ตอนที่ 74 ใจปลาซิว

หยุนเชวี่ยเดินทางไปที่บ้านของเหอยาโถวโดยใช้เวลาไปกลับไม่ถึงสิบห้านาที เมื่อมาถึงลานบ้าน นางก็ได้ยินเสียงสาปแช่งของแม่เฒ่าจูดังทั่วบริเวณ

“พ่อแม่กำลังจะเป็นขอทาน แต่ลูกกตัญญูกลับฆ่าไก่เอามาทำอาหาร!”

หยุนเยี่ยนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนนั่งลงเก็บขนไก่เงียบ ๆ

หยุนเชวี่ยหยิบไม้กวาดที่พิงประตูขึ้นมา “พี่สาวลุกขึ้น ข้าจะกวาดเอง”

หน้าใหญ่ ใจปลาซิว!!

แม่นางจ้าวเลิกผ้าม่านขึ้นพลางเดินออกมาจากปีกตะวันตกก่อนยืนพิงกรอบประตูและกล่าวว่า “เชวี่ยเอ๋อ แม่ของเจ้าดีขึ้นหรือยัง?”

“ยังเจ้าค่ะ ท่านแม่ยังคงต้องนอนพักอยู่!”

“โอ้! สงสัยจะป่วยหนักจริง ๆ!” แม่นางจ้าวจัดแจงผมเผ้าก่อนเดินเข้าไปในบ้าน “ข้าจะไปเยี่ยมน้องสะใภ้รอง”

หยุนเชวี่ยไม่ได้เอ่ยห้าม ทว่าเดินตามนางเข้าไปในบ้านด้วย

“โอ้ น้องสะใภ้รอง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” แม่นางจ้าวเข้าไปจับมือของแม่นางเหลียนทันทีที่เห็น พลางเผยสีหน้ากังวลและรักใคร่

“เจ้าไม่รู้หรือว่าเมื่อวานข้ากังวลเรื่องเจ้าจนนอนไม่หลับทั้งคืน”

หยุนเชวี่ยแลบลิ้นล้อเลียนอยู่ด้านหลังของแม่นางจ้าว

ช่างโกหกหน้าไม่อายจริง ๆ

ปากบอกว่ากังวลตั้งแต่เมื่อคืน แต่เพิ่งจะเสนอหน้ามาเยี่ยมวันนี้เนี่ยนะ?

แม่นางเหลียนค่อย ๆ ดึงมือของตนเองออกมาขณะยกยิ้ม “พี่สะใภ้กังวลเกินไปแล้ว”

ยากที่จะบอกว่าเหตุใดแม่นางเหลียนถึงไม่ชอบแม่นางจ้าว แม้ใบหน้าของนางจะเปื้อนรอยยิ้มก็ตาม

ต่างจากแม่นางเฉินที่ขี้เกียจและชอบพูดจาไร้สาระ แต่อย่างน้อยนางก็ยังสามารถสนทนากับแม่นางเฉินได้สองสามคำ แม้แม่นางเฉินจะทำตัวน่าขันและน่ารำคาญในเวลาเดียวกันก็ตาม

ทว่าแม่นางจ้าวนั้นแตกต่างออกไป

แม่นางเหลียนไม่อยากสนิทสนมกับแม่นางจ้าวมากกว่านี้ เนื่องจากนางรู้สึกว่าภายใต้รอยยิ้มแสนใจดีนั้นมีความร้ายกาจบางอย่างซ่อนอยู่

“เจ้าพูดอะไรน่ะ เหตุใดต้องเกรงใจพี่สะใภ้อีก?” แม่นางจ้าวมองแม่นางเหลียนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

แม่นางเหลียนค่อย ๆ ก้มศีรษะลงเล็กน้อย

“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านแม่เหนื่อยแล้วเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยก้าวไปด้านหน้าก่อนจับแขนของแม่นางเหลียนพลางกระซิบว่า “ท่านแม่ นอนพักผ่อนต่ออีกสักหน่อยเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าพักก่อนเถิด เห็นว่าเจ้าดีขึ้นก็สบายใจแล้ว” แม่นางจ้าวลุกยืนขึ้นพลางเอ่ยบอกหยุนเชวี่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เชวี่ยเอ๋อ ดูแลแม่ของเจ้าด้วย”

“ขอบพระคุณที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยเดินไปส่งนางที่ประตูห้องในปีกตะวันตกของบ้าน

ทันทีที่เท้าของแม่นางจ้าวก้าวพ้นธรณีประตู นางก็เงยหน้าขึ้นและพบว่าหยุนชิ่วเอ๋อยืนจ้องมองนางอยู่ที่ชั้นบนของบ้าน

“พี่สะใภ้ใหญ่” หยุนชิ่วเอ๋อตะโกนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ชิ่วเอ๋อ ข้ากำลังจะไปหาเจ้าพอดี!” แม่นางจ้าวกล่าวพลางหัวเราะก่อนเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว “เมื่อวานเจ้าต้องการรองเท้าปักเหมือนกับเหอเซียงเอ๋อ ถ้ามีเวลาว่าง พี่สะใภ้ใหญ่จะทำให้เสร็จเรียบร้อยภายในสองวันนี้”

เมื่อเห็นว่าหยุนชิ่วเอ๋อกำลังจะโวยวาย แม่นางจ้าวจึงสรรหาคำพูดและเสนอจะทำรองเท้าให้นางโดยไม่คิดเงินสักเหรียญ

คำพูดของแม่นางจ้าวทำให้หยุนชิ่วเอ๋อรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

“หึ ใครอยากจะเลียนแบบเหอเซียงเอ๋อกัน”

แม่นางจ้าวจับมือของหยุนชิ่วเอ๋อและกล่าวว่า “ เจ้าไม่เชื่อฝีมือการปักของพี่สะใภ้ใหญ่หรือ? ชิ่วเอ๋องดงามที่สุด จนเหอเซียงเอ๋อเทียบไม่ได้เลยล่ะ”

“ท่านซื้อด้ายกับลูกปัดหยกหรือยัง?” หยุนชิ่วเอ่ยถาม

แม่นางจ้าวตกใจ ใบหน้าของนางถอดสีเล็กน้อยก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ยัง… ข้าจะขอให้คนซื้อมาจากในเมืองน่ะ เจ้าชอบสีอะไรบอกพี่สะใภ้ใหญ่ได้”

“อย่ารบกวนเขาเลย” หยุนชิ่วเอ๋อดึงมือกลับ “อย่างไรก็ตามวันนี้ข้าว่าง ข้าจะตามพี่สะใภ้เข้าไปในเมืองด้วย”

มุมปากของแม่นางจ้าวกระตุก “ระยะทางไปกลับนั้นไกลยิ่งนัก อย่าทำให้ใบหน้าขาวผ่องของเจ้าต้องหมองคล้ำเลย”

หยุนชิ่วเอ๋อหรี่ตามอง “ไม่เป็นไร ข้ามีงอบอยู่ในห้อง ข้าจะไปหยิบมันมาเดี๋ยวนี้แหละ”

“……”

แม่นางจ้าวนิ่งอึ้ง

แม่นางจ้าวต้องการเอื้อนเอ่ยบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของหยุนชิ่วเอ๋อ นางก็กลืนคำพูดเหล่านั้นและความรู้สึกขมขื่นลงคอไป

หยุนชิ่วเอ๋อมีความคิดอย่างไร นางย่อมรู้ดี… การเดินทางเข้าไปในเมืองครานี้ อย่าหวังเลยว่าจะเหลือเงินแม้แต่เหรียญเดียว!

“ไปกันเถอะ หลังจากกลับมา ข้าจะได้เอาเหล้าหมักไปให้ท่านพ่อดื่ม” หยุนลี่จงกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะยืนอยู่ข้างหน้าต่างในปีกตะวันออก

แม่นางจ้าวกลอกตาไปมา

ไก่ตัวโตถูกเคี่ยวในหม้อใบใหญ่ด้วยไฟอ่อน ๆ กลิ่นหอมของมันลอยคละคลุ้งในอากาศ

ขณะนี้ใกล้ยามเที่ยงแล้ว ดวงตะวันตั้งฉากกับผืนดิน เหอยาโถวกลับมาจากในเมืองในสภาพเหงื่อไหลท่วมกาย

“เชวี่ยเอ๋อ” เหอยาโถวตะโกนเสียงดังขณะลำคอแห้งผาก

หยุนเชวี่ยรีบรินน้ำใส่แก้วให้เขาทันที “นั่งพักผ่อนก่อน”

เหอยาโถวยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว “โอ้ เหตุใดถึงร้อนขนาดนี้!”

“เหนื่อยหรือไม่… รบกวนเจ้าแล้ว” หยุนเชวี่ยเติมชาลงไปในกา

“เหตุใดเจ้าถึงพูดจากับข้าดีเช่นนี้?” เหอยาโถวใช้แขนเสื้อเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก ขณะที่ใบหน้าและลำคอแดงก่ำ “พี่สาวดูสิ เชวี่ยเอ๋อไม่เคยพูดจาดี ๆ กับข้าเลย”

“เหตุใดถึงกลับมาเร็วเล่า?”

หยุนเชวี่ยคาดว่าการเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อตระเวนส่งเนื้อสัตว์ป่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วยาม

“ไม่กลัวว่าข้าจะมาช้าจนครอบครัวเจ้าไม่ได้กินอาหารกลางวันหรือ?” เหอยาโถวชี้นิ้วเรียวราวกล้วยไม้ไปที่ตะกร้าข้างเท้าของตน “ข้างในมีบะหมี่ขาวและไข่ยี่สิบฟองที่เจ้าต้องการ”

จากนั้นเขาจึงหยิบถุงเงินออกจากแขนเสื้อพลางเขย่าเบา ๆ เสียงกระทบกันของเหรียญเงินนั้นไพเราะยิ่ง

“ของทั้งหมดนี้ราคาห้าสิบเหรียญ ดังนั้นในถุงจะเหลือหกสิบห้าเหรียญ”

หยุนเชวี่ยหยิบยื่นมือออกไปรับกระเป๋าเงิน “ข้าบอกเจ้าแล้วนี่ว่าหากกระหายน้ำหรือเหนื่อยให้ใช้เงินเหล่านี้ซื้อน้ำชาและเข้าไปพักผ่อนในโรงน้ำชา”

“นี่…” เหอยาโถวเสยผมด้วยท่าทีพราวเสน่ห์ “เจ้ายังไม่แก่เสียหน่อย เหตุใดถึงขี้บ่นนัก”

หยุนเยี่ยน…

หยุนเชวี่ยขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะ

มันไม่ง่ายเลยที่จะแบกตะกร้าบรรจุเส้นหมี่ขาวยี่สิบจินและไข่ไก่มาตลอดทาง

สาวน้อยจอมปลอมคนนี้ช่างใจเสาะเสียจริง!

“มานี่สิ ข้าจะนวดไหล่ให้”

หยุนเชวี่ยเดินอ้อมไปด้านหลังของเหอยาโถวก่อนลงมือนวดไหล่ขณะลอบถอนหายใจ ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย ไม่ว่ารูปร่างจะเพรียวบางเพียงใด ทว่ากระดูกของเขาคงไม่เล็กเท่าเด็กผู้หญิงหรอก

“ลงแรงมากกว่านี้หน่อยสิ เจ้ากำลังทำให้ข้าจั๊กจี้” เหอยาโถวเงยหน้าขึ้นอย่างสบายตัว ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อย

“แบบนี้หรือ?” หยุนเชวี่ยทุบมือทั้งสองข้างลงไปอย่างหนักหน่วง

“โอ๊ยเจ็บ!”

“เจ้าบอกข้าให้นวดแรงกว่านี้นี่”

“เหตุใดเจ้าถึงแรงเยอะ… เช่นนี้…”

หยุนเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างเผยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

“เชวี่ยเอ๋อ อย่าแกล้งเหอยาโถวสิ”

“พี่เยี่ยนเอ๋อ พวกเราแค่หยอกกันเล่นน่ะ…” เหอยาโถวยักไหล่พลางระบายยิ้ม “ข้า… ไม่เจ็บ…”

หยุนเยี่ยน…

คนเราไม่สามารถร้องเสียงหลงโดยไม่เจ็บปวดหรอกนะ พวกเจ้าโตกันแล้วไม่ใช่หรือ?