำคาดเดาไม่ได้

“เจ้าวางใจ ช้าเร็วเขาก็ต้องมาขอร้องให้ข้าออกไปรับผิดชอบดูแลงานแต่งงานอย่างแน่นอน”

พูดไป หนานหว่านเยียนก็เดินเข้าไปข้างใน ลักษณะท่าทางเหมือนทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุม

เซียงอี่ว์ตะลึงงันอยู่กับที่ พระชายาคนนี้วันนี้เข้าวังไปรอบหนึ่ง หรือว่าสมองจะผิดปกติไปแล้ว?

นางถึงกับพูดออกมาว่าท่านอ๋องจะมาขอร้องนางให้ไปรับผิดชอบดูแลงานแต่งงาน หรือว่าจะได้รับการกระทบกระเทือนอะไร?

ขณะที่เซียงอี่ว์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คิดไปด้วยว่าต้องคอยสังเกตการกระทำของหนานหว่านเยียนให้มาก นางจะได้ไม่ทำเรื่องอะไร ที่ส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งเรือนเซียงหลิน

นังหนูน้อยสองคนนั้น ในใจของนางก็รู้สึกชอบเล็กน้อย นางไม่อยากให้หนานหว่านเยียนวู่วามไปชั่วขณะ ทำให้เกิดเรื่องขึ้นกับนังหนูน้อยสองคนนั้น

“ท่านแม่!” เสียงไร้เดียงสาที่ออดอ้อนดังขึ้นมา

หนานหว่านเยียนมองเห็นเจ้าตัวเล็กสองคนวิ่งเข้ามา มุดเข้ามาในอ้อมแขนตัวเองทันที

เกี๊ยวน้อยเงยหน้าขึ้นมา กะพริบดวงตากลมโตมองไปทางหนานหว่านเยียน ในน้ำเสียงยังมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย

“ท่านแม่กลับมาได้สักที! ซาลาเปาจู้จี้อยู่ตลอด กลัวว่าท่านแม่จะทิ้งเราแล้ว”

“ท่านแม่ท่านแม่ ทำไมท่านเพิ่งจะกลับมาล่ะ?” ในดวงตาของซาลาเปายังมีคราบน้ำตา เมื่อครู่น่าจะเพิ่งร้องไห้ ถูกเกี๊ยวน้อยกล่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว

หนานหว่านเยียนใจอ่อนลงมาทันที นั่งลงไปลูบหัวของสองพี่น้องอย่างอ่อนโยน

“แม่เจอกับเรื่องนิดหน่อย ทำให้กลับบ้านช้าไป แม่รับประกันกับพวกเจ้า วันหน้าจะไม่ห่างจากพวกเจ้านานขนาดนี้อีกแล้ว ดีไหม?”

เกี๊ยวน้อยยื่นนิ้วก้อยที่อ้วนท้วนออกมา กล่าวต่อหนานหว่านเยียนอย่างจริงจัง “ท่านแม่พูดแล้วรักษาคำพูด เกี่ยวก้อยสัญญาร้อยปีห้ามเปลี่ยนแปลง!”

ซาลาเปาทำหน้าไร้เดียงสา และก็ยื่นมือออกมาเลียนแบบท่าทางของพี่สาว มองดูหนานหว่านเยียนตาปริบๆ

หนานหว่านเยียนหลุดหัวเราะออกมา เจ้าตัวเล็กสองคนนี้ช่างฉลาดทันคนจริงๆ

นางยื่นมือสองข้างออกมาเกี่ยวก้อยกับสองพี่น้อง จากนั้นก็จูบบนหน้าผากของพวกนาง “หนึ่งร้อยปี ห้ามเปลี่ยนแปลง!”

ครั้งนี้นางจากเจ้าตัวเล็กสองคนนานเกินไปจริงๆ ตั้งแต่สองพี่น้องเกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางจากพวกนางไปนานขนาดนี้

ซาลาเปาได้รับคำสัญญาของหนานหว่านเยียน ก็เปลี่ยนจากร้องไห้มายิ้มแย้มทันที บนใบหน้าที่ยังน้อยใจเมื่อครู่ก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา

นางนึกอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน ทำหน้ามุ่ยแล้วถามว่า: “ท่านแม่ท่านแม่ เมื่อครู่นี้ข้ากับพี่สาวต่างก็เห็นผ้าไหมสีแดง ในจวนมีใครจะจัดงานมงคลหรือ?”

หนานหว่านเยียนเคยบอกกับพวกนางว่า สีแดงเป็นตัวแทนแห่งการเฉลิมฉลอง ตอนนี้ที่ต่างๆในจวนล้วนแขวนไปด้วยผ้าไหมสีแดง เช่นนั้นก็น่าจะเป็นเรื่องดีใช่ไหม?

หนานหว่านเยียนลังเลอยู่พักใหญ่ ทนกับสายตาที่กระตือรือร้นของลูกสาวทั้งสองไม่ไหว กล่าวว่า: “กู้โม่หาน ไม่สิ ท่านอ๋องจะรับสนมแล้ว คืนนี้เจ้าสาวก็จะแต่งเข้ามาแล้ว ลิงน้อยตัวแสบอย่างพวกเจ้าสองคนคืนนี้ห้ามออกไปก่อกวนนะ!”

ขณะที่พูดไปนางก็ยื่นมือไปขูดจมูกของพวกนาง ท่าทางจริงจัง

นางจะให้ใครรู้ถึงการดำรงอยู่ของเด็กน้อยสองคนนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กผู้หญิงยังส่งผลกระทบต่อการแต่งตั้งไท่จื่อแห่งตงกง ก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่

เกี๊ยวน้อยฟังจบแล้ว จู่ๆในดวงตาที่เดิมทียังร้อนแรงอยู่ก็เศร้าสลดทันที คิ้วก็ขมวดกันเป็นก้อนอย่างแรง นางกล่าวพึมพำเสียงเบา “ฮึ คนเลว! มีแต่รังแกท่านแม่!”

ซาลาเปาได้ยินคำพูด ก็โน้มตัวเข้าไปใกล้ข้างหูของเกี๊ยวน้อยแล้วกระซิบถามว่า “พี่สาว รับสนมหมายความว่าอย่างไร?”

นางมองดูเกี๊ยวน้อยด้วยความสงสัย รู้บ้างไม่รู้บ้าง

“ก็คือคนเลวคนนั้นจะแต่งงานรับผู้หญิงคนอื่นมาเป็นเมีย! จะทิ้งท่านแม่!” เกี๊ยวน้อยเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม สองมือเท้าเอวเอาไว้ ทำลักษณะท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยคนหนึ่ง

“อ๋า……” ในดวงตาของซาลาเปากลับแสดงความผิดหวังและสูญเสียที่ยึดเหนี่ยว “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้……”

หนานหว่านเยียนได้ยินคำพูดของเกี๊ยวน้อยก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าหนอเจ้า ไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน?”

เกี๊ยวน้อยแลบลิ้นออกมา ทำหน้าลึกลับ “ความลับ! ไม่บอกท่านแม่หรอก!”

หากนางบอกท่านแม่ว่า ตัวเองแอบดูหนังสือแปลกๆที่นางวางเอาไว้ใต้เตียง ท่านแม่ต้องไม่ละเว้นนางแน่นอน

หนานหว่านเยียนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ทำอะไรเจ้าคนฉลาดทันคนตัวน้อยคนนี้ไม่ได้จริงๆ

ทันใดนั้น เสียงท้องร้องโครกครากก็ดังขึ้นมา

ซาลาเปาลูบไปที่ท้องของหนานหว่านเยียน น้ำเสียงไร้เดียงสา “ท่านแม่หิวหรือ!”

หนานหว่านเยียนอุ้มสองพี่น้องขึ้นมา “อืม แม่หิวแล้ว พวกเจ้ากินข้าวหรือยังล่ะ?”

สองพี่น้องยิ้มหวาน กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน: “ยังเลย! จะรอกินข้าวกับท่านแม่!”

หนานหว่านเยียนรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างมาก ยิ้มจนตาหยี “เช่นนั้นแม่ก็ไปกินข้าวพร้อมกับพวกเจ้า!”

เซียงเหลียนพาสาวใช้คนอื่นๆจัดเตรียมอาหารกลางวันไว้นานแล้ว เวลานี้ก็รอสามแม่ลูกอยู่ข้างโต๊ะอาหาร

หนานหว่านเยียนวางสองพี่น้องเอาไว้ข้างกายตัวเอง กลับได้ยินเกี๊ยวน้อยอาสา “ท่านแม่หิวแย่แล้ว ข้าช่วยท่านแม่ปอกกุ้ง!”

พูดจบ มือเล็กที่ขาวอวบอ้วนของเกี๊ยวน้อย ก็ยื่นไปที่จานที่มีกุ้งนึ่ง

ซาลาเปาก็ไม่ยอมน้อยหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมาก็จิ้มไปบนขาหมู มือสองข้างจับตะกียบเอาไว้ คีบขาหมูใส่ถ้วยของหนานหว่านเยียนอย่างจริงจัง “ท่านแม่บอกว่ากินแล้วจะทำให้สวยขึ้น ท่านแม่กินเยอะๆหน่อย!”

ความเหนื่อยล้าทั้งวันของหนานหว่านเยียนหายไปในพริบตา ความรู้สึกที่ถูกสองพี่น้องเอาใจช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!

“อา——ท่านแม่อ้าปาก” เกี๊ยวน้อยปอกกุ้งเสร็จอย่างคล่องแคล่วว่องไว ป้อนให้กับหนานหว่านเยียน

“อุบ อร่อย!” หนานหว่านเยียนกินกุ้งที่ลูกสาวปากให้กับมือด้วยความพึงพอใจ แล้วก็กัดขาหมูไปหนึ่งคำ กล่าวชมสองพี่น้องไม่ขาดปาก “แม่มีพวกเจ้าสองคน เป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดแล้ว!”

เด็กน้อยสองคนเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหนานหว่านเยียน ก็หัวเราะ “เอิ๊กอ๊าก” ตามขึ้นมาเช่นกัน

“รออีกครึ่งปี แม่ก็จะพาพวกเจ้าออกไปจากที่แห่งนี้!” หนานหว่านเยียนกระซิบต่อลูกสาวทั้งสอง ความตื่นเต้นในดวงตาถึงแม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่ก็สามารถสัมผัสได้ “ถึงเวลานั้น กินดีอยู่ดี มีอิสระได้ตามต้องการ!”

ตอนนี้หนังสือหย่าอยู่ในมือแล้ว ทันทีที่ถึงครึ่งปี นางไม่กลัวว่ากู้โม่หานจะไม่ปล่อยคน……